“สิ่งที่ไม่มีใครจำได้......
......สุดท้ายแล้วก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีตัวตนอยู่จริงๆ รึเปล่านะ?”
- มินะซุกิ รุกะ
ทางใต้ของเกาะฮนชูในประเทศญี่ปุ่น เป็นที่ตั้งของเกาะเล็กๆเกาะหนึ่ง กล่าวกันว่าเกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่อยู่ใกล้ประตูสู่โลกแห่งความตาย ผู้คนรู้จักเกาะนี้กันในนาม เกาะโรเงทสึ(Rogetsu Isle)
เกาะโรเงทสึเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยศิลปะการแกะสลักและวัฒนธรรมมากมาย ตั้งแต่สมัยอดีตกาล คนบนเกาะแห่งนี้จะไม่บูชาหรือมีความเชื่อในเทพเจ้า แต่พวกเขาจะมีความศรัทธาในดวงจันทร์และดวงอาทิตย์แทน พวกเขาเชื่อกันว่าดวงอาทิตย์เป็นตัวแทนของตัวตนภายนอกหรือสิ่งรอบตัว ส่วนดวงจันทร์เป็นตัวแทนของตัวตนภายในที่รวบรวมความทรงจำ บุคลิกภาพ และดวงวิญญาณ จะพูดได้ว่าดวงจันทร์ก็คือจุดกำเนิดของดวงวิญญาณก็ได้ มันเป็นสถานที่ที่ดวงวิญญาณเดินทางมา และเมื่อตายก็ต้องกลับไป เปรียบเสมือนเป็นดั่งโลกหลังความตาย ซึ่งเป็นสถานที่ที่คนบนเกาะเรียกกันว่า ดินแดนศักสิทธิ์(Hollow Realm) อีกทั้งข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์จะส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของตัวผู้คนด้วย
บนเกาะโรเงทสึแห่งนี้มีกลุ่มคนทางศาสนาอยู่กลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า มิโกะพิทักษ์จันทรา (Guardian Shrine Maiden หรือมิโกะสึกิโมริในภาษาญี่ปุ่น) มิโกะพิทักษ์จันทราเป็นกลุ่มคนที่มีพลังวิญญาณสูง(สัมผัสที่หก) พวกเธอคอยดูแลคนที่อาศัยอยู่บนเกาะมาอย่างช้านาน ว่ากันว่าพวกเธอเป็นกลุ่มคนที่ฉลาด อ่อนโยน และงดงาม แต่เป็นพวกที่ไม่ค่อยสุงสิงกับคนกลุ่มอื่นและไม่ชอบการพูดคุยกับคนกลุ่มอื่นสักเท่าไหร่
ในกลุ่มมิโกะพิทักษ์จันทรานั้นมีคำสอนหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า"เสียงของจันทรา เมื่ออยู่โดดเดี่ยวจะมีความอ่อนแอ” ดังนั้นพวกมันจึงควรอยู่กันเป็นกลุ่มผสานจนกึกก้องกันไปมา" ทำให้วิญญาณของคนเป็นที่อยู่ด้วยกันนั้นมีความสุข
แต่ทว่าบนเกาะแห่งนี้กลับมีเรื่องแปลกประหลาดอยู่เรื่องหนึ่งคือ โดยปกติแล้ว ตามความเชื่อทั่วไป เมื่อผู้คนเสียชีวิตไปแล้ว วิญญาณของพวกเขาจะต้องกลับไปสู่โลกหลังความตาย แต่สำหรับที่เกาะโรเงทสึกลับไม่ใช่แบบนั้น วิญญาณของผู้ที่เสียชีวิตบนเกาะโรเงทสึจะคอยวนเวียนอยู่บนเกาะนั้นไปเรื่อยๆ ไม่ไปไหน ยิ่งมีคนตายเพิ่มมากขึ้น ก็หมายความว่ามีดวงวิญญาณตกค้างอยู่บนเกาะมากขึ้น และถ้าหากมีวิญญาณของคนตายตกค้างมากขึ้น ก็หมายความว่าเสียงจันทราของคนตายก็มีมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งมิโกะเคยกล่าวไว้ว่าในมุมมองของวิญญาณคนตาย วิญญาณของคนเป็นก็เป็นเหมือนกับกลุ่มก้อนเสียงหรือก็คือเสียงจันทรา และนั่นก็หมายความว่า เมื่อวิญญาณของคนตายไม่มีที่ไป เสียงจันทราของคนตายที่เปรียบเสมือนดั่งเป็นวิญญาณของพวกเขาก็จะเริ่มวนเวียนไปเข้าจับกลุ่มกับเสียงจันทราของคนเป็น แทรกแซงเสียงจันทราของคนเป็น ทำให้ผู้คนที่ถูกแทรกแซงเริ่มสูญเสียตัวตนของตัวเองไป และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของคำสาปที่กลายเป็นโรคระบาดที่ในปัจจุบันถูกเรียกว่า “ไข้แสงจันทร์ (Moonlight Syndrome)” ซึ่งในยุคโบราณโรคนี้จะถูกเรียกว่าโรคละเมอ หรือโรคโหยหาแสงจันทร์
(***อาการที่เกิดจากสิ่งสู่ของวิญญาณเหล่านี้จะเห็นได้ชัดจากตัวละครที่ชื่อว่าซาคุยะ เธอได้เขียนบันทึกอธิบายความรู้สึกว่า เธอมักจะได้ยินเสียงของเหล่าวิญญาณ ซึ่งเธอใช้คำแทนวิญญาณพวกนั้นว่าเหล่าตัวน้อย มาจากภายในตัวของเธอ จนเธอเริ่มที่จะไม่ได้ยินเสียงวิญญาณของตัวเองเรื่อยๆ)
ไข้แสงจันทร์เป็นโรคระบาดที่จะเกิดขึ้นเฉพาะบนเกาะแห่งนี้ และด้วยการที่โรคนี้เกิดจากการสิงสู่ของวิญญาณ จึงทำให้คนที่มีพลังวิญญาณหรือมีสัมผัสที่หกติดโรคนี้ได้ง่ายกว่าคนปกติและจะมีอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป และแน่นอนว่ายิ่งมีพลังวิญญาณสูงมากเท่าใดก็ยิ่งมีโอกาสติดโรคนี้ได้ง่ายขึ้นมากเท่านั้น โดยปกติแล้วคนทั่วไปมักจะไม่ได้ยินเสียงจันทราเหมือนพวกมิโกะพิทักษ์จันทรา ดังนั้นพวกเขาจะไม่รู้สึกตัวเลยว่าได้ติดโรคนี้ไปแล้ว กว่าจะรู้ตัวอีกทีคือจะเริ่มมีอาการปรากฏให้เห็นแล้ว ซึ่งตามที่เอกสารระบุเอาไว้ ระยะของโรคไข้แสงจันทร์ถูกแบ่งออกเป็น 4 ระยะ และในแต่ละขั้นจะถูกตั้งชื่อตามระยะของดอกไม้ได้ดังนี้
1. ระยะออกดอก(Budding) ผู้ป่วยในระยะนี้จะมีอาการหวาดกลัวเมื่อมองกระจกหรือสิ่งที่สะท้อนที่เห็นใบหน้าของตัวเอง เนื่องจากพบว่าตัวเองผลิบานอยู่ในกระจกบานนั้น(ผลิบานคือหน้าเบลอมัวหมอง บิดเบี้ยวจนไม่เหลือโครงหน้าของตน) นั่นเป็นเพราะว่าเสียงจันทราของคนตายได้เริ่มเข้าก่อกวนแทรกแซงเสียงจันทราของผู้ป่วยคนนั้นแล้ว ทำให้เสียงจันทราที่แสดงถึงวิญญาณของผู้ป่วยคนนั้นเริ่มสั่นคลอน ผู้ป่วยจะเริ่มเสียความทรงจำของตนเอง หากผู้ใดที่มีอาการแบบนี้แสดงว่านั่นเป็นสัญญาณที่เริ่มบ่งบอกได้ว่าคนเหล่านั้นได้ติดโรคไข้แสงจันทร์เข้าแล้ว
ดังนั้นผู้ป่วยที่ติดโรคนี้ จึงพยายามทำงานอดิเรกที่ตนชอบอย่างเช่นการสะสมของหรือวาดรูปเพื่อเยียวยาอาการของตนและรักษาความเป็นตัวของตัวเองเอาไว้
เมื่อถึงเวลาพระจันทร์เต็มดวง คนที่ติดโรคนี้ก็จะเริ่มเดินออกไปตามหาแสงจันทร์ราวกับถูกครอบงำ ไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนกับว่ามันเป็นสัญชาติญาณของพวกเขา เพราะตามความเชื่อนั้น ดวงจันทร์เป็นถึงตัวแทนที่แสดงถึงตัวตนภายในของบุคคล และแสงจันทร์จะทำให้จิตใจของพวกป่วยนิ่งสงบ แต่กลับกัน ถ้าไม่ได้รับแสงจันทร์หรือเป็นคืนข้างแรมที่ไม่มีดวงจันทร์ คนที่ติดโรคก็จะเกิดอาการหวาดกลัวและผวา ด้วยผลข้างเคียงที่จะต้องไปอาบแสงจันทร์ราวกับถูกครอบงำแบบนี้เอง จึงทำให้ผู้ป่วยบางคนเสียชีวิตโดยไม่ทันรู้ตัว เนื่องจากต้องปีนขึ้นที่สูงเพื่อไปหาแสงจันทร์
2. ระยะผลัดใบหรือแตกหัก (Breaking) เป็นระยะขั้นที่ 2 เมื่อผู้ป่วยโดนเสียงจันทราของวิญญาณคนตายแทรกแซงเข้าไปมากขึ้นๆ พวกเขาจะเริ่มหวาดกลัว เริ่มสูญเสียจิตใจหรือตัวตนของตัวเอง
3. ระยะส่งเกสรหรือเสียงสะท้อน (Resonance) เป็นระยะขั้นที่ 3 และเป็นระยะขั้นรุนแรง ซึ่งผู้ที่ติดโรคในระยะนี้จะถูกเสียงเพลงของคนตายแทรกแซงจนเสียงเพลงของตัวเองใกล้จะหายไปแล้ว ซึ่งสิ่งนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ป่วยในระยะนี้ไม่รู้สึกตัวเวลาถูกเรียกชื่อของตัวเอง รวมถึงทำให้ผู้คนรอบข้างจำใบหน้าของผู้ป่วยที่ติดอยู่ในระยะนี้ไม่ได้ เหมือนกับว่าผู้ป่วยคนนี้ได้กลายเป็นคนอื่นไป อีกทั้งระยะนี้ ยังส่งผลกระทบให้แก่เสียงจันทราของคนที่มาพบปะไปด้วยเหมือนการสะท้อน เช่นคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ในระยะแรกและสอง เมื่อมองมาที่ใบหน้าของคนที่ป่วยอยู่ในระยะเสียงสะท้อน สภาพของคนๆนั้นก็จะแย่ลง การพบปะกับคนที่ป่วยในระยะนี้เป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการป่วยทางจิตและเกิดอาการคลั่งจนถึงฆ่าตัวตายได้ โรคนี้จะมีปฏิกิริยาขัดแย้งกับคนใกล้ๆ ตัว คนบางส่วนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงจะถูกชักจูงราวกับถูกสะกดจิตให้ไปจ้องมองใบหน้าของผู้ที่ติดโรคในระยะนี้ ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้ามอง
4. การผลิบานหรือระยะผลิบาน (Blooming) คือโรคไข้แสงจันทร์ระยะสุดท้ายที่เชื่อกันว่าเป็นคำสาปจากโศกนาฏกรรม มันคือคำสาปที่นำหายนะมาสู่เกาะ ผู้ที่อยู่ในระยะนี้ถือว่าเป็นผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว เพราะถูกเสียงเพลงของวิญญาณเข้าแทรกแซงจนตัวตนของตัวเองได้หายไปจนหมดและแปรปรวน ทำให้ใบหน้าของคนๆนั้นผลิบาน ใบหน้าของผู้ผลิบานจะมัวหมอง บิดเบี้ยว เบลอจนน่ากลัว ระยะนี้คล้ายกับระยะเสียงสะท้อนแต่รุนแรงกว่าตรงที่จะทำให้ผู้ที่หันมามองผลิบานเหมือนกับตน เพราะเสียงจันทราของผู้ที่หันไปมอง จะถูกเสียงจันทราของเหล่าวิญญาณที่อยู่ในตัวของผู้ที่ผลิบานสะท้อนเข้ามาและแทรกแซงอย่างรวดเร็วจนแปรปรวนและผลิบานตายตามกันไป
เพราะสาเหตุที่มีโรคระบาดแบบนี้เอง จึงทำให้ในทุกๆคืน เหล่ามิโกะพิทักษ์จันทราจำเป็นต้องขึ้นไปที่ศาลเจ้าบรรเลงจันทร์(Lunar Odeum) ที่อยู่บนยอดประภาคารสึกิโยมิ(Cape Tsukiyomi Lighthouse) เพื่อบรรเลงบทเพลงจันทรา(Moonsong)ตามสภาพข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์ ซึ่งบทเพลงจันทรานั้นก็คือหนึ่งในรูปแบบหนึ่งของเสียงจันทราและมันจะคอยผสานไปกับเสียงจันทราที่อยู่ในตัวของแต่ละคน มันจะช่วยเยียวยาเสียงจันทราของแต่ละคน ซึ่งเป็นผลดีอย่างมากโดยเฉพาะกับผู้ป่วยที่ติดโรคไข้แสงจันทร์
เมื่อการแทรกแซงทำให้เกิดโรคระบาด ดังนั้นการที่จะปกป้องผู้คนเหล่านี้จากการเป็นโรคไข้แสงจันทร์ได้ จำเป็นจะต้องส่งเหล่าดวงวิญญาณที่ยังวนเวียนอยู่บนเกาะให้กลับไปสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นหลักความเชื่อที่ว่าดวงจันทร์คือสถานที่ที่ดวงวิญญาณเดินทางมาและเมื่อตายจะต้องเดินทางกลับไป ซึ่งในทุกๆ 10 ปี บนเกาะแห่งนี้ช่วงเที่ยงคืนเดือนกันยายนจะมีจันทรคราส ผู้คนบนเกาะเชื่อกันว่าช่วงเวลาที่เกิดจันทรคราสจะเป็นช่วงเวลาที่ดวงจันทร์จะคลุ้มคลั่ง ผู้ที่อยู่ในระยะสะท้อนก็จะผลิบาน จิตใจของคนเป็นจะจมลงสู่ความตาย และวิญญาณของคนตายจะกลับมา ดังนั้น ผู้คนบนเกาะในยุคนั้นจึงทำพิธีรำบวงสรวงทุกๆ 10 ปี ที่บริเวณโถงสึกิโยมิ(Tsukiyomi Temple) ที่ตั้งอยู่ในถ้ำใต้ดินของเกาะเพื่อสักการะบูชาดวงจันทร์และเปิดประตูสู่โลกแห่งความตายเพื่อปลดปล่อยวิญญาณที่วนเวียนอยู่บนเกาะให้ไปสู่สุขติและเพื่อให้โรคไข้แสงจันทร์หายไปด้วยพร้อมกัน ผู้คนในสมัยนั้นเรียกพิธีกรรมนี้ว่า “การหวนคืนวัฐจักร”
ในการเตรียมพิธีกรรมหวนคืนวัฐจักร จะต้องทำการเลือกหญิงสาวหนึ่งคนมาเป็น คนทรง และเหล่ามิโกะพิทักษ์จันทราก็จะทำหน้าที่เลือกเด็กสาวอีก 5 คน อายุราวๆ 10 ขวบ มาเป็นผู้บรรเลงดนตรี ในการเลือกคนทรงนั้นมีเงื่อนไขอย่างไรไม่มีใครทราบ แต่หญิงสาวที่ถูกเลือกจะต้องได้รับการฝึกฝน โดยให้เข้าไปทำพิธีในถ้ำอุโมงค์ใต้ดินของเกาะโรเงทสึทุกๆคืน ซึ่งการฝึกฝนนี้ก็เป็นการฝึกที่มีความเชื่อว่า หญิงสาวผู้ที่เป็นคนทรงจะต้องแลกเปลี่ยนสถานที่กับเทพสึคุโยมิเทพแห่งดวงจันทร์ ซึ่งนั่นก็หมายถึงการถอดวิญญาณนั่นเอง โดยจะเริ่มจากชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์ที่ห้องแห่งจุดกำเนิด(Birth Chamber) เพื่อให้ร่างกายของตนกลายเป็นร่างกายที่ว่างเปล่า ก่อนที่จะลงไปที่ถ้ำอุโมงค์ใต้ดินของเกาะโรเงทสึเพื่อทำการฝึกฝนขั้นต่อไป
ถ้ำอุโมงค์ใต้ดินของเกาะโรเงทสึ(Rogetsu Tunnel) เป็นถ้ำอุโมงค์ที่มีทางเชื่อมต่อกับหลายๆสถานที่บนเกาะ และมีสายน้ำที่ชื่อว่าสายน้ำโซวสุ ซึ่งเป็นแม่น้ำที่กั้นระหว่างโลกคนเป็นและคนตายไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา (สายน้ำโซวสุ เป็นคำไวพจน์ของสายน้ำซันสุ) ถ้ำอุโมงค์ใต้ดินนี้จะเป็นถ้ำที่ไม่มีแสงจันทร์สาดส่องถึง
ถ้ำแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ฝึกครั้งแรกเมื่อใดไม่มีเอกสารใดระบุไว้ แต่ที่มีระบุไว้ก็คือ หญิงสาวคนแรกที่ถูกนำมาฝึกในสถานที่แห่งนี้มึชื่อว่า เบียคุยะ กล่าวกันว่าเธอได้รับนิมิตในขณะที่กำลังฝึกตน และเธอนั้นก็ถูกเรียกว่าเป็นบรรพบุรุษของเหล่าคนทรง
หลังจากหญิงสาวที่ได้รับเลือกชำระล้างร่างกายเสร็จแล้ว พวกเธอจะต้องลงมาที่นี่เพื่อฝึกฝนให้เข้าใจถึงรูปร่างของดวงวิญญาณและเพื่อให้มั่นใจว่าเธอเหมาะสมที่จะเป็นสื่อกลางให้กับเหล่าดวงวิญญาณและเพื่อให้คุ้นเคยกับสภาวะร่างกายที่ถูกชำระล้างที่ “ว่างเปล่า” เพื่อแบกรับวิญญาณได้ ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญและความพยายามของหญิงสาวผู้นั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นเคยมีเอกสารระบุไว้ว่า มีหญิงสาวมากมายได้ลงมาฝึกพิธีเหล่านี้ แต่หลายคนก็เกิดอาการคลุ้มคลั่ง
หลังจากผ่านการฝึกที่อุโมงค์ใต้ดิน สถานที่ต่อไปก็คือถ้ำบ่อน้ำสะท้อนจันทรา(Moon-Reflection Cave)ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกขั้นตอนสุดท้าย เมื่อวันใดที่มีพระจันทร์ ถ้ำแห่งนี้ก็จะมีแสงจันทร์สาดส่องจากด้านบน สะท้อนไปทั่วทั้งสถานที่และสถานที่แห่งนี้ก็จะกลายเป็นบ่อน้ำกักเก็บวิญญาณ เพราะเหตุผลดังกล่าวสถานที่แห่งนี้จึงถูกเรียกว่า ถ้ำบ่อน้ำสะท้อนจันทรา ที่นี่จะเป็นสถานที่สุดท้ายที่ผู้ถูกเลือกจะต้องเข้ามาเพื่อนำวิญญาณของตนกลับสู่ร่างกาย นอกจากนั้น ที่นี่เองก็มีเอกสารระบุไว้อีกเช่นกันว่า มีคนบางคนที่วิญญาณไม่กลับร่าง ทำให้ร่างกายของคนผู้นั้นกลายเป็นภาชนะที่ว่างเปล่าซึ่งถ้าปล่อยไว้นานๆจะมีโอกาสทำให้ผลิบานได้ ดังนั้นผู้ที่มีร่างกายอันว่างเปล่าจะต้องถูกนำมาอาบแสงจันทร์ที่นี่ เพื่อให้วิญญาณที่แสดงถึงตัวตนของตัวเองกลับมาอยู่ในร่างกาย หญิงสาวผู้ใดที่ฝึกฝนพิธีกรรมเหล่านี้ได้สำเร็จ จะได้กลายเป็นคนทรงสำหรับพิธีกรรมหวนคืนวัฐจักร
ส่วนทางด้านผู้บรรเลงดนตรี เหล่ามิโกะพิทักษ์จันทราจะเป็นคนเลือกเองเพราะเด็กสาวที่จะมาเป็นผู้บรรเลงดนตรีได้นั้นจะต้องมีเสียงของจันทราที่เด่นชัดเพราะมันจะช่วยปลอบประโลมวิญญาณของคนได้ดี ทำให้เหล่ามิโกะพิทักษ์จันทราเคร่งครัดในการเลือกเด็กเหล่านี้เป็นอย่างมาก เมื่อเลือกเด็กสาวทั้งห้า คนได้แล้ว เด็กสาวทั้งหมดจะต้องลงไปฝึกเล่นบทเพลงจันทราในถ้ำอุโมงค์เป็นเวลา 100 วัน
ก่อนที่จะทำพิธี คนทรงและผู้บรรเลงดนตรีจะต้องสวมหน้ากากและทำสมาธิในห้องรอ (Antechamber) พร้อมทั้งฟังเสียงจันทราที่ดังมาจากแท่นบูชา เพื่อให้ตนเป็นหนึ่งเดียวกับหน้ากาก เมื่อพวกเธอกลายเป็นหนึ่งเดียวกับหน้ากากแล้ว พวกเธอจึงจะสามารถเดินทางเข้าสู่ลานพิธีได้
หน้ากากของเกาะโรเงทสึ จากบันทึกของ ดร.อาโสะ ได้กล่าวไว้ว่า หน้ากากของเกาะส่วนมากจะถูกสร้างมาเพื่อทำให้มีผลโน้มน้าวจิตใจของผู้ที่สวมใส่ เหมือนกับที่เวลาคนๆหนึ่งได้มองอีกคนที่กำลังมีความสุข ยิ้มแย้ม ตนเองก็จะยิ้มแย้มไปด้วย นอกจากจะมีผลต่อจิตใจแล้ว มันก็ยังสามารถกระตุ้นส่วนของสมองและทำหน้าที่บันทึกความทรงจำได้
สำหรับหน้ากากในพิธีกรรม จะมีทั้งหน้ากากของคนทรงและของผู้บรรเลงดนตรี หน้ากากของคนทรง จะเป็นหน้ากากพิเศษที่เปรียบเสมือนว่าเป็นตัวแทนของดวงจันทร์และเป็นกุญแจหลักที่ใช้เชื่อมต่อโลกคนเป็นกับโลกหลังความตาย
หน้ากากของคนทรง จะสร้างมาจากใบหน้าของคนตายที่ยังไม่ได้อยู่ในระยะออกดอก รูปร่างหน้าตาของหน้ากากจะถูกสลักให้คล้ายคลึงกับผู้สวมใส่ ซึ่งในระหว่างพิธีหน้ากากของคนทรงจะมีความสามารถที่ทำให้คนทรงที่สวมใส่สูญเสียความเป็นตัวเองชั่วคราว แต่ถึงอย่างนั้นยังคงแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในร่างได้อยู่ ในสภาวะนั้นคนทรงจะเชื่อมต่อกับวิญญาณของคนตายมากมายได้ สภาวะดังกล่าวเป็นสภาพจิตใจที่ปกติแล้วจะมีแค่นักบวชหรือพระที่ฝึกตนมานานนับหลายปี หรือคนเฒ่าคนแก่ที่มีประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยปัญหาทั้งชีวิตเท่านั้นที่สามารถบรรลุได้ ซึ่งแน่นอนว่าช่างทำหน้ากากจะต้องมีฝีมือที่มากพอตัวจึงจะสามารถนำเงื่อนไขเหล่านี้มาสร้างหน้ากาก เฉกเช่นเดียวกับการสร้างหน้ากากของผู้บรรเลงดนตรี
หน้ากากของผู้บรรเลงดนตรี จะมีความสามารถทำให้ผู้สวมใส่บรรเลงบทเพลงจันทราได้เลยถึงแม้จะไม่เคยเล่นดนตรีมาก่อนก็ตาม หน้ากากของผู้บรรเลงดนตรีจะมีหลายแบบ เพื่อแยกว่าแต่ละคนมีหน้าที่อะไร ซึ่งแต่ละหน้าที่จะแบ่งเป็น ขับร้อง สั่นกระดิ่ง ตีกลอง เป่าขลุ่ย และเครื่องสาย
เนื่องจากเกาะโรเงทสึ เต็มไปด้วยศิลปะการแกะสลัก ดังนั้นหน้ากากแต่ละใบจะถูกสร้างมาอย่างประณีตงดงามด้วยฝีมือของช่างทำหน้ากากของตระกูลช่างทำหน้ากากที่อาศัยอยู่บนเกาะ แต่ถ้าหากจะให้ยกชื่อของตระกูลช่างทำหน้ากากที่มีชื่อเสียงมาสักหนึ่งตระกูล ก็คงจะเป็นตระกูลอื่นใดไปไม่ได้นอกจากตระกูลที่มีนามว่า ตระกูล “โยโมะสึกิ”
แต่เดิมตระกูลโยโมะสึกิ ก็เป็นเพียงตระกูลที่คอยช่วยเหลือจัดแจงด้านพิธีกรรมและด้านงานต่างๆของเกาะ จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยที่โซอันได้ขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลโยโมะสึกิ เขาเป็นช่างทำหน้ากากคนแรกของตระกูลโยโมะสึกิ และในภายหลัง ตระกูลโยโมะสึกิก็จะกลายเป็นตระกูลช่างทำหน้ากากอย่างเต็มรูปแบบ กล่าวกันว่าหน้ากากของโซวอันเป็นหน้ากากที่สามารถกักเก็บวิญญาณของคนตายได้ ซึ่งต่างจากช่างทำหน้ากากคนอื่นๆ ที่สร้างมาเพื่อเลียนแบบเทพหรือตัวละครในการแสดง เทคนิคของโซอันนี้ได้ถ่ายทอดส่งต่อรุ่นสู่รุ่น
เมื่อพิธีกรรมหวนคืนวัฐจักรสำเร็จ จะเป็นช่วงที่มาบรรจบกับการเกิดจันทรคราสพอดี แสงของดวงจันทร์จะสาดส่องลงไปในมหาสมุทรเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่กลางมหาสมุทรซึ่งเรียกว่า สึกิโยมิ(Tsukiyomi) หรือก็คือประตูสู่ดวงจันทร์ ซึ่งก็คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่วิญญาณควรอยู่หรือโลกหลังความตายนั่นเอง หน้ากากของคนทรงจะทำให้วิญญาณของคนทรงออกจากร่างกายโดยการทำให้เธอสูญเสียความเป็นตัวเอง จึงทำให้ร่างกายของเธอกลายเป็นภาชนะอันว่างเปล่าที่คอยกักเก็บดวงวิญญาณ เป็นตัวกลางที่เปรียบเสมือนเรือที่คอยส่งดวงวิญญาณไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นวิญญาณทุกดวงบนเกาะจะไหลเข้าสู่ร่างกายของคนทรง และเหล่าวิญญาณที่เข้าไปในร่างของคนทรงก็จะถูกนำพาโดยแสงจันทร์ไหลผ่านออกหน้ากากของคนทรง มุ่งหน้าสู่โลกหลังความตายไปพร้อมๆกัน หลังจากนั้นวิญญาณและความทรงจำของคนทรงจะกลับสู่ร่างกายตามเดิม ตามความเชื่อของคนบนเกาะ วิญญาณของคนทรงที่กลับมานั้นจะถูกชำระล้างราวกับเกิดใหม่
เมื่อไม่มีวิญญาณสิงสู่ตกค้างบนเกาะ ก็ไม่มีเสียงจันทราของคนตายคอยสิงสู่ เมื่อไม่มีการสิงสู่ มันก็ไม่มีโรคไข้แสงจันทร์ จนกว่าจะมีคนเสียชีวิตแล้วกลายเป็นวิญญาณและรอกลับสู่โลกแห่งจุดเริ่มต้นอีกครั้ง
พิธีกรรมได้ดำเนินมาทุกๆ 10 ปี จนกระทั่งถึงยุคสมัยของช่างทำหน้ากากโยโมะสึกิ โซเอทสึ ผู้นำตระกูลโยโมะสึกิรุ่นที่ 7
ในยุคสมัยของเขาตระกูลโยโมะสึกิเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ถึงขนาดที่ตัวเขาเอง เดินทางไปที่เมืองหลวง เพื่อมอบหน้ากากของเขาให้แก่จักรพรรดิ ในฐานะความภาคภูมิใจของชาวเกาะโรเงทสึอีกด้วย
โซเอทสึมีความสนใจในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นจุดกำเนิดของเหล่าวิญญาณเป็นอย่างมาก เขามีความฝันที่จะเอื้อมไปถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในอุดมคติ โดยปกติแล้วหน้ากากของคนทรงจะทำให้ผู้สวมใส่สูญเสียความเป็นตัวเองแต่ยังคงแกนหลักของวิญญาณตัวเองเอาไว้ แต่หน้ากากที่โซเอทสึจะสร้าง จะลบความทรงจำของผู้สวมใส่ทั้งหมดทันทีในชั่วระยะเวลาหนึ่ง เขาคิดว่ามันมีอะไรที่เป็นมากกว่าการลบความทรงจำและถูกลืมเลือนหรือมีแต่ความว่างเปล่า เขามีแนวคิดที่ว่า หากเทียบความทรงจำกับวงกลมแล้ว มนุษย์ทุกคนก็มีวงกลมเป็นของตัวเอง หากลองลดขนาดวงกลมไปเรื่อยๆ จนเกินขีดจำกัด วงกลมนั่นก็จะกลายเป็นเพียงจุดเล็กๆจุดหนึ่งเท่านั้น เช่นเดียวกับความทรงจำ ถ้าหายไปจนหมด ยังไงก็เหลือแต่เพียงแค่จุดเล็กๆจุดหนึ่ง ซึ่งเป็นจุดกำเนิดและจุดสุดท้ายที่ทุกสรรพสิ่งมีร่วมกัน และเข้าร่วมกันได้ เขาเชื่อว่าจุดๆนั้นคือดินแดนศักด์สิทธิ์ เขามองว่าแนวคิดนี้เป็นเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะเปิดประตูและเข้าถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเชื่อได้
ดังนั้น เขาจึงได้เปลี่ยนเทคนิคการทำหน้ากากและใช้เทคนิคต่างๆ ที่เกี่ยวกับคนตายและวิญญาณเพื่อพยายามสร้างหน้ากากเพื่อบรรลุเป้าหมายของเขา หน้ากากของโซเอทสึใบนี้ ถูกเรียกว่า หน้ากากจันทรคราส(Mask of the Lunar Eclipse)
หน้ากากจันทรคราสนี้ ในระหว่างพิธีจะทำให้ผู้สวมใส่ถูกลบความทรงจำจนหมด กลายเป็นภาชนะที่ว่างเปล่าในทันที ก่อนที่วิญญาณของผู้สวมใส่จะกลับเข้าร่างราวกับเกิดใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากวิญญาณของผู้สวมใส่ไม่สามารถกลับคืนร่างได้ เขาก็จะเสียชีวิต
วัตถุดิบหลักในการทำหน้ากากจันทรคราสของโซเอทสึจะต้องใช้ใบหน้าของคนที่ติดโรคไข้แสงจันทร์และตายในขณะที่ยังอยู่ในระยะออกดอกและต้องยังไม่เข้าสู่ระยะผลิบาน ซึ่งใบหน้าพวกนี้ต้องผ่านพิธีกรรมการตัดใบหน้า ที่จะถูกจัดขึ้นใน ศาลเจ้าแห่งความอาลัย(Court of Unhollowed) ซึ่งเป็นศาลเจ้าสำหรับคนตาย โดยปกติแล้วเมื่อมีคนบนเกาะที่ติดโรคไข้แสงจันทร์เสียชีวิต ศพของพวกเขาก็จะถูกนำมาที่นี่เพื่อทำพิธีกรรมตัดใบหน้า เป็นการป้องกันไม่ให้ใบหน้าของศพกลายเป็นระยะผลิบานด้วยฝีมือการตัดของเหล่าผู้รักษาปกป้องศาลเจ้าแห่งนั้น
หลังจากตัดเสร็จใบหน้าเหล่านั้นก็จะถูกนำไปชำระล้างที่โถงชูเก็น(Shugen Temple) เพราะเป็นห้องมีแสงจันทร์สาดส่อง ก่อนที่จะเอามาทำเป็นหน้ากาก ส่วนศพที่ผ่านพิธีกรรมตัดใบหน้ามาแล้ว ใบหน้าของศพจะถูกหน้ากากปิดเอาไว้เพื่อให้กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ว่ากันว่าหากใครที่ไม่ได้ชำระล้างร่างให้บริสุทธิ์หรือไม่ถูกแสงจันทร์สาดส่อง เดินเข้าไปที่ศาลเจ้าแห่งความอาลัย จะมีความรู้สึกกระวนกระวายและติดโรคไข้แสงจันทร์ระยะออกดอก
แต่ตอนนั้นเองก็ได้เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น ในขณะที่ร่างกายของนางรำกำลังอยู่ในสภาวะที่ว่างเปล่า จู่ๆ เธอก็ได้ร้องอย่างเจ็บปวดทรมานก่อนที่หน้ากากจันทรคราสของโซเอทสึแตกออกเป็นเสี่ยงๆ วิญญาณของคนทรงไม่สามารถกลับเข้าร่างได้ ทำให้ร่างกายของตนเองอยู่ในสภาพที่กึ่งเป็นกึ่งตาย พิธีกรรมล้มเหลวลงแล้วนางรำก็ได้เข้าสู่ห้วงแห่งการนิทรายาวนาน(โคม่า) ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป นางรำคนนั้นก็ได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับคำสาปที่นำพาหายนะมาสู่เกาะ
“การผลิบาน”
หายนะครั้งนี้ส่งผลให้ผู้คนหลายคนติดโรคไข้แสงจันทร์ ไม่ก็ผลิบานและเสียชีวิต บ้างก็ถึงกับหนีลงไปในอุโมงค์ใต้ดินของเกาะเพื่อเอาชีวิตรอด แต่โชคยังดีที่ในยุคนั้นยังมีมิโกะพิทักษ์จันทรา เหล่ามิโกะได้ขึ้นไปที่ศาลเจ้าบรรเลงจันทร์ บนประภาคารสึกิโยมิและบรรเลงบทเพลงจันทราเพื่อสะกดดวงจันทร์และช่วยเหลือผู้คนจากผลกระทบของการผลิบานได้ เกาะจึงกลับมาเป็นปกติ แต่ถึงกระนั้นเพราะพิธีที่ล้มเหลว จึงทำวิญญาณที่ตายอยู่บนเกาะก็ไม่สามารถกลับสู่โลกหลังความตายได้ และยังหลงเหลืออยู่บนเกาะตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้คนเชื่อว่าสาเหตุที่พิธีกรรมล้มเหลวเป็นเพราะหน้ากากของโซเอทสึไม่สมบูรณ์ หลังจากนั้นโซเอทสึก็หายตัวไปอย่างลึกลับไม่มีใครเห็นอีกเลย หน้ากากของเขาถูกเผาทำลายจนแทบจะหมดสิ้น เหลือเพียงแค่คำพรรณาเกี่ยวกับหน้ากากถูกสลักไว้ในห้องโถงชูเก็นเพื่อให้เป็นที่ศึกษาแก่คนในตระกูลรุ่นหลังต่อไปเท่านั้น ผู้คนบนเกาะเรียกโศกนาฏกรรมในคืนนั้นว่า "วันไร้ทุกข์" สุดท้ายลานจันทราใต้ดินของเกาะก็ถูกปิดเป็นพื้นที่หวงห้าม พิธีกรรมหวนคืนวัฐจักร ก็กลายเป็นสิ่งต้องห้ามและห้ามแม้แต่จะเอ่ยถึง เมื่อพิธีกรรมนี้ไม่มีอีกแล้ว ประเพณีของมิโกะพิทักษ์จันทราจึงค่อยๆหายไป
หลังจากนั้นทุกๆ 10 ปี ผู้คนบนเกาะจึงจะจัดพิธีรำบวงสรวงธรรมดาที่โรงจันทรคราสที่อยู่ด้านบนเหนือลานจันทราใต้ดิน เพื่อปลอบประโลมวิญญาณของคนตายและให้เกียรติรำลึกถึงบุคคลที่เสียชีวิตไป ไม่มีการเปิดประตูส่งวิญญาณไปสู่โลกหลังความตายแบบเก่า ผู้คนเรียกพิธีนี้ว่า “พิธีโรเงทสึคางุระ“ในพิธีกรรมนี้ก็มีต้นแบบมาจากพิธีกรรมอันเก่า แต่เงื่อนไขในการเลือกคนทรงจะเปลี่ยนไป โดยให้ผู้คนบนเกาะช่วยกันเลือกหญิงสาวที่เหมาะสม เพื่อให้หัวหน้าตระกูลไฮบาระผู้ที่เป็นคนใหญ่คนโตบนเกาะแต่งตั้งให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนทรง โดยดูที่อายุและนิสัย การฝึกของคนทรงก่อนเข้าลานพิธีในพิธีนี้ ก็จะคล้ายคลึงกับพิธีเก่า คือเป็นการนั่งสมาธิใต้หน้ากากในห้องรอพร้อมฟังเสียงจันทราเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับหน้ากากและเพื่อชำระล้างร่างกายของตนเอง นอกจากนั้นการแต่งกายของคนทรงก็จะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีขาวด้วย ส่วนผู้บรรเลงดนตรีจะทำการเลือกโดยการเลือกเด็กที่มีอายุประมาณราวๆ 10 ปีเช่นเดิม แต่ชุดแต่งกายของผู้บรรเลงดนตรีจะเปลี่ยนไป จากชุดสีดำเป็นชุดขาวแดงเหมือนมิโกะทั่วไปแทน
สำหรับหน้ากากที่ให้คนทรงใส่ในพิธี ในตอนแรกสร้างมาโดยใครไม่มีใครทราบ แต่หลังจากนั้นหน้ากากนี้จะถูกสร้างโดยตระกูลโยโมะสึกิอีกครั้ง โดยมีโยโมะสึกิ โซวเก็นผู้นำตระกูลคนที่ 9 เป็นผู้รื้อฟื้นประเพณีและเทคนิควิชาการทำหน้ากากดั้งเดิมของตระกูล ซึ่งเทคนิคการทำหน้ากากของคนทรงและผู้เล่นดนตรีก็จะกลับไปใช้เทคนิคดั้งเดิมที่เคยทำ
เมื่อพิธีใกล้เริ่ม ผู้คนบนเกาะจะเข้ามารับหน้ากากจากห้องโถงชูเก็นและมุ่งหน้าไปยังลานพิธี
เมื่อเข้ามาในลานพิธี ผู้ชมทุกคนจำเป็นต้องสวมใส่หน้ากาก พร้อมทั้งถือเทียนไว้ในมือ ทั้งคนทรง ผู้บรรเลงดนตรี รวมทั้งผู้ชมก็ถือว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมในพิธี
เมื่อถึงเวลาสี่ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่พิธีเริ่ม ในช่วงแรกจะเป็นการรำบวงสรวงเหมือนกับพิธีหวนคืนวัฐจักรแต่จะต่างกันที่ช่วงหลังที่ไม่มีการส่งดวงวิญญาณไปยังโลกหลังความตายผ่านประตู
ในช่วงทำพิธี หน้ากากของคนทรงจะค่อยๆถอดวิญญาณและทำให้คนทรงสูญเสียตัวตนของตัวเองในขณะที่ยังคงแก่นแท้ของตัวเองไว้ในร่างอยู่ พร้อมทั้งเชื่อมต่อกับวิญญาณ เพื่อคอยปลอบประโลมเหล่าวิญญาณที่เสียชีวิต อีกทั้งผู้ชมที่สวมหน้ากากโดยรอบ ก็จะเข้าสู่สถานะถอดวิญญาณและเข้าสู่สถานะเข้าฌาณ สื่อสารกับคนตายได้เช่นกัน เมื่อสำเร็จ วิญญาณของคนทรงและผู้ชมก็จะกลับเข้าร่างดั่งเดิม เป็นการให้เกียรติคนตายและเป็นสมานฉันท์ระหว่างความเป็นและความตาย ซึ่งการที่วิญญาณถูกปลอบประโลมในพิธีนี้ มันจะช่วยเยียวยาให้กับผู้ที่ติดโรคไข้แสงจันทร์ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้โรคไข้แสงจันทร์หายไปจากเกาะจนหมด อีกทั้งหากผู้ชมคนใดหลงระเริงไปกับการถอดวิญญาณ จะเกิดความอันตรายและมีความเสี่ยงที่จะติดโรคไข้แสงจันทร์แทน
หลายปีผ่านมาในสมัยปลายยุคเอโดะกำลังเข้าสู่ช่วงยุคสมัยเมจิ ดร.อาโสะ คุนิฮิโกะ ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงด้านวิทยาศาสตร์ลึกลับ ได้ออกเดินทางไปทั่วญี่ปุ่นเพื่อตามหาวัตถุดิบใหม่ๆ ที่จะเอาไว้ใช้ประดิษฐ์กล้อง Obscura ให้สมบูรณ์ เขาได้เดินทางเข้ามาที่เกาะโรเงทสึ โดยเพ่งเล็งไปที่ความเชื่อของผู้คนบนเกาะ ในตอนแรกเขาเกรงว่าผู้คนบนเกาะจะไม่ต้อนรับการมาเยี่ยมเยียนของเขา แต่เมื่อมาถึง ผู้คนบนเกาะกลับต้อนรับเขาดีอย่างผิดคาดและให้เชิญให้เขาเข้ามาพักบนเกาะ
ดร.คุนิฮิโกะ ได้เข้าพักที่โรงแรมบนเกาะโรเงทสึ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมของเกาะ โดยเฉพาะหน้ากากของเกาะ เขาได้รู้ว่าหน้ากากบนเกาะนี้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนที่ใส่ราวกับสะกดจิต อีกทั้งเขาก็ได้เห็นเด็กผู้หญิงที่ไม่เคยเป่าขลุ่ยมาก่อน สามารถเป่าขลุ่ยได้โดยแค่เพียงใส่หน้ากากเท่านั้น
ดร.คุนิฮิโกะ ได้ใช้สิ่งต่างๆบนเกาะ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบทรัพยากรหรือเทคนิคการทำหน้ากาก มาสร้างแผ่นฟิล์มและวิจัยสร้างกล้อง Obscura ในแบบที่เขาต้องการ เพื่อหาทางทำให้กล้องสมบูรณ์ จนในที่สุดเขาก็สามารถสร้างกล้องรุ่นต้นแบบในแบบที่เขาต้องการได้สำเร็จเป็นครั้งแรก โดยเขาได้ใช้เทคนิคและศิลปะของเกาะมาสร้างกล้องตัวนี้
กล้อง Obscura ตัวแรกของ ดร.อาโสะ เป็นหนึ่งในตัวต้นแบบ
ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ศิลปะของเกาะในการออกแบบ
เมื่อถึงวันพิธีคางุระ คนบนเกาะก็ได้เชิญชวนเขาให้ไปชมพิธีโรเงทสึคางุระโดยมีมิโกะพิทักษ์จันทราเป็นผู้ดูแล เขาได้พูดคุยกับมิโกะพิทักษ์จันทราและก็ได้ทราบว่ามิโกะพิทักษ์จันทราสามารถฟังเสียงจันทราจากตัวผู้คนได้ด้วย ซึ่งมิโกะพิทักษ์จันทราก็ได้ทำการฟังเสียงจันทราที่อยู่ในตัวของ ดร.คุนิฮิโกะ แล้วก็บอกว่าเสียงเพลงในตัว ดร.คุนิฮิโกะ ฟังดูรื่นรมย์มากเลยทีเดียว ซึ่งมันทำให้เขาสนใจตัวของมิโกะพิทักษ์จันทราเป็นอย่างมากและเขาก็เชื่อว่าพลังของมิโกะพิทักษ์จันทราจะทำให้เขาบรรลุเป้าหมายที่จะนำไปสู่โลกวิญญาณได้สำเร็จ
เมื่อการแสดงเริ่มไประยะหนึ่ง ดร.คุนิฮิโกะ ก็ได้ดำเนินการทดสอบกล้อง Obscura ที่เขาสร้างขึ้น โดยการถ่ายรูปไปที่พิธีโรเงทสึคางุระ แต่ทว่าภาพที่ปรากฏบนแผ่นฟิล์มนั้นกลับเป็นหน้ากากจันทรคราสสีดำของโซเอทสึ
เขาสนใจในหน้ากากใบนั้นเป็นอย่างมาก จึงไปหาข้อมูลเกี่ยวกับหน้ากากใบนั้นและได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับหน้ากากจันทรคราส แต่เมื่อเขาเอาเรื่องนี้ไปถามผู้นำของตระกูลที่มีอำนาจบนเกาะ ผู้นำกลับทำสีหน้าหวาดกลัวกลับมาพร้อมทั้งพูดว่า หน้ากากใบนั้นไม่เคยมีอยู่จริง ดร.คุนิฮิโกะรู้ได้ทันทีว่าหน้ากากนี้เป็นสิ่งต้องห้ามบนเกาะ แต่เขาก็เชื่อว่าหน้ากากใบนี้จะเป็นเงื่อนงำสำคัญที่จะนำไปสู่โลกแห่งวิญญาณ
ในช่วงเวลาที่ ดร. คุนิฮิโกะ อาศัยอยู่บนเกาะโรเงทสึ ดร.คุนิฮิโกะก็ได้พบรักกับมิโกะพิทักษ์จันทราคนหนึ่ง และทั้งคู่ก็ตัดสินใจที่จะเป็นสามีภรรยากัน
ดร. ได้ทดสอบกล้อง Obscura ที่เขาสร้างขึ้นมาไปเรื่อยๆ จนทำให้เขาเริ่มมั่นใจแล้วว่ากล้องนี้มันมีพลังเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้ มันมีพลังจนสามารถขับไล่วิญญาณได้ ซึ่งมันก็ส่งผลกระทบกับคนที่มีพลังวิญญาณด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มุ่งมั่นที่จะใช้ทรัพยากรบนเกาะนี้เสริมพลังให้กับกล้องตัวนี้ขึ้นไปอีก
นอกจากกล้อง Obscura ตัวแรกแล้ว เขาก็ได้สร้างกล้อง Obscura รุ่นต้นแบบขึ้นมาอีกหลายตัว ซึ่งกล้องที่ถูกเปิดเผยมาแล้วว่าถูกเขาสร้างในช่วงเวลานี้ได้แก่
นอกจากกล้อง Obscura เขาก็ได้สร้างสิ่งประดิษฐ์อื่นๆ ขึ้นมาอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นวิทยุแร่วิญญาณ และโปรเจคเตอร์ แต่สิ่งหนึ่งที่จะขาดไปไม่ได้นั่นก็คือ ไฟฉายลูกแก้ววิญญาณ(Spirit Stone Flashlight) สิ่งประดิษฐ์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาโรคไข้แสงจันทร์โดยการกักเก็บแสงจันทร์และปล่อยมันออกมานั่นเอง
ก่อนที่ ดร.คุนิฮิโกะกับภรรยาของเขาจะออกจากเกาะไป เขาได้มอบโปรเจคเตอร์ให้แก่โรงแรมและตั้งมันไว้ในโรงอาหาร รวมทั้งวิทยุแร่วิญญาณหลายตัวให้เกาะอีกด้วย อีกทั้งเขายังมอบกล้อง Obscura ตัวต้นแบบตัวแรกที่เขาสร้างขึ้นมาให้กับเกาะ ซึ่งเป็นตัวที่เขาใช้ศิลปะของเกาะในการออกแบบ เขาไม่ได้บอกคนบนเกาะถึงเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมอบกล้องตัวนี้ให้ แต่เขามีความรู้สึกว่า สักวันหนึ่งคนบนเกาะ จะต้องการพลังของกล้องตัวนี้ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็ยังคงหวังว่าเขาจะคิดผิด
หลังจากที่ ดร.คุนิฮิโกะได้ออกจากเกาะไป กล้องตัวแรกของเขานั้นก็ได้ถูกตั้งอยู่ไว้ในห้องที่เขาเคยพัก และห้องๆนั้นก็ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ ดร.คุนิฮิโกะ อาโสะ ซึ่งมีสิ่งประดิษฐ์และเรื่องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เขาทำบนเกาะ
(****หมายเหตุ: เรื่องราวการอยู่อาศัยบนเกาะโรเงทสึของ ดร.อาโสะ คุนิฮิโกะได้ถูกเขียนเพิ่มเติ่มไว้ในหนังสือ Art book ที่มีชื่อว่า Rogetsu Reminiscences ซึ่งถูกรวมอยู่ใน Premium Box ของตัวรีมาสเตอร์ในปี 2023 โดยเนื้อหาจะเกี่ยวกับชีวิตของดร. คุนิฮิโกะ ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงบั้นปลาย ซึ่งข้อมูลของเขา ทางทีมงานได้เขียนระบุไว้ว่า ตัวละครที่ค้นคว้าหาข้อมูลเหล่านี้มาเขียนใน art book ก็คือโฮโจ เรน ลูกหลานของ ดร.คุนิฮิโกะ ที่เป็นตัวละครจาก Fatal Frame ภาค Maiden of Black Water)
หลังจากนั้นไม่กี่ 10 ปี เกาะโรเงทสึและพิธีโรเงทสึคางุระก็ถูกเปิดให้นักท่องเที่ยวได้รับชม ถึงแม้จะถูกผู้คนบางกลุ่มต่อต้านเพราะเห็นว่าการเอาพิธีกรรมที่ใช้ปลอบประโลมวิญญาณมาหารายได้เข้าเกาะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในท้ายที่สุด พิธีนี้ก็กลายเป็นจุดสำคัญในการท่องเที่ยวของเกาะ โดยมีเงื่อนไขว่าทุกคนที่เข้าร่วมจะต้องสวมหน้ากาก
.
.
.
.
เวลาผ่านไปเป็นเวลานาน ขนบธรรมเนียมของมิโกะพิทักษ์จันทราได้หายไปจนหมดสิ้น ส่วนเพลงพิทักษ์จันทราก็กลายเป็นสิ่งที่ถูกเล่ามากันปากต่อปากเท่านั้น ซึ่งการเล่ากันปากต่อปากมันทำก็ให้บทเพลงส่วนมากได้หายไป แต่ถึงกระนั้นเหล่ามิโกะพิทักษ์จันทรารุ่นก่อนก็ได้ทำการแก้ไขเรื่องนี้เอาไว้แล้ว โดยการใส่บทเพลงพิทักษ์จันทราลงไปในกระจกพิทักษ์จันทรา การที่จะดูโน้ตเพลงบนกระจกพิทักษ์จันทราได้นั้นจะต้องใช้แสงจันทร์ส่องลงมาให้สะท้อนกับกระจก ซึ่งหลังจากที่พิธีของมิโกะพิทักษ์จันทราหมดลงไป กระจกบานนี้ก็ถูกสืบทอดกันมาในกลุ่มของมิโกะพิทักษ์จันทราที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด
ส่วนตระกูลไฮบาระที่เป็นหัวหน้านักบวช พวกเขาก็ได้ก่อตั้ง โรงพยาบาลไฮบาระ(Haibara Hospital) ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นสถานที่รักษาโรคไข้แสงจันทร์ และตอนนี้นี่เองที่ได้มีการนำศัพท์คำว่าไข้แสงจันทร์มาแทนคำว่าโรคโหยหาแสงจันทร์
ในภายหลังพวกเขาก็ได้ต่อเติมตัวอาคาร โดยการเปลี่ยนโรงแรมที่ ดร. คุนิฮิโกะเข้ามาพักให้กลายเป็นสถานพยาบาลหรือก็คือหอพักโรเงทสึ เพื่อใช้รองรับผู้ป่วยที่มีเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งศาลเจ้าเก่าที่ตั้งอยู่ใกล้กันก็ถูกรื้อถอนเพื่อนำมาทำเป็นห้องพักเช่นเดียวกัน โดยหอพักโรเงทสึมักจะถูกเรียกว่าอาคารใหม่
หอพักโรเงทสึ (Rogetsu Hall) เป็นหอพักผู้ป่วยที่เปลี่ยนจากโรงแรมมาเป็นหอพักซึ่งเป็นอาคารใหม่ที่ถูกปรับปรุงขึ้นมาเพื่อเป็นสถานพยาบาล ที่นี่จะคอยดูแลรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไข้แสงจันทร์โดยเฉพาะ อาคารนี้มีทางเชื่อมต่อกับโรงพยาบาลไฮบาระที่เป็นอาคารเก่าอีกทั้งยังมีดีไซน์ในรูปแบบกึ่งญี่ปุ่นกึ่งตะวันตก และห้องของผู้ป่วยทุกห้องจะมีชื่อที่เกี่ยวเดือนในปฏิทินจันทรคติ ในขณะที่ห้องสำนักงานของนางพยาบาลจะเป็นชื่อของฤดูกาล ซึ่งชื่อของห้องนางพยาบาลและห้องผู้ป่วยจะมีความสอดคล้อง เช่น ห้องนางพยาบาลชั้น 2 จะเป็นชื่อเกี่ยวกับฤดูร้อน ทำให้ห้องของผู้ป่วยชั้น 2 ประกอบไปด้วยเดือนหนึ่งจนถึงเดือนเจ็ด ส่วนชั้น 3 ห้องของนางพยาบาลจะเป็นฤดูฝนและห้องของผู้ป่วยในชั้น 3 จะประกอบไปด้วยเดือนแปดจนถึงเดือนสิบเอ็ด และสุดท้ายชั้น 4 ที่เป็นห้องเดี่ยวแยกพิเศษ ห้องของนางพยาบาลจะเป็นชื่อเกี่ยวกับฤดูหนาว ส่วนห้องพิเศษจะเป็นเดือนสิบสอง ส่วนชั้นแรกสุดของหอพักนั้นจะถูกดีไซน์เพื่อใช้ต้อนรับผู้คนภายนอก และตรงกลางของหอพักชั้น 1 จะมีสวนดอกไม้ที่เรียกว่า สวนดอกไม้จันทรา และในสวนนั้นก็จะมีสระน้ำที่เรียกว่าสระน้ำจันทราวารีอีกด้วย โดยสวนนี้จะเปิดให้เข้าได้แค่ในช่วงเดือนกรกฎาคมจนถึงเดือนตุลาคมเท่านั้น
มาถึงในช่วงยุคที่ไฮบาระ ชิเงโตะ ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าของตระกูลและเป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลไฮบาระ ซึ่งก็หมายความว่าเขาได้เป็นผู้นำของเกาะด้วย
ชิเงโตะมีลูกสาวชื่อซาคุยะและลูกชายชื่อโย โดยที่ซาคุยะเป็นคนพี่และโยเป็นคนน้อง แม่ของทั้งสองเป็นคนที่มีพลังวิญญาณสูง ซึ่งนั่นทำให้เธอสามารถติดโรคไข้แสงจันทร์ได้ง่ายกว่าคนปกติ ซ้ำร้ายกว่านั้นคือซาคุยะที่เป็นลูกสาวของเธอก็ได้รับพลังวิญญาณมาจากเธอด้วย แต่ถึงอย่างนั้นโยก็ยังเป็นคนปกติ ไม่ได้มีพลังวิญญาณเหมือนกับแม่และพี่สาว
แม่ของทั้งสอง ได้ติดโรคไข้แสงจันทร์และเข้ารักษาที่โรงพยาบาลไฮบาระ ในตอนแรกเธอก็ทนกับโรคได้ แต่หลังจากนั้นอาการของเธอก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเธอทนไม่ไหวแล้วกลัวว่าสักวันเธอจะต้องลืมลูกๆ ของตัวเธอเองแน่ๆ นั่นจึงทำให้เธอได้คิดไปถึงการที่ซาคุยะ ลูกสาวที่มีพลังวิญญาณเหมือนกันจะกลายเป็นคนที่มีสภาพแบบตน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เธอโทษตัวเองเข้าไปใหญ่ว่าตัวเองเป็นคนที่ทำให้ซาคุยะจะต้องติดโรคไข้แสงจันทร์แน่ๆ เธอจึงเขียนจดหมายอำลาก่อนที่จะฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากชั้นดาดฟ้าของโรงพยาบาลไฮบาระ เพราะสาเหตุนี้จึงทำให้ชิเงโตะเริ่มพยายามหาวิธีรักษาโรคไข้แสงจันทร์ด้วยวิธีทางการแพทย์และทางความเชื่อของผู้คนเกาะแบบจริงจัง เพื่อรักษาลูกสาวของตนเอง เขาให้เหล่าหมอและพยาบาลในโรงพยาบาลตรวจสอบการเกิดข้างขึ้นข้างแรมของพระจันทร์ไว้ เมื่อใดที่พระจันทร์เต็มดวงจะทำการล็อคปิดกั้นประตูให้หมดป้องกันการเสียชีวิตจากการตกจากที่สูง แต่ถ้าเป็นคืนที่ไม่มีพระจันทร์จะต้องมีการเดินตรวจกันมากขึ้น
หลังจากที่เสียแม่ไป ซาคุยะก็มักจะอยู่กับโย เธอมักจะฮัมเพลงอยู่บ่อยๆ จนโยจำได้จนขึ้นใจ เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ทั้งสองก็เติบโตขึ้น โยกับซาคุยะก็ได้มีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อว่าอายาโกะ
ไม่กี่ปีต่อมา ซาคุยะได้ถูกเลือกให้เป็นคนทรง นางรำของพิธีโรเงทสึคางุระในครั้งนั้น ตามความเชื่อของผู้คนบนเกาะในช่วงเวลาจันทรคราส เป็นช่วงที่วิญญาณของคนเป็นจะจมสู่ความตายและวิญญาณของคนตายจะกลับมาโลกคนเป็น วิญญาณและความทรงจำของซาคุยะค่อยๆเริ่มออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายของเธอกลายเป็นภาชนะที่ว่างเปล่า เพื่อปลอบประโลมและรำลึกถึงวิญญาณคนตาย เมื่อพิธีสำเร็จ วิญญาณและความทรงจำของซาคุยะก็จะกลับร่างกายตามเดิม ดูเหมือนว่าพิธีคางุระของปีนี้จะสำเร็จไปได้ด้วยดีเหมือนเคย แต่หารู้ไม่ว่าพิธีในครั้งนี้กลับเป็นตัวกระตุ้นให้ซาคุยะเกิดอาการของโรคไข้แสงจันทร์ ด้วยการที่เธอมีพลังวิญญาณและมาทำพิธีนี้ มันทำให้อาการของเธอรุนแรงและรวดเร็วกว่าผู้ป่วยคนอื่นมาก ซาคุยะได้ถูกนำตัวเข้ารักษาในห้องผู้ป่วยแยกที่อยู่ชั้น 4 ห้อง 412 (จันทราที่เยือกเย็น) ของหอพักโรเงทสึที่จัดเตรียมไว้เฉพาะเธอ ทำให้เธอไม่มีโอกาสได้ไปเลี้ยงดูอายาโกะตามที่เธอต้องการ
ด้วยอาการป่วยของซาคุยะ โยจึงคิดที่จะเดินตามรอยเท้าของพ่อตัวเอง เขาได้เดินทางไปที่โตเกียวแล้วก็เปิดคลินิกของตัวเองที่นั่นเพื่อหาวิธีช่วยพี่สาวของเธอ
ชิเงโตะหาวิธีรักษาโรคนี้หลายวิธี เขาใช้การรักษาที่ผสมผสานกันระหว่างวิทยาศาสตร์และความเชื่อบนเกาะเนื่องจากเขายังเคารพในการรักษาดั้งเดิมของตระกูลอยู่ แต่การรักษาที่ดูท่าว่าจะมีหวังที่สุดคือ การศัลยกรรมผ่าตัดสมอง โดยการเพิ่มและลบตัวกระตุ้นสู่สมองโดยตรง ซึ่งเขาก็คิดจะทำการผ่าตัดนี้แบบลับๆ ในห้องแลบชั้นใต้ดิน ใต้ห้องทำงานของเขา
ห้องแลบชั้นใต้ดิน เป็นห้องที่ชิเงโตะสร้างขึ้นเพื่อใช้วิจัยหาทางรักษาโรคไข้แสงจันทร์แบบลับๆ โดยที่ชิเงโตะเป็นคนสั่งให้คนรับใช้ของเขาสร้างห้องแลบนี้ขึ้นมาเอง ซึ่งคนรับใช้เหล่านี้มาจากตระกูลที่ขึ้นตรงต่อตระกูลไฮบาระโดยตรง แต่ทว่าตอนที่กำลังขุดชั้นใต้ดินอยู่นั้น มันก็ได้ไปชนกับอุโมงค์เก่าที่อยู่ใต้ดินของเกาะโรเงทสึเข้า ซึ่งภายหลังทางที่ขุดชนดังกล่าว มันก็กลายเป็นทางที่เชื่อมกันระหว่างห้องแลบลับกับอุโมงค์ไปในที่สุด
หลังจากการขุดชน คนรับใช้ของชิเงโตะก็ได้ลงมาสำรวจถ้ำอุโมงค์และพบว่าที่นั่นไม่มีแสงจันทร์ส่องเข้าถึงเลย ในตอนนี้อุโมงค์ชั้นใต้ดินของเกาะโรเงทสึแห่งนี้ก็มีเรื่องเล่าตำนานอยู่เรื่องหนึ่ง ว่าเมื่อเกิดโศกนาฏกรรมวันไร้ทุกข์เมื่อใด ใครก็ตามที่วิ่งหนีเข้ามาที่นี่จะสามารถมีชีวิตรอดพ้นไปได้เพราะในอดีตได้มีคนวิ่งหนีมาหลบซ่อนที่นี่แล้วรอดชีวิตจริงๆ
พวกคนใช้ของชิเงโตะได้สร้างห้องแลบของชิเงโตะจนเสร็จสิ้น แต่พวกเขาไม่ทราบถึงเหตุผลในการสร้างห้องแลบลับของชิเงโตะ และพวกเขาก็สงสัยในการกระทำของของชิเงโตะอีกต่างหาก เพราะสำหรับคนรุ่นก่อนๆ การก่อสร้างในชั้นใต้ดินของเกาะโรเงทสึนั้นถือเป็นเรื่องต้องห้าม เพราะมันอาจจะทำให้แสงจันทร์ทะลุไปถึงภายในตัวถ้ำและสร้างผลกระทบกับพิธีของคนทรง

หลังจากที่สร้างห้องแลบให้ชิเงโตะเสร็จ ในภายหลังนั้นก็มีการขุดก่อสร้างชั้นใต้ดินอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะขยายพื้นที่ให้โรงพยาบาลไฮบาระใน B1F ก่อนที่ภายหลังจะถูกยกเลิกไปเพื่อป้องกันการขุดไปชนอุโมงค์เก่าของเกาะ
เนื่องจากความคิดที่จะรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีศัลยกรรมผ่าตัดสมอง ทำให้เขาได้แต่งตั้ง คาตากิริ โชจิขึ้นมาเป็นผู้ช่วย เนื่องจากโชจิเป็นหมอที่เรียนจบด้านระบบประสาทสมองมา แต่เดิมแล้วโซจิไม่ใช่คนบนเกาะ เขาเป็นหมอที่มาจากแผ่นดินหลักและเข้ามาทำงานในโรงพยาบาลไฮบาระในภายหลัง โชจิรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ชิเงโตะแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ช่วย
แรกเริ่มที่โชจิเข้ามาที่โรงพยาบาล เขาก็ต้องเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับโรคไข้แสงจันทร์เพราะโรคนี้เป็นโรคที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน และไม่มีอยู่ที่ไหนนอกจากที่นี่ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับมันก็ตาม
หลังจากที่ได้กลายเป็นผู้ช่วย โชจิก็ได้พบปะกับผู้ป่วยที่ติดโรคไข้แสงจันทร์แบบตัวเป็นๆครั้งแรก เขาได้สังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วย ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับโรคนี้เป็นอย่างมาก ชิเงโตะได้บอกเขาว่าโรคไข้แสงจันทร์เป็นโรคที่พิเศษมาก ไม่ควรเร่งรีบรักษา แล้วเขาก็แสดงวิธีการรักษาให้โชจิดู หลังจากที่โชจิได้เห็นการรักษาของชิเงโตะ เขาก็รู้สึกทึ่งมาก เพราะชิเงโตะใช้วิธีต่างๆที่เขาคาดไม่ถึงและดูแตกต่างจากวิธีการรักษาที่สากลเขายอมรับกัน แต่ถึงอย่างนั้นวิธีการรักษาส่วนใหญ่ของชิเงโตะก็จะมุ่งเน้นที่การผ่าตัดและบำบัดเยียวยาผู้ป่วยซะมากกว่า ทำให้โชจิเริ่มศึกษาเกี่ยวกับวิธีการรักษาของชิเงโตะ
วันหนึ่งชิเงโตะได้เริ่มทำการทดสอบการผ่าตัดศัลยกรรมสมองผู้ป่วยรายหนึ่งที่มีชื่อว่าทาเคมุระ ยูโซ ชิเงโตะได้ดำเนินการผ่าตัดนี้แบบลับๆ ภายในห้องแลบลับที่อยู่ชั้นใต้ดินของห้องทำงานของเขา ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าพวกตนทำสำเร็จ แต่อยู่ดีๆ อาการของยูโซก็แย่ลงอย่างกะทันหัน ส่งผลทำให้ยูโซเสียความทรงจำ กลายเป็นร่างกายที่ว่างเปล่าและเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา ซึ่งก่อนที่เขาจะเสียชีวิตใบหน้าของเขาก็ดูบิดเบี้ยวไป ซึ่งนั่นทำให้โชจิตั้งข้อสงสัยว่าบางที สิ่งนี้อาจจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการผลิบาน หลังจากการทดลอง ใบหน้าของยูโซก็ถูกเอาไปตัดออกเพื่อป้องกันการผลิบาน ส่วนร่างกายของเขานั้นก็ถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ ที่อ่างล้างมือในห้องเตรียมตัวผ่าตัด และชิ้นส่วนศพของเขานั้นก็ถูกใช้เป็นที่ศึกษาถึงผลข้างเคียงของผลการทดลองต่อไป
โทโนะ สึบากิ เธอได้เข้ามาทำงานเป็นนางพยาบาลที่เกาะโรเงทสึตามคำแนะนำของลุง เธอได้เข้าทำงานที่ชั้น 3 ในหอพักโรเงทสึ ผู้คนบนเกาะก็ใจดีกับเธอมากคอยสอนเธอทุกอย่าง ทำให้เธอต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อตอบแทนความใจดีของผู้คนบนเกาะ ด้วยความพากเพียรนั้น ทำให้เธอได้รับความภาคภูมิใจจากผู้คนบนเกาะเป็นจำนวนมาก
ในตอนนี้ อายาโกะได้มีอายุ 12 ปี เธอได้ติดโรคไข้แสงจันทร์และถูกนำเข้ารักษาตัวในห้อง 207 (จันทรากล้วยไม้)ชั้น 2 ของหอพักโรเงทสึ ที่มีนางพยาบาล ชิระสึกิ ฟุยุโกะ เป็นคนดูแล เนื่องจากอายาโกะไม่มีคนคอยเลี้ยงดู เธอจึงเป็นพวกที่มีนิสัยซาดิสก์ชอบทารุณสิ่งอื่น แต่ถึงอย่างนั้นผู้คนในโรงพยาบาลก็ยอมรับการกระทำนั่นเพราะเธอเป็นเด็กที่ชิเงโตะพาเข้ามาเอง ทุกคนเลยเชื่อว่าเด็กคนนี้ต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชิเงโตะแน่นอน หมอที่เข้าไปตรวจอายาโกะได้บอกกับอายาโกะว่าความชอบในการสะสมของต่างๆ ของเธอ สามารถช่วยเยียวยาอาการของเธอได้ ทำให้อายาโกะสะสมของที่ตัวเองคิดว่าสวยไปเรื่อยๆ และสิ่งนั้นก็คือชิ้นส่วนของแขนและขา เธอจึงสะสมหัวและแขนขาของตุ๊กตาจนทำให้ห้องของเธอนั้นเต็มไปด้วยชิ้นส่วนร่างกายของตุ๊กตา
ในเวลาถัดมาอาโสะ มิซากิ และสึกิโมริ มาโดกะเพื่อนสนิทของเธอ ก็ได้ติดโรคไข้แสงจันทร์และถูกนำตัวมารักษาในหอพักโรเงทสึเช่นกัน มิซากิเป็นคนที่มีพลังวิญญาณและได้เข้าพักรักษาในห้อง 310(เทพจันทราที่จากไป) บนชั้น 3 ที่มี สึบากิ โทโนะ เป็นคนดูแล ส่วนมาโดกะก็ได้เข้าพักรักษาตัวในห้อง 203 (จันทราบริสุทธิ์) ชั้น 2 ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับอายาโกะ ทำให้มาโดกะมักจะถูกอายาโกะแกล้งเสมอ จนมิซากิต้องมาช่วยอยู่บ่อยครั้ง
สำหรับอาการของมิซากิ ในตอนแรกที่มิซากิเข้ามารักษาตัว เหล่าหมอกับพยาบาลยังยืนยันไม่ได้ว่ามิซากิติดโรคไข้แสงจันทร์ เพราะพวกเขาไม่สามารถระบุได้ว่าอาการของมิซากิเข้าสู่ระยะออกดอกแล้วหรือยัง แต่เมื่อเวลาผ่านไปความจำของมิซากิและความจำที่มีต่อตัวตนของตัวเองก็เริ่มถดถอยลง และมีความกลัวเมื่อมองกระจก ทำให้หมอวินิจฉัยว่าเธอติดโรคไข้แสงจันทร์จริงๆ ซึ่งเหล่าหมอก็ระบุว่าการรักษาเด็กที่ติดโรคไข้แสงจันทร์ที่มีอายุอยู่ในช่วงก่อน 10-12 ปีนั้น เป็นเรื่องที่ยากมากเลยทีเดียว
ทางฝั่งไฮบาระ ชิเงโตะ เขาได้เสนอที่จะทำการผ่าตัดทดลองอีกครั้งเพื่อหาทางรักษาโรคระบาด โดยครั้งนี้ผู้ป่วยก็คืออาซากิ ฮิซุกิ ซึ่งในตอนแรกอาซากิก็ปฏิเสธ เพราะเธอได้ยินว่ามีผู้ป่วยอาการแย่ลงหลังจากการผ่าตัด แต่สุดท้ายเธอก็ได้รับการผ่าตัด หลังจากการผ่าตัดครั้งแรกเสร็จสิ้น อาซากิเขียนบันทึกลงไปในไดอารี่ของเธอ การผ่าตัดครั้งแรกทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่ากลัวกับอาซากิเป็นอย่างมาก เมื่อหัวของเธอเริ่มเป็นสีแดง ความเจ็บปวดนี้ถึงกับทำให้อาซากิร้องไห้ ซึ่งระหว่างที่เธอร้องไห้เธอก็พบว่า น้ำตาของเธอกลับกลายก็เป็นสีเลือดไปด้วย อาซากิเขียนลงในไดอารี่ว่าวันพรุ่งนี้เขาก็จะผ่าตัดเธออีก อาซากิรู้สึกเกลียดชังการผ่าตัดและเจ็บปวดมาก แต่แม่ของเธอกลับเชื่อมั่นและปล่อยให้เธอได้รับการผ่าตัด หลังจากการผ่าตัดครั้งที่ 2 เสร็จสิ้น อาการของเธอดูเหมือนจะดีขึ้นแต่ทว่าในคืนนั้น อาการของเธอก็แย่ลงอย่างฉับพลันและเสียชีวิต เหล่าแพทย์ก็พยายามที่จะช่วยชีวิตเธอให้กลับมา แต่ก็สายไปเสียแล้ว อาซากิเสียชีวิตในวัยเพียงแค่ 6 ปี ในเวลาเที่ยงคืน 23 นาที (ไม่รู้วันที่) ในใบชันสูตรศพของเธอระบุสาเหตุการตายของเธอว่า “ไม่ทราบแน่ชัด แต่น่าจะมาจากสภาพร่างกายที่อ่อนแอ”
การผ่าตัดนี้ของชิเงโตะที่ไร้จรรยาบรรณนี้ เริ่มทำให้โชจิรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นโชจิก็ยังคงหาทางรักษาโรคไข้แสงจันทร์กับชิเงโตะอยู่ดี
สำหรับชิเงโตะแล้ว ตัวเขานั้นตั้งแต่เป็นหมอมาเขาก็สู้กับโรคไข้แสงจันทร์มาโดยตลอด เขาคิดหนักอยู่ตลอดว่าจะมีทางรึเปล่าที่จะสามารถรักษาโรคไข้แสงจันทร์ให้หายออกไปและช่วยลูกสาวเขาได้ แต่สุดท้ายแล้วก็สิ่งที่เขาคิดออกก็มีแค่หนทางเดียวคือการรื้อฟื้นพิธีกรรม หวนคืนวัฐจักร ที่ถูกยกเลิกไปนับร้อยปีก่อน โดยจะใช้หน้ากากจันทรคราสในพิธี ชิเงโตะรู้ว่ามันเป็นสิ่งต้องห้ามแต่ก็ต้องทำเพราะมันเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยรักษาโรคไข้แสงจันทร์ได้ อีกทั้งเพราะว่าเวลาที่จันทรคราสจะกลับมาในรอบ 10 ปี กำลังมาถึง เขาจะพลาดโอกาสแบบนี้ไปไม่ได้ สำหรับพิธีครั้งนี้ ชิเงโตะ ได้คิดที่จะเลือกซาคุยะมาเป็นคนทรงในพิธีกรรม หวนคืนวัฐจักร หลังจากที่เขาตัดสินใจเสร็จสิ้น เขาก็ได้บอกโชจิให้เตรียมพร้อมสำหรับพิธีกรรมซึ่งนั่นก็ทำให้โชจิรู้สึกสงสัยว่าวิธีการรักษาแบบ พิธีหวนคืนวัฐจักร เป็นอย่างไร
ชิเงโตะได้ไปปรึกษาโยโมะสึกิ โซยะที่เป็นผู้นำของตระกูลโยโมะสึกิในช่วงเวลานั้นให้สร้างหน้ากากจันทรคราสขึ้นมา โซยะยินดีที่จะสร้างหน้ากากให้สำหรับพิธีกรรม เขาใช้เวลาศึกษาหน้ากากแห่งจันทรคราสโดยศึกษาจากหนังสือวิธีสร้างหน้ากากจันทรคราสของโซเอทสึที่ถูกซ่อนไว้ในโถงชูเก็น โซยะได้ศึกแนวคิดของโซเอทสึเกี่ยวกับการเข้าถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเขาก็ได้ประทับใจกับแนวคิดนี้มาก
ชิเงโตะอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้หน้ากากของโซเอทสึนำมาซึ่งโศกนาฏกรรม เขาจึงนำคำถามมาถามโซยะ โซยะเชื่อว่าที่การที่หน้ากากของโซเอทสึนำมาซึ่งโศกนาฏกรรม เป็นเพราะโซเอทสึสร้างมันออกมาได้ไม่สมบูรณ์ หน้ากากใบนั้นได้ไปเปิดพื่นที่ต้องห้ามในจิตใจเข้า ซึ่งหากจะทำหน้ากากให้สมบูรณ์ได้ตามแนวคิดของโซเอทสึ หน้ากากจะต้องสามารถทำให้ผู้สวมใส่กลายเป็นความว่างเปล่า และกลับคืนจากความว่างเปล่าได้เช่นกัน นอกจากนั้นชิเงโตะก็ได้ช่วยศึกษาว่าหน้ากากจะส่งผลอย่างไรต่อจิตใจของผู้สวมใส่ ซึ่งโซยะก็ขอให้เขาช่วยในเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งคู่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยชิเงโตะจะหาข้อมูล และโซยะจะเป็นคนทำหน้ากากขึ้นมา
ต่อมาชิเงโตะก็ได้นำรูปภาพที่ ดร.คุนิฮิโกะถ่ายไว้ในอดีตมาให้โซยะดู หนึ่งในภาพเหล่านั้น ได้มีภาพใบหนึ่งที่เตะตาของโซยะ สำหรับคนอื่นแล้วพวกเขาคงจะมองข้ามภาพใบนี้ แต่สำหรับโซยะนั้น เขารับรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่อยู่ในภาพนี้ก็คือหน้ากากจันทรคราสที่โซเอทสึเป็นคนสร้างขึ้นมากับมือ โซยะตกใจที่กล้องนั่นสามารถถ่ายภาพอดีตได้ แต่ที่สำคัญคือหน้ากากที่อยู่ในภาพนั้น ถึงแม้ว่ารูปถ่ายจะไม่ชัด แต่เขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของโซเอทสึได้ เขามองว่าภาพถ่ายนี้ได้จับภาพของหน้ากากและเป้าหมายของโซเอทสึได้อย่างชัดเจน พอเห็นดังนั้น เขาจึงตั้งใจว่าเขาจะสร้างหน้ากากที่สมบูรณ์แบบให้เหนือกว่าหน้ากากที่โซเอทสึทำขึ้นมาให้ได้
โซยะมีภรรยาที่ชื่อว่า ซายากะ ซึ่งเธอมีความลับบางอย่างที่ไม่ได้บอกโซยะ ว่าเธอคือมิโกะพิทักษ์จันทราคนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าซายากะก็มีพลังวิญญาณสูงอยู่เช่นกัน ในบางครั้งซายากะจะร้องเพลงพิทักษ์จันทรา ซึ่งเป็นเพลงที่สืบทอดต่อกันมาของมิโกะพิทักษ์จันทรา จนทำให้โซยะที่ได้ยินอดใจไม่ไหวแล้วถามเธอทุกครั้งว่ามันคือเพลงอะไร แต่ซายากะก็เลี่ยงที่จะตอบคำถามไปเพื่อรักษาความลับของตน ถึงแม้ว่าประเพณีของมิโกะพิทักษ์จันทราจะหายไปแล้วก็ตาม แต่ทุกๆวัน ซายากะก็มักจะสอนเพลงพิทักษ์จันทราให้รุกะลูกสาวของเธอเล่นเป็นประจำ และรุกะเองก็เป็นเด็กที่มีพลังวิญญาณเหมือนซายากะเช่นกัน
หลังจากที่โซยะรับงานมาจากชิเงโตะเขาก็เอาแต่ทำงานอยู่ในโถงชูเก็น(ห้องทำหน้ากาก)ทั้งวัน ไม่มีเวลาไปดูแลครอบครัว ทำให้ซายากะกับโซยะทะเลาะกันบ่อยมาก รุกะเองที่ไม่ได้เจอโซยะนาน เวลาเธอเข้าไปเล่นในสวน เธอมักจะได้ยินเสียงมาจากห้องทำงานของโซยะ แต่เธอก็ไม่ได้เข้าไปหาโซยะเลย วันหนึ่งรุกะได้เข้าไปหาโซยะ แต่เธอกลับหวาดกลัวโซยะเพราะว่าเขาใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลา โซยะได้ทดสอบหน้ากากอันมากมายหลายชนิดของเขาให้รุกะ โดยให้รุกะนอนอยู่บนแท่นหน้าศาลเจ้า และเขาก็สวมหน้ากากที่เขาสร้างมาให้รุกะ ในระหว่างที่รุกะสวมหน้ากากเธอก็รู้สึกเหมือนเธอเป็นคนอื่น ซึ่งนั่นก็เป็นครั้งแรกที่บทเพลงจันทราของรุกะถูกเสียงเพลงจันทราของคนตายเข้าแทรกแซง จนทำให้รุกะติดโรคไข้แสงจันทร์
รุกะเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆและทุกๆคืนที่มีพระจันทร์เธอจะเดินออกไปที่สวนเพื่ออาบแสงจันทร์ ซายากะที่เห็นรุกะยืนอยู่ก็เข้าไปกอดเธอ แต่รุกะกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง อีกทั้งรุกะยังมีอาการกลัวเมื่อส่องกระจก ซายากะที่เห็นความผิดปกติของลูกสาวก็รู้ทันทีเลยว่ารุกะได้ติดโรคระบาดเข้าแล้วและเธอก็รู้ด้วยว่าสาเหตุเป็นเพราะโซยะ เธอจึงไปขอร้องชิเงโตะให้ช่วยรักษารุกะ รุกะจึงถูกนำเข้ารักษาในห้อง 308 (ทิวทัศน์จันทรา) ที่ชั้น 3 ของหอพักโรเงทสึ ในห้องพักของรุกะมีเปียโน เพราะฉะนั้นซายากะจึงสามารถสอนรุกะเล่นเพลงพิทักษ์จันทราทุกวันได้ถึงแม้ว่ารุกะจะไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้วก็ตาม
ซายากะเริ่มกังวลว่าโซยะสามีของตนเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ เธอเริ่มสงสัยว่าอะไรที่เป็นแรงผลักดันที่ทำให้โซยะตั้งใจทำงานอยู่ในห้องทำหน้ากากถึงเพียงนี้ เธอจึงไปถามโซยะแต่ดูเหมือนว่าโซยะจะไม่บอกอะไรสักอย่างให้เธอฟัง ซายากะจึงกังวลว่าหลังจากที่เขาทำงานเสร็จ โซยะจะกลับมาเป็นคนเดิมหรือเปล่า แต่กลับมีบางสิ่งในใจเธอที่บอกว่าโซยะไม่มีทางกลับมาเป็นคนที่เธอเคยรู้จักได้อีกแน่ ทางที่ดีเธอจึงให้รุกะอยู่ห่างๆ โซยะไว้ก่อน
ในหอพักโรเงทสึชั้น 3 นอกจากมีมิซากิกับรุกะพักแล้ว ยังมีคนไข้อีก 2 คนพักอยู่ที่ชั้นนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งคนแรกก็คือ ยูโก มาคากิ แต่เดิมแล้วยูโก มาคากิ เป็นจิตรกรชื่อดังและเป็นคนที่บริจาคเงินของตัวเองให้โรงพยาบาลไฮบาระ ภาพวาด รวมทั้งงานดีไซน์ต่างๆ ให้กับหอพักโรเงทสึอย่างเช่นกุญแจของแต่ละห้องอีกด้วย หลังจากที่เขาติดโรคไข้แสงจันทร์ เขาก็ได้เข้ารับการรักษาและพักอยู่ที่หอพักโรเงทสึชั้น 3 ห้อง 309 (จันทราหลากสี) แต่เนื่องจากเขาเป็นจิตรกรชื่อดัง ทำให้มีห้องประดับภาพวาด ซึ่งเป็นห้องที่มีไว้เพื่อติดรูปภาพที่เขาวาดขึ้นมาโดยเฉพาะอีกด้วย มาคากิเป็นคนที่มีพลังวิญญาณ เมื่อไหร่ที่เขาเกิดอาการหลงลืมเพราะโรคไข้แสงจันทร์ เขาจะเริ่มเห็นภาพนิมิตแปลกๆ พร้อมทั้งลงมือวาดภาพที่เขามองเห็นนั่นด้วย
คนไข้อีกคนหนึ่งมีชื่อว่าเซนโด คาเงริ แต่เดิมนั้นคาเงริมีพี่สาวฝาแฝดอยู่หนึ่งคนชื่อว่า “คาโอรุ” คาเงรินั้นได้หลงรักพี่สาวฝาแฝดของตน เธอจึงได้สารภาพรักความรู้สึกของตนให้แก่คาโอรุ แต่คาโอรุปฏิเสธเธอ ทำให้คาเงริรู้สึกโมโหจึงผลักคาโอรุจนล้มลง ซึ่งการผลักนั้นรุนแรงมากจนถึงขั้นที่คาโอรุไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ คาโอรุรู้ว่าเธอไม่สามารถหนีไปไหนจากคาเงริได้ เธอจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากคาเงริ แต่จนวาระสุดท้าย เธอก็ยังคงหวังว่าจิตใจของคาเงริจะกลับสู่แสงสว่าง
หลังจากที่พี่สาวเสียชีวิต คาเงริจึงสร้างตุ๊กตาที่มีขนาดเท่าคนให้มีรูปร่างเหมือนคาโอรุ เธอเชื่อว่าในตอนนี้คาโอรุและเธอได้กลายเป็นคนเดียวกันแล้ว เธอจึงตั้งชื่อตุ๊กตาตัวนั้นว่า “วาตาชิ”ที่แปลว่าฉัน เธอมักจะให้วาตาชินั่งเก้าอี้เข็นสีแดงสำหรับคนพิการ และพาวาตาชิเดินเล่นเข้าไปอยู่ในสวนดอกไม้จันทราของหอพักบ่อยๆ
ทางด้านไฮบาระ โย ที่ไปเปิดคลินิกอยู่ที่โตเกียว เขาได้ทดลองศัลยกรรมทางการแพทย์เพื่อหาทางรักษาซาคุยะ แต่มันกลับส่งผลให้คนไข้ 3 คนเสียชีวิต ทำให้โยกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีครั้งนี้และถูกตำรวจตามจับ โยจึงหนีกลับมาที่เกาะโรเงทสึและซ่อนตัวอยู่ในห้องลับที่อยู่ข้างๆห้องของอายาโกะ
หลังจากที่โยกลับมา เขาก็ได้ฟังแผนการที่จะรื้อฟื้นพิธีกรรมจากชิเงโตะพ่อของตน และก็เห็นด้วยเพราะมันคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วในการที่จะรักษาซาคุยะ ถึงมันอาจจะทำให้ซาคุยะแย่ลงกว่าเดิม แต่เขาก็คิดว่าพิธีกรรมต้องถูกทำขึ้นอีกครั้งหนึ่งเพื่อขจัดโรคร้ายออกไป เขาจึงช่วยชิเงโตะเตรียมการต่างๆสำหรับพิธีกรรม โดยการหาตัวเด็กที่จะมาเป็นผู้บรรเลงดนตรีนั้นจะเป็นหน้าที่ของโยเอง
ในระหว่างที่โยกำลังช่วยพ่อเตรียมการเกี่ยวกับพิธีกรรม เขาก็สืบเสาะหาข้อมูลมากมายในตอนนั้นเองที่เขานึกได้ว่าเขาเคยมีคนไข้ผู้หญิงคนหนึ่งที่ติดโรคระบาด คนไข้คนนั้นได้ความทรงจำกลับมาหลังจากเล่นเปียโน ราวกับว่าเพลงที่เธอเล่น มันช่วยให้เธอสัมผัสถึงตัวตนภายในของเธอ แต่น่าเสียดายหลังจากที่ผู้ป่วยหญิงคนนั้นได้ความทรงจำกลับมา เธอก็ฆ่าตัวตายทันที ดูเหมือนว่าความทรงจำนั้นมันอาจจะโหดร้ายเกินไปกับเธอก็ได้ ถึงจะน่าเศร้าแต่มันก็ทำให้โยรู้ได้ว่าดนตรีนั้นสามารถสัมผัสถึงจิตใจภายในของผู้คนในขณะที่คำพูดทำไม่ได้
พอโยนึกถึงดนตรีแล้วมันก็ทำให้เขานึกได้ว่าบนเกาะนี้ก็เคยมีเพลงอยู่เพลงหนึ่ง ซึ่งเขาเองก็เคยได้ยินตั้งแต่สมัยเด็กๆ และเพลงนั้นก็คือเพลงจันทรา ซึ่งบทเพลงจันทรานั้นในตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ถูกเล่ากันปากต่อปากลงมาจากอดีตเท่านั้น ทำให้บทเพลงส่วนใหญ่สูญหายไป แต่เขาก็จำได้ว่าตระกูลของเขานั้นก็เก็บโน๊ตเพลงนี้เอาไว้เช่นกัน เขาจึงลองค้นหาและก็พบกับโน๊ตเพลงจันทราเก่าๆ ที่ถูกเผา โยจึงได้ใช้กล้อง Obscura ของดร.อาโสะ ถ่ายภาพกู้โน้ตดนตรีที่เสียหาย และทำการถอดเพลงจันทรามาจากแผ่นภาพนั้น
หลังจากที่กู้โน้ตดนตรีเสร็จ โซยะก็ได้รับโน้ตเพลงจันทราที่ถูกกู้คืนมาจากไฮบาระ เนื่องจากเพลงนี้เป็นกุญแจในการเปิดประตูศาลเจ้าที่อยู่ในห้องมุก ซึ่งหลังประตูศาลเจ้านั้นก็คือทางสู่ลานจันทราใต้ดินและเป็นสถานที่ที่จัด พิธีหวนคืนวัฐจักร ที่ถูกปิดไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกเขาได้แก้กลไกเปิดประตูหลังศาลเจ้าโดยดูจากตัวโน๊ตที่ถูกกู้มา ทำให้ศาลเจ้ามีเสียงเพลงดังขึ้นก่อนที่จะเปิดประตูที่อยู่ข้างหลังไปได้ แต่ตอนนั้นเองที่โซยะได้ฟังเพลง เขากลับรู้สึกบางอย่าง เหมือนเขาจะเคยได้ยินเพลงคล้ายๆ แบบนี้ที่ไหนมาก่อน....
นอกจากโยจะนำเพลงที่กู้มาให้โซยะไปแล้ว เขายังนำเพลงที่ได้มาจากการถอดโน้ตมา มาใช้บำบัดโรคไข้แสงจันทร์อีกด้วย แต่ว่าตัวเขานั้นกำลังอยู่ในระหว่างการหลบซ่อนจากคดีอยู่ เขาเลยใช้วิธีการส่งจดหมายบันทึกไปให้นางพยาบาลฟุยุโกะที่ทำหน้าที่อยู่ห้องกระจายเสียงชั้น 2 ให้ไปรับโน้ตเพลงจันทราจากห้อง 207 ซึ่งเป็นห้องของอายาโกะแทน ฟุยุโกะได้เปิดทดสอบเพลงบำบัดที่ได้มา เหล่าหมอพยาบาลก็สังเกตเห็นว่าผู้ป่วยมีปฏิกิริยารุนแรงกับเพลงนี้มาก เช่นเดียวกับรุกะที่อยู่ในระยะออกดอก ความทรงจำของเธอเริ่มหายไปทีล่ะนิดๆ แต่พอเธอได้ฟังเพลงบำบัดนี้ เธอก็บอกว่าเพลงนี้ทำให้เธอจำเรื่องราวที่น่ากลัว เธอจำเรื่องราวของที่บ้าน หน้ากาก และก็พ่อของเธอที่ใส่หน้ากาก รุกะอยากพบพ่อของเธอมากแต่ซายากะกีดกันไม่ให้รุกะเข้าไปใกล้พ่อของเธอ เพราะโซยะอาจจะทำให้โรคของรุกะรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
แรกเริ่มที่รุกะเข้ามาในหอพัก เธอมีความสุขมากและเธอก็ได้เพื่อนใหม่อย่างมิซากิและมาโดกะ ทั้ง 3 คนชอบวิ่งซุกซนไปทั่วหอพักเป็นประจำ ทั้ง 3 มักจะเล่นเกมหารหัสผ่าน ซึ่งรหัสผ่านนั้นมันก็คือรหัสผ่านของประตูที่นำไปสู่หวอดคนไข้ของชั้น 2 โดยวิธีการเล่นก็คือ แรกเริ่ม จะมีคนใดคนหนึ่งเขียนรหัสของประตูไว้ที่ไหนสักแห่ง หลังจากนั้นก็คนที่เขียนรหัสก็จะให้คำใบ้ที่ระบุถึงตำแหน่งของรหัสมาให้ แล้วคนที่เหลือก็ต้องไปหาตำแหน่งที่รหัสผ่านนั่นเขียนอยู่ ซึ่งการเล่นเกมนี้ทำให้ประตูชั้นสองถูกปลดล็อคจนบ่อยครั้ง จึงทำให้หมอและนางพยาบาลที่นั่นไม่พอใจและดุทั้งสามคน เพราะการเปิดประตูอาจจะทำให้คนไข้ที่มีอาการเดินละเมอ เดินออกจากโรงพยาบาลได้
วันหนึ่งมิซากิได้ซุกซนแอบขึ้นไปที่ชั้น 4 และเธอก็รู้รหัสของประตูเหล็กที่ป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้าไปหาซาคุยะอีกด้วย มิซากิได้เปิดประตูเข้าไปพบกับซาคุยะที่นั่งอยู่บนเตียง เธอเข้าไปทำความรู้จักและเริ่มสนิทสนมกับซาคุยะมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความที่ทั้งสองมีพลังวิญญาณเหมือนกัน ทำให้มิซากิรู้สึกได้ว่าเสียงในตัวเธอกับเสียงในตัวของซาคุยะนั้นเข้ากันได้ดี สำหรับซาคุยะแล้ว มิซากิคงเป็นเพื่อนคนเดียวที่ไม่มีทางลืมตัวตนของเธอไปได้แน่ๆ
มิซากิเริ่มไปหาซาคุยะทุกๆวันถึงแม้ว่านางพยาบาลที่ประจำชั้น 4 จะพยายามดุพยายามห้ามเธอมากแค่ไหนก็ตาม มิซากิก็เข้าไปหาซาคุยะได้เสมอ เพราะเหตุนี้จึงทำให้โชจิได้สังเกตพฤติกรรมของทั้ง 2 คน และกลายมาเป็นแพทย์ประจำของมิซากิด้วย มิซากิมักจะถูกทดลองทางการแพทย์อยู่เป็นบางครั้งเพื่อหาทางรักษาโรคไข้แสงจันทร์ เนื่องจากเธอเข้ากับซาคุยะที่มีอาการหนักได้ดี
สำหรับคนที่มีพลังวิญญาณแล้วติดโรคไข้แสงจันทร์นั้น จะมีโอกาสหลงลืมตัวตนของตัวเองสูงมาก และบางครั้งบุคลิคของพวกเขาก็จะเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนอีกคน สำหรับมิซากิกับซาคุยะนั้น การพบปะกันของคนสองคนที่มีพลังวิญญาณเหมือนกันเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะถ้าจิตใจของทั้งสองคนเสถียรมันจะช่วยเยียวยาอาการของทั้งสองได้ดี แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ใครคนใดคนหนึ่งเสียสมดุลไป มันจะทำให้อาการของทั้งสองทรุดหนักมากกว่าเดิม จึงทำให้เหล่าหมอและพยาบาลจับตาดูสองคนนี้ ไว้เมื่อใดที่จิตใจของซาคุยะไม่เสถียรจนคลุ้มคลั่ง เหล่าหมอและพยาบาลก็เตรียมพร้อมที่จะห้ามไม่ให้มิซากิขึ้นมาอีกทันที
อาการของซาคุยะรุนแรงอยู่ในขั้นเสียงสะท้อนจนทำให้มีผลกระทบรุนแรงต่อนางพยาบาลประจำชั้น 4 ที่กำลังดูแลในชั้นของเธอ นางพยาบาลคนนั้นเรียกซาคุยะว่าผู้หญิงไร้หน้า เพราะเธอจำใบหน้าของซาคุยะไม่ได้เลย เธอรู้สึกว่าใบหน้าของซาคุยะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอจ้องมองใบหน้าของซาคุยะ เธอจะเริ่มรู้สึกเสียความเป็นตัวของตัวเองไปทีละนิด ยิ่งนางพยาบาลคนนั้นทำงานประจำชั้นนี้นานเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งมีความรู้สึกเหมือนซาคุยะคอยเรียกให้เธอเข้าไปหาทุกที นางพยาบาลคนนั้นเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงเขียนจดหมายคำร้องเปลี่ยนแผนกส่งให้ทางโรงพยาบาล แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติ
ทุกๆ วันหมอโชจิ ก็ได้สังเกตเห็น ว่านางพยาบาลคนนั้นมักจะเดินรอบๆ ประตูกรงเหล็กของชั้น 4 โดยไม่มีสาเหตุ จนกระทั่งวันหนึ่งนางพยาบาลคนนั้นได้เกิดอาการคลั่งและเสียสติ วิ่งเข้ามาฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตาซาคุยะ โชจิที่รู้ข่าวก็รีบวิ่งเข้ามา เขาพบร่างของนางพยาบาลที่เสียชีวิตและสภาพของภายในห้องที่กระจัดกระจาย แต่ซาคุยะก็กลับนั่งอยู่บนเตียงและยิ้มเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ในขณะเดียวกัน โชจิก็รู้สึกประหลาดที่เขาก็ไม่สามารถจำใบหน้าของซาคุยะได้ เขายังบอกอีกว่านางพยาบาลคนอื่นที่เคยมาอยู่ก่อนหน้านี้ก็เคยรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน โชจิเลยคิดว่าบางทีประตูเหล็กที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อชั้นนี้นั้น อาจจะไม่ได้สร้างมาเพื่อกั้นไม่ให้คนไข้เดินออกจากห้อง แต่เป็นการกั้นไม่ให้คนภายนอกเข้าไปหาคนไข้ซะมากกว่า ไม่กี่วันถัดมา หอพักโรเงทสึชั้น 4 ก็ได้โชโนะซากิ ชิเอะ นางพยาบาลจากฝั่งโรงพยาบาลไฮบาระมารับหน้าที่แทนนางพยาบาลคนก่อนที่ฆ่าตัวตายไป
ตอนที่ชิเอะเข้ามาทำงานที่ชั้น 4 ช่วงแรกๆ ในเอกสารที่เธอได้รับจาก ผอ. ชิเงโตะ ได้ระบุไว้ว่าคนไข้ในชั้นนี้ชื่อซาคุยะ โดยมีข้อห้ามว่าห้ามเรียกชื่อเธอหรือมองจ้องหน้าของเธอเป็นอันขาด แต่พอชิเอะเข้าไปหาซาคุยะ เธอก็เผลอเรียกชื่อซาคุยะขึ้นมา แต่ซาคุยะก็ไม่มีท่าทีที่จะตอบกลับ หลังจากนั้นชิเอะก็เริ่มมีอาการแปลกๆ เธอเริ่มจำชื่อของซาคุยะไม่ได้ เธอเริ่มรู้สึกว่า คนที่อยู่ในห้อง 412 นั้น ไม่ใช่คนเดียวกัน
หลังจากที่ชิเอะเข้ามารับตำแหน่ง โชจิก็ได้มาช่วยเฝ้าดูอาการของซาคุยะด้วย ในความคิดของเขา เขาคิดว่าการที่ซาคุยะมีพลังวิญญาณขั้นรุนแรงและมาติดโรคระบาดแบบนี้ มันดูเป็นสภาพที่ไร้ความหวังมาก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ซาคุยะก็คือตัวอย่างของผู้ป่วยที่สำคัญคนหนึ่ง เขาจึงยังเฝ้าดูอาการต่อไป ซึ่งเขาก็พบว่าในขณะที่ซาคุยะกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่หอพัก ด้วยผลกระทบของโรคระบาด บางครั้งซาคุยะก็จะมักหลงลืมตัวตนของตัวเอง เธอจึงเลือกใช้ตุ๊กตารักษาความรู้สึกของตัวเธอเอง เพราะเธอเชื่อว่าเธอสามารถเก็บชิ้นส่วนของจิตใจเธอลงในตุ๊กตาได้ ไว้วันใดที่เธอลืมแม้กระทั่งตัวเอง ตุ๊กตาที่มีชิ้นส่วนจิตใจของเธอ จะสามารถช่วยเหลือเธอไม่ให้ลืมตัวเองได้ เพราะสาเหตุนั้นทำให้ห้องพักของซาคุยะเต็มไปด้วยตุ๊กตาที่เธอทำขึ้นเองมากมาย โชจิคิดว่าวิธีการดูแลตัวเองของซาคุยะน่าสนใจมาก แต่เขาก็คิดอีกว่ามันก็คงเป็นการรักษาชั่วคราวที่คอยยืดเวลาไม่ให้สภาพจิตใจของตัวเธอเองพังทลายเร็วลงเท่านั้น
หลังจากที่ซาคุยะเสียแม่ไปนานแล้ว ในที่สุดซาคุยะก็สามารถรวบรวมความกล้าที่จะอ่านจดหมายลาตายของแม่ตัวเองได้ มันทำให้ซาคุยะได้รู้ว่าแม่ของเธอเองก็กลัวว่าซาคุยะจะกลายเป็นแบบตนเอง เพราะว่าซาคุยะเองก็มีพลังวิญญาณเหมือนกับตน พอได้อ่านเสร็จ แทนที่ซาคุยะจะเป็นห่วงตัวเอง เธอกลับเป็นห่วงน้องชายของตนซะมากกว่า เพราะเธอรักน้องชายของเธอมาก เวลาซาคุยะมีเรื่องทีไรโยก็จะมาปกป้องซาคุยะเสมอ แม้ว่ามันจะเป็นการทำร้ายผู้อื่นก็ตาม ถึงแม้ภายนอกของโยจะดูน่ากลัว แต่ซาคุยะก็เข้าใจดีว่าจริงๆแล้วโยเป็นคนอ่อนโยนและละเอียดละอ่อน ทำให้เธออยากจะอยู่กับโยไปเรื่อยๆ ก่อนที่เธอจะต้องประสบชะตากรรมเดียวกันกับแม่ของเธอ
หลายวันผ่านไป ซาคุยะเริ่มรู้สึกถึงอาการที่แย่ลงของตัวเอง ตุ๊กตาที่เธอคอยใส่จิตใจลงไปทุกๆวันนั้น เริ่มไม่สามารถตอบความทรงจำของเธอได้อีก ซาคุยะเริ่มวิตกกังวล จากที่มิโกะสึกิโมริกล่าวไว้ว่าเสียงเพลงจันทรานั้นสร้างมาจากวิญญาณและวิญญาณของผู้คนก็คือเสียง ซาคุยะที่มีพลังวิญญาณสูงตั้งแต่เด็กเองก็ได้ยินเสียงเหล่านั้นเช่นกัน เธอเริ่มได้ยินเสียงของเหล่าวิญญาณของผู้คนที่ล่วงลับและยังวนเวียนอยู่บนเกาะที่สิงสู่อยู่ในตัวเองมากขึ้น ซึ่งการที่เธอได้ยินแต่เสียงของวิญญาณคนตายนั้น มันเริ่มทำให้เสียงของตัวเธอเองเริ่มหายไปทีละน้อย เธอเริ่มรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น เธอรู้ตัวดีว่าอีกไม่นานเธอคงสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองแน่ๆ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงเป็นห่วงมิซากิ เธอไม่อยากให้มิซากิมีความเจ็บปวดเหมือนกับตน ซาคุยะจึงคิดจะสร้างตุ๊กตาตัวหนึ่งขึ้นมาให้มิซากิ พร้อมกับใส่เศษเสี้ยวของตนเองเข้าไปในตุ๊กตา เผื่อไว้ว่าเมื่อไหร่ที่ซาคุยะสูญเสียตัวตนของตัวเองไป ก็ยังคงมีมิซากิที่ยังจำเธอได้อยู่
ทางด้านมาโดกะ เวลาว่างมาโดกะจะชอบวาดรูปและระบายสีเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบๆตัวเธอและแปะมันไว้บนกำแพงของห้องพัก ทุกๆวันเธอมักจะถูกอายาโกะแกล้งเสมอและจะถูกมิซากิช่วยเป็นประจำ ซึ่งการที่มิซากิไปหาซาคุยะทุกวัน ทำให้มาโดกะรู้สึกอิจฉาและโดดเดี่ยว วันหนึ่งแม่ของมาโดกะที่ไม่ได้มาเยี่ยมมาโดกะสักพักใหญ่ กลัวว่ามาโดกะจะเหงาเมื่ออยู่คนเดียวที่หอพัก เธอจึงส่งนกขมิ้นมาให้มาโดกะเพื่อไม่ให้มาโดกะเหงา หลังจากที่ได้นกขมิ้นมาแม่ของเธอก็ส่งจดหมายมาถึงมาโดกะอีกฉบับ แม่ของมาโดกะเขียนถามมาโดกะว่า มาโดกะตั้งชื่อให้นกได้หรือยังและเธอก็ยังปลอบมาโดกะว่าถึงแม้ว่ามาโดกะจะมีอาการหลงลืมเพราะโรคไข้แสงจันทร์แต่ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะมาโดกะเป็นคนของตระกูลสึกิโมริ* ดวงจันทร์จะต้องคุ้มครองเธอแน่
*(ตัวคันจิ คำว่าสึกิโมริของมาโดกะกับคำว่าสึกิโมริในภาษาญี่ปุ่นของมิโกะพิทักษ์จันทรานั้นใช้คนละตัวกัน แต่การที่แม่ของมาโดกะเขียนจดหมายถึงมาโดกะแบบนี้ แสดงว่าแม่ของมาโดกะอาจจะเป็นคนของตระกูลมิโกะพิทักษ์จันทราก็ได้)
แต่ทว่าไม่กี่วันหลังจากนั้นนกขมิ้นที่แม่ของมาโดกะให้มาก็ถูกอายาโกะใช้กรรไกรตัดคอพร้อมกับหัวเราะอย่างโหดเหี้ยม มาโดกะที่เห็นนกขมิ้นของตัวเองตายต่อหน้าต่อตาก็ร้องไห้ไม่หยุด จนนางพยาบาลฟุยุโกะเข้ามาต่อว่าอายาโกะ ทำให้อายาโกะรู้สึกหงุดหงิดและเกลียดฟุยุโกะ วันหนึ่งฟุยุโกะได้เดินเข้าไปใกล้ๆห้องของอายาโกะแต่เธอกลับถูกอายาโกะทำร้ายด้วยกรรไกรแล้วกระชากผมของเธอลากเข้าไปในห้องของอายาโกะ ทำให้ใบหูของฟุยุโกะเป็นแผลฉีกขาด ตั้งแต่นั้นจึงทำให้ฟุยุโกะเริ่มมีอาการกลัวอายาโกะ
ทางด้านมิซากิ เธอได้ขึ้นมาหาซาคุยะอีกครั้ง ซาคุยะได้บอกมิซากิว่าพวกเธอทั้งคู่เหมือนกัน ต่างก็เป็นสื่อกลางของวิญญาณ(มีพลังวิญญาณ)และซาคุยะก็ได้มอบตุ๊กตาที่เธอทำขึ้นให้มิซากิ ในตอนแรกมิซากิก็ถามว่าตุ๊กตาตัวนี้ชื่ออะไร ซาคุยะก็เลยตอบกลับไปว่าตุ๊กตาตัวนี้ชื่อว่าซาคุยะเหมือนชื่อของตัวเธอเอง แต่ตอนนั้นซาคุยะก็คิดอะไรบางอย่างออก เธอจึงตั้งชื่อให้ตุ๊กตาตัวนี้ใหม่ ชื่อว่ามิยะ โดยคำว่า มิ มาจากคำหน้าของชื่อมิซากิ ส่วนยะก็มาจากคำข้างหลังของชื่อซาคุยะ ซึ่งมิยะเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของซาคุยะ ซาคุยะที่รู้ถึงอาการของตัวเองดี ก็บอกมิซากิว่าอีกไม่นาน มิซากิจะไม่ได้พบกับเธออีกแล้ว ซึ่งก็ทำให้มิซากิรู้สึกสงสัยกับคำพูดนั้น
ทางด้านโย ไฮบาระที่กำลังตามหาเด็กผู้หญิงที่จะมาเป็นผู้บรรเลงดนตรี ในอดีตแล้วการเลือกผู้บรรเลงดนตรีนั้นเคร่งครัดมาก ซึ่งนั่นก็ต้องทำให้เขาเลือกเด็กที่จะมาเป็นผู้บรรเลงดนตรีอย่างระมัดระวัง เขาได้บอกหมอโชจิให้เอารายชื่อเด็กทั้งหมดที่อยู่ในโรงพยาบาลมาให้เขา โดยคัดเด็กที่อ่อนแอและเด็กผู้ชายออกไป เขาใช้เวลาหลายวันในการคัดสรรเด็กๆ เหล่านั้น จนวันหนึ่งเขาก็รวบรวมรายชื่อเด็กได้จำนวนหนึ่ง และนำเอกสารที่มีรายชื่อของเด็กผู้หญิงเหล่านั้นให้อายาโกะดู อายาโกะบอกว่าในรายชื่อเด็กผู้หญิงที่เธอรู้จักนั้นเธอชอบมาโดกะมากที่สุด เพราะมาโดกะคือของเล่นของเธอ ส่วนเด็กผู้หญิงที่ชื่อรุกะ อายาโกะไม่มีความสนใจในตัวของรุกะเลย ส่วนทางโยคิดว่าเด็กคนนี้เกือบจะเข้าสู่ระยะแตกหักแล้ว แต่สภาพของเธอก็ไม่ได้แย่ลงเพราะว่ารุกะมีความรู้สึกต่อเสียงเพลงสูงมาก โยจึงคิดว่ามันอาจจะยังไม่สายเกินไป แต่สำหรับมิซากิแล้ว อายาโกะบอกว่าเธอเกลียดมิซากิมากที่สุด เพราะว่ามิซากิรู้มากและชอบมายุ่งตอนที่เธอกำลังเล่นกับ ”ของเล่นของเธอ(มาโดกะ)” พอพูดถึงมิซากิแล้วอายาโกะก็บอกว่าเธอไม่ชอบผู้หญิงที่ใส่ชุดสีดำที่อยู่กับมิซากิด้วย(มิยะ) แต่ถึงอย่างนั้นโยก็นึกได้ว่ามิซากินั้นมีพลังวิญญาณเหมือนซาคุยะพี่สาวของเธอ จากรายชื่อที่อายาโกะพูดมาทำให้โยรู้สึกว่ามิซากินั้นนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมาก
บางวันโยก็ได้เดินขึ้นเยี่ยมพี่สาวของตน เขารู้สึกว่าที่นี่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด แม้ว่าเขาจะออกจากเกาะไปนาน รวมถึงซาคุยะก็เช่นกัน แต่ตอนนี้ ซาคุยะในมุมมองของโยนั้นดูทั้งสงบและบริสุทธิ์กว่าเมื่อก่อน
แต่หลังจากวันที่ซาคุยะมอบตุ๊กตาให้มิซากิ โยที่ขึ้นมาหาซาคุยะก็พบว่าอาการของซาคุยะแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ซาคุยะเริ่มจำอายาโกะไม่ได้แล้ว และบางวันเธอก็ลืมโยเช่นกัน โยที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าถ้าพิธีกรรมสำเร็จเมื่อไหร่ เขาจะได้พาซาคุยะและอายาโกะออกจากเกาะ ไปอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
ระหว่างที่โยพักอยู่ในห้องลับของตน เขาก็มักจะได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้มาจากอีกฝั่งของกำแพง ซึ่งเขาก็รู้ได้เลยว่าอายาโกะแกล้งมาโดกะอีกแล้ว ถึงแม้ว่าชิเงโตะจะบอกว่าการกระทำของอายาโกะมันเกินไป แต่ถึงกระนั้นโยก็ปล่อยให้อายาโกะทำตามใจชอบ เพราะสำหรับเขาแล้วการใช้ชีวิตอยู่บนเกาะที่น่าเบื่อๆแบบนี้ การหาอะไรสนุกๆทำ ก็คงเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่น้อย
วันหนึ่งยูโก มากากิ ผู้ป่วยที่อยู่ในห้อง 309 ได้มองเห็นภาพนิมิตแปลกๆ เขามองเห็นเด็กผู้หญิง 5 คน และมองเห็นผู้คนบนเกาะผลิบาน เขามองเห็นวันที่ปราศจากความทุกข์ หลังจากที่ยูโกเห็นภาพนิมิตนั่นเขาก็เริ่มบ่นพึมพำๆ กับตัวเองและจะตะโกนคำแปลกๆออกมาอยู่สองสามคำก่อนที่จะเงียบอีกครั้ง พร้อมทั้งหยิบพู่กันมาวาดภาพ พฤติกรรมแปลกๆของเขาเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้โทโนะ สึบากิเริ่มสังเกตในพฤติกรรมแปลกๆของเขา
ทางด้านซาคุยะ หลังจากที่ไม่ได้ยินเสียงวิญญาณของตัวเองมานาน ในที่สุดเธอก็ได้ยินเสียงวิญญาณของตัวเธอเองอีกเป็นครั้งสุดท้าย เธอได้แต่รำลึกถึงวันที่เธอยังคงได้ยินเสียงวิญญาณอันสงบสุขของเธอ แต่ในตอนนี้ เสียงนั้นจะไม่มีอีกแล้ว เธอเริ่มรู้สึกได้ว่าวันแห่งการจบสิ้น เริ่มเข้ามาใกล้ทุกทีๆ แต่ถึงกระนั้นก็ดีใจที่เสียงนี้กลับมาหาเธอเป็นครั้งสุดท้าย เธอได้บอกลาอายาโกะ โย และชิเงโตะอยู่ในใจ ก่อนที่เธอจะลืมพวกเขาไป
ไม่กี่วันถัดมา มิซากิก็ได้ขึ้นไปหาซาคุยะเหมือนทุกครั้ง แต่ว่าในวันนั้นสภาพจิตใจของซาคุยะก็ได้แย่ลงจนถึงขีดสุด เธอได้เกิดอาการคลุ้มคลั่งพอดี มิซากิจึงได้เห็นภาพที่เหล่าหมอกำลังพยายามหยุดซาคุยะที่กำลังคลุ้มคลั่ง มิซากิที่ทำได้แค่ยืนดู ก็ทำได้แต่กอดมิยะและมองดูเท่านั้น
ในที่สุดอาการคลั่งของซาคุยะก็หยุดลง เธอถูกหมอนำตัวออกไปข้างนอกห้อง ซาคุยะที่กำลังถูกนำตัวออกไปก็ได้หันมาหามิซากิ แล้วพูดคำว่าลาก่อน มิซากิที่ยืนกอดมิยะอยู่ข้างหลังก็ได้ร้องไห้ออกมา หลังจากนั้นมิซากิก็ถูกห้ามไม่ให้ขึ้นไปหาซาคุยะอีกเพื่อป้องกันไม่ให้อาการของมิซากิหนักขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นมิซากิก็ไม่ได้เสียใจอะไรมาก เพราะมิซากิยังมีมีมิยะซึ่งเหมือนเป็นตัวแทนของซาคุยะอยู่ มิยะนั้นมีผลต่อมิซากิสามารถทำให้มิซากิสงบสติได้และช่วยให้มิซากิจำได้ว่าเธอเป็นใคร มิซากิอยู่กับมิยะทุกวันนอนกับมิยะทุกคืน จนขนาดที่ว่ามิซากิคิดว่ามิยะมีตัวตนอยู่จริงๆ แม้กระทั่งเหล่าหมอก็ระบุข้อมูลว่าห้ามให้มิยะและมิซากิอยู่แยกกันเป็นอันขาด
ทางมาโดกะที่เห็นว่ามิซากิไม่สามารถขึ้นไปหาซาคุยะได้แล้วจึงไปเล่นด้วยกันเป็นปกติ แต่ว่ามิซากิก็กลับพูดถึงแต่เรื่องของมิยะ จึงทำให้มาโดกะรู้สึกว่าตัวเธอเหมือนเป็นตัวทดแทน ซึ่งนั่นทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดและน้อยใจเป็นอย่างมาก
วันเทศกาลโรเงทสึคางุระกำลังใกล้เข้ามา ผู้คนบนเกาะก็ได้เลือกโทโนะ สึบากิ นางพยาบาลจากหอพักโรเงทสึมาเป็นคนทรงในพิธี เพื่อตอบแทนที่เธอทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือผู้คน สึบากิรู้สึกดีใจและตื่นเต้นมาก เธอตั้งใจที่จะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด ตั้งแต่วันนั้นสึบากิจึงเริ่มฝึกฝนกับหน้ากากเพื่อชำระล้างร่างกายของตน
ทาคาชิ ไอบะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยคุซานางิ ได้เข้ามาที่เกาะโรเงทสึเพื่อทำงานวิจัยทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งเขาได้พาน้องสาวของตนไอบะ อิโอริ มาด้วย ระหว่างการค้นคว้า ทาคาชิได้มีความสนใจในการวิจัยของ ดร.อาโสะ คุนิฮิโกะ ที่มีอยู่บนเกาะเป็นอย่างมาก เขาศึกษาประเพณีวัฒนธรรมของเกาะรวมทั้งงานวิจัยที่ ดร.อาโสะ ทำในระหว่างที่มาอาศัยอยู่บนเกาะนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากของเกาะ หรือกล้อง Obscura ก็ตาม
ทางด้านของชิเงโตะ เขาเอาแต่นั่งคิดเรื่องของพิธีหวนคืนวัฐจักร ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเช่นกัน เขาคิดว่าการที่คนทรงผลิบานนั้นเป็นเพราะหน้ากากจันทรคราส แต่ถ้าเป็นหน้ากากจันทรคราสที่แท้จริงที่โซยะสร้างขึ้นมาล่ะก็อาจจะทำให้พิธีสำเร็จก็ได้ และเมื่อไหร่ที่พิธีสำเร็จ นั่นหมายความว่าการต่อสู้อันยาวนานของเขาก็ต้องจบลง ชีวิตของเขากับครอบครัวก็จะกลับมามีความสุขอีกครั้ง
ด้วยความมุ่งมั่นในการทำหน้ากากของโซยะ และการค้นคว้าการควบคุมจิตใจของหน้ากากของชิเงโตะ ในที่สุดหน้ากากของผู้บรรเลงดนตรีและหน้ากากจันทรคราสก็เสร็จเรียบร้อย โซยะได้ส่งจดหมายไปหาชิเงโตะ ซึ่งข้อความในจดหมายได้กล่าวถึงเกี่ยวกับความรู้สึกของโซยะตอนที่เขาทำงานร่วมกันกับชิเงโตะ โซยะบอกว่าหน้ากากจันทรคราสใบนี้เป็นใบที่เขาทุ่มเททั้งใจและจิตวิญญาณเข้าไปเป็นเวลานานมากจนสร้างมันขึ้นมาสำเร็จ เขารู้สึกเป็นเกียรติที่ชิเงโตะให้ความช่วยเหลือเขาเกี่ยวกับข้อมูลของหน้ากาก และเขาก็มั่นใจว่าหน้ากากของเขาจะทำให้พิธีสำเร็จ เขาจะปกป้องหน้ากากเอาไว้ก่อนจนกว่าจะถึงวันทำพิธี แล้วโซยะก็บอกอีกว่าเขาจะไม่โผล่หน้าไปที่ลานพิธีแต่เขาจะช่วยภาวนาให้พิธีสำเร็จอยู่ในห้องทำงานของเขา
เมื่อวันที่พิธีหวนคืนวัฐจักร จะถูกจัดขึ้น เริ่มเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ยิ่งมันเข้าใกล้มากเท่าไหร่ โชจิก็กังวลมากเท่านั้น ในตอนนี้เขารับทราบและรู้เรื่องพิธีหวนคืนวัฐจักรหมดแล้ว เขากังวลว่าทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในพิธีหวนคืนวัฐจักร เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า คนทรงที่เป็นนางรำจะกลายเป็นเรือที่ส่งวิญญาณไปสู่โลกหน้าจริงๆเหรอ เพราะสำหรับหมอที่มาจากแผ่นดินหลักอย่างเขาแล้ว สิ่งนี้มันดูจะเกินหลักของเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากเกินไป แต่พอหลังจากเขาได้เห็นหน้ากากจันทรคราส มันก็ทำให้เขารู้สึกถึงบางอย่าง เขารู้สึกเหมือนถูกสะกด เขามีความรู้สึกเหมือนอยากจะใส่หน้ากากใบนั้นเสียเอง
จากการคัดเลือกผู้บรรเลงดนตรีกันมานาน ในที่สุดโยและชิเงโตะก็เลือกเด็กที่จะมาเป็นผู้บรรเลงดนตรีได้ ซึ่งเด็กเหล่านั้นก็มีผู้ป่วยใน 3 คน คือ มินะซุกิ รุกะ , อาโสะ มิซากิ และสึกิโมริ มาโดกะ และผู้ป่วยนอกอีก 2 คนคือ มาริเอะ ชิโนะมิยะ กับ โทโมเอะ นานะมุระ ชิเงโตะได้ออกหนังสือแจ้งเตือนให้คนที่เกี่ยวข้องทราบว่าเด็กทั้งห้า คนนี้จะได้รับเข้าการรักษาพิเศษที่ห้องทำงานของตัวเขาเอง โดยการรักษานี้จะห้ามไม่ให้คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าเด็ดขาด
ในวันที่ 16 กันยายน ซึ่งเป็นวันก่อนที่จะถึงวันงานเทศกาล คิริชิมะ โจชิโร่ อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจสายสืบ ได้มาถึงเกาะโรเงทสึ เพื่อมาตามหาไฮบาระ โยที่กำลังหนีคดี ด้วยความคิดที่คิดว่าโยอาจจะหนีมาที่เกาะโรเงทสึที่เป็นบ้านเกิดก็เป็นได้ โจชิโร่ได้เริ่มทำการสำรวจเกาะโรเงทสึเพื่อตามหาโยตั้งแต่ที่เขามาถึง โดยที่ตนเข้าทำงานร่วมกับสถานีตำรวจอ่าวอามาโคเระ ที่อยู่บนเกาะ
ยรู้ว่าโจชิโร่มาตามหาตนที่เกาะ เขาจึงพยายามหลบซ่อนตัวไม่ให้โจชิโร่พบ โยเห็นโจชิโร่เป็นคู่ปรับของตัวเองและคิดว่ามีแค่โจชิโร่เท่านั้นที่จะหยุดเขาได้ โยจึงเรียกการค้นหาของโจชิโร่ว่า “ซ่อนหา” เพราะโจชิโร่เปรียบเสมือนคนหา และตัวเองเปรียบเสมือนคนซ่อน
ไอบะ ทาคาชิได้ทราบข่าวว่า โจชิโร่ คิริชิมะ เพื่อนของตนสมัยที่อยู่มหาวิทยาลัยคุซานางิ ได้เข้ามาทำงานที่เกาะเหมือนกัน เขาจึงคิดที่จะเขียนจดหมายไปทักทายโจชิโร่ และชวนโจชิโร่ไปดื่มด้วยกันพร้อมกับเขาและอิโอริน้องสาวของตน ซึ่งน้องสาวของตนก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยพิธีโรเงทสึคางุระที่เป็นการแสดงหลักของเทศกาลของเกาะเป็นอย่างมาก
นอกจากนั้นทาคาชิก็ยังคิดที่จะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เขาค้นคว้าจนเจอลงไปในจดหมาย อย่างเช่นงานวิจัยของ ดร. อาโสะที่มีต่อหน้ากาก จนไปถึงข้อมูลเรื่องพิธีหวนคืนวัฐจักร อันเก่าแก่ ข้อมูลหน้ากากจันทรคราสและข้อมูลของโศกนาฏกรรม อีกทั้งเขาก็ยังสืบทราบได้ว่าโซยะคิดที่จะทำหน้ากากจันทรคราสใบใหม่ขึ้นมา รวมทั้งตัวเขาเองก็ได้แอบไปเห็นหน้ากากจันทรคราสสีดำเช่นกัน ซึ่งหน้ากากใบนั้นก็งดงามจนทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนดูดเข้าสู่ความว่างเปล่า
ทางด้านรุกะ เธอรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากเพราะว่าวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเทศกาลที่เธอจะได้ไปดูการแสดงคางุระกับทุกๆคน แต่ว่าการไปชมพิธีคางุระนั้นจะต้องสวมหน้ากาก เมื่อรุกะคิดแบบนั้นเธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมา เพราะว่าในตอนนี้นั้นเธอจำเรื่องราวของเธอได้หมดแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นผลมาจากการฝึกเล่นเพลงพิทักษ์จันทราและฟังเพลงบำบัดที่โรงพยาบาลเปิดให้มานั่นเอง แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เธอยังจำไม่ได้นั่นคือโซยะพ่อของเธอ เมื่อไหร่ที่เธอพยายามคิดถึงโซยะ รุกะก็จะรู้สึกกลัวขึ้นมา แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่อยากลืมเรื่องพ่อของเธอเช่นกัน เธอจึงกลัวว่าการใส่หน้ากากอีกครั้ง จะทำให้เธอลืมเรื่องราวในอดีตไปอีกโดยเฉพาะเรื่องพ่อของเธอ
วันที่ 17 กันยายน เป็นคืนที่ตรงกับจันทรคราสในรอบทศวรรษ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่นักท่องเที่ยวและผู้คนบนเกาะจะรู้สึกตื่นเต้นกัน เพราะว่าในวันนี้จะมีการจัดพิธโรเงทสึคางุระ กลุ่มคนรับใช้ของชิเงโตะก็มารวมตัวกันที่บ้านของตระกูลโยโมะสึกิเพื่อจัดงานเลี้ยงฉลองก่อนทำพิธี
ทางด้านชิเงโตะ เขาได้พาซาคุยะมาที่ห้องทำงานของเขาเพื่อเตรียมตัวที่จะทำพิธีหวนคืนวัฐจักร โชจิที่เห็นซาคุยะก็ถึงกับตกใจเป็นอย่างมาก เพราะครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกก็ได้ที่โชจิได้เห็นใบหน้าของซาคุยะอย่างชัดเจน เพราะที่ผ่านมาเขาจะโดนผลกระทบของโรคระบาดระยะสะท้อนของซาคุยะ ทำให้จำใบหน้าของซาคุยะไม่ได้ แต่ครั้งนี้มันชัดเจนแล้ว ซาคุยะนั่งอย่างสงบนิ่งและสง่างาม ซาคุยะมองไปหาโชจิและยิ้มให้เขา ถึงแม้ว่าโชจิจะออกจากห้องเพื่อไปทำงานต่อ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกลับไปที่ห้องของชิเงโตะ เพื่อดูใบหน้าอันงดงามของซาคุยะก่อนที่ซาคุยะจะใส่หน้ากากจันทรคราสอยู่ดี
ในช่วงกลางคืน ก่อนที่พิธีจะเริ่มขึ้น ผู้คนบนเกาะและนักท่องเที่ยวได้มารวมตัวกันที่โรงจันทรคราส เพื่อมาดูพิธีคางุระ ซึ่งรุกะ, มิซากิ, มาโดกะ, มาริเอะ, โทวโมเอะและ โจชิโร่ ก็ได้มาดูพิธีกรรมนี้ด้วย แต่ในระหว่างนั้นเด็กสาวทั้งห้าคนก็ถูกโยลักพาตัวไป โยพาเด็กสาวทีละคนๆ ลงไปที่โรงจันทราที่อยู่ชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นลานที่ผู้คนบนเกาะในอดีตใช้ทำพิธีหวนคืนวัฐจักร และชิเงโตะกับโยจะจัดพิธีหวนคืนวัฐจักร แบบลับๆ ขึ้นกันที่นี่ หลังจากที่โยพารุกะ เด็กสาวคนสุดท้ายมาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ให้เด็กสาวทั้งห้าคน แต่งกายเป็นผู้บรรเลงดนตรีและสวมหน้ากากของผู้บรรเลงดนตรี ระหว่างที่เด็กทั้งห้า ถูกหน้ากากและดนตรีควบคุม พวกเธอจะไม่รู้สึกตัวเลย ซาคุยะและเด็กสาวทั้งห้า ได้ประจำตำแหน่งพร้อมที่จะทำพิธี
โจชิโร่ได้เข้ามาในโรงจันทรคราส เขาไม่พบโยที่นั่นและในระหว่างที่พิธีกรรมกำลังดำเนินอยู่ ประตูทางเข้าและออกของโรงจันทราจะถูกล็อค ทำให้เขาคิดว่าสัญชาติญาณของเขาอาจจะผิดพลาด แต่เขาก็ยังคงคิดว่าโยอาจจะซ่อนอยู่สักที่บนเกาะโรเงทสึ
ในที่สุดพิธีรำบวงสรวงทั้งสองก็ได้เริ่มขึ้น พิธีกรรมได้ดำเนินมาอย่างปกติ จนกระทั่งช่วงที่ร่างกายของซาคุยะเข้าสู่สถานะว่างเปล่า วิญญาณจำนวนมากที่กำลังเริ่มเข้ามาในตัวซาคุยะได้เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ทำให้ซาคุยะกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานก่อนที่หน้ากากจันทรคราสของโซยะจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ วิญญาณที่แสดงถึงตัวตนอันน้อยนิดที่แทบจะไม่เหลือแล้วของซาคุยะได้ถูกบดขยี้ลง กลายเป็นตัวตนที่ว่างเปล่า ใบหน้าของซาคุยะได้ผลิบานชั่วขณะ ก่อนที่จะล้มลงไป ส่งผลให้ รุกะ, มิซากิ, มาโดกะ, มาริเอะและโทโมเอะล้มลง ซาคุยะอยู่ในอาการโคม่า ส่วนเด็กสาวทั้งห้าคนได้สูญเสียความทรงจำทั้งหมด
เนื่องจากความล้มเหลวของพิธีหวนคืนวัฐจักร มันได้ส่งผลให้ทางพิธีโรเงทสึคางุระล้มเหลวเช่นกัน สึบากิและเด็กสาวทั้งห้า ที่เป็นผู้บรรเลงดนตรีก็ได้ล้มลง พวกเธอทั้ง 6 คน เสียชีวิตหมดทุกคน ทำให้ผู้คนที่อยู่ในโรงจันทราต้องตื่นตระหนกและร้องว่า “ผลิบาน"และ “หวนคืนวัฐจักร” โจชิโร่ที่ได้ยินคำเหล่านั้นก็ถึงกับงุนงงและสงสัยว่ามันคืออะไร ซึ่งมันก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
ความล้มเหลวของพิธีหวนคืนวัฐจักร ส่งผลให้คนปกติหลายคนติดโรคไข้แสงจันทร์ และส่งผลต่อคนไข้ที่ติดโรคไข้แสงจันทร์บางคนสับสนและฆ่าตัวตาย อย่างเช่น ฮินุมะ โทโมโกะ หนึ่งในคนไข้ที่ฆ่าตัวตาย เธอตายด้วยการจมน้ำในคืนเดียวกับวันที่ทำพิธี ศพของเธอถูกพบโดยนางพยาบาลคนหนึ่งในหอพักโรเงทสึ
หลังจากพิธีล้มเหลว ซาคุยะก็อยู่ในอาการโคม่า เธอกลายเป็นคนที่มีสภาพกึ่งเป็นกึ่งตาย ร่างของซาคุยะถูกนำตัวไปที่ศาลไว้ทุกข์ซึ่งอยู่ในชั้นใต้ดินของหอพักโรเงทสึ ส่วนเด็กสาวทั้งห้า คนก็ถูกพาตัวไปที่สถานที่ที่เรียกว่าบ่อน้ำสะท้อนจันทราเพื่อทำการเยียวยาวิญญาณและความทรงจำ ซึ่งระหว่างที่โยพาตัวมิซากิมาที่สถานที่แห่งนี้ มิซากิก็เผลอทำ “มิยะ”ตกที่ลานพิธี
ถ้ำบ่อน้ำสะท้อนจันทรา ปัจจุบันอยู่ในชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลไฮบาระ สถานที่นี้มีแสงจันทร์ส่องผ่านบ่อน้ำที่อยู่ข้างหน้าโรงพยาบาลไฮบาระลงมาถึงชั้นใต้ดิน ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยแสงจันทร์ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้บรรเลงดนตรีทั้งห้า ที่เพิ่งจะสูญเสียความทรงจำและความเป็นตัวของตัวเองไป โยและชิเงโตะคิดว่าถ้าให้เด็กสาวทั้งห้า มาอาบแสงจันทร์ที่นี่จะสามารถช่วยฟื้นฟูสภาพของเด็กสาวเหล่านี้ได้ ซึงในระหว่างอาบแสงจันทร์เด็กทั้งห้า จะมีสภาพที่รู้สึกอะไรเลย ทำได้แต่ยืนนิ่งๆอาบแสงจันทร์ บางครั้งชิเงโตะและโยก็จะนำเด็กสาวมาทำการตรวจสอบสภาพเพื่อเก็บเกี่ยวข้อมูลเอาไว้ไปใช้รักษาซาคุยะ ที่ตอนนี้สภาพจิตของเธอไม่เสถียรและอยู่ในอาการโคม่า
ทางด้านโทโนะ สึบากิที่เสียชีวิต ศพของเธอได้ถูกนำไปชันสูตร มีการตั้งข้อสงสัยว่าเธออาจจะเสียชีวิตเพราะหัวใจวาย โดยที่ผลชันสูตรของเธอ ชิเงโตะก็เป็นคนบันทึกด้วยตัวเอง เขาไม่ได้ระบุว่าสาเหตุที่เธอหัวใจวายนั้นเป็นเพราะอะไร เขาจึงตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเป็นเพราะพิธีหวนคืนวัฐจักร หรือเป็นเพราะหน้ากากที่สึบากิใส่ เขาจึงส่งข้อความไปหาโซยะเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ส่วนการตายของสึบากิก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป ศพของเธอและเด็กๆที่ตายก็ถูกนำเข้าพิธีตัดใบหน้า แล้วใบหน้าของศพเธอก็ถูกวางทับด้วยหน้ากากเพื่อป้องกันการผลิบาน
วันเดียวกันกับวันที่ทำพิธี โจชิโร่ได้ทำการสืบเรื่องที่นางรำเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา เขาลงมาที่ห้องเก็บศพซึ่งอยู่ในชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลไฮบาระและพบกับศพของสึบากิเข้า เขาเคยได้ยินมาว่าการเปิดหน้ากากของคนที่ตายนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่เพื่อการยืนยันตัวตนของนางรำ เขาจึงต้องทำมัน พอเขาเปิดหน้ากากออกก็พบว่า ใบหน้าของสึบากิกลายเป็นใบหน้าที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นโจชิโร่ก็ถ่ายภาพไว้ เพื่อจะเอาฟันของสึบากิไปยืนยันตัวตนของเธอด้วยวัสดุพิมพ์ฟันนั่นเอง
ซายากะที่เห็นว่าลูกสาวของตัวเองได้หายตัวไป เธอจึงไปหาโจชิโร่ และขอร้องให้โจชิโร่ช่วยตามหารุกะ
หลังจากที่ โทโนะ สึบากิ เสียชีวิตและผู้ป่วยเด็กสาวทั้งห้า คนหายตัวไป บรรยากาศในหอพักและโรงพยาบาลก็เริ่มหดหู่ต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง ชิเอะ โชโนซากิ เดิมทีเธอต้องอยู่ประจำตำแหน่งที่ชั้น 4 แต่หลังจากวันทำพิธี ซาคุยะถูกพาตัวมาที่ศาลไว้ทุกข์ ทำให้ชิเอะต้องย้ายลงมาประจำตำแหน่งที่ห้องจ่ายกระแสไฟซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินของหอพักเหมือนกัน โดยที่ไม่มีใครสักคนบอกชิเอะว่าเกิดอะไรขึ้นกับซาคุยะเลย อีกทั้งชิเอะยังต้องทำหน้าที่แทนสึบากิที่เสียชีวิตไป จนกว่าจะมีพยาบาลคนใหม่เข้ามาแทน

ทางด้านโย เขาได้แอบนำม้วนฟิล์มที่เขาตัดมา มาซ่อนไว้ในห้องลับของตน สื่งที่เขาตัดออกไปก็คือช่วงที่มีเขาติดอยู่ในวิดีโอนั่นเอง ซึ่งในตอนแรกเขาคิดจะทำลายมันทิ้ง แต่ว่าอายาโกะกลับสนใจสิ่งที่อยู่ในฟิล์มนั้น และเขาก็คิดว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่อายาโกะเลิกสนใจมัน อายาโกะก็คงจะทำลายมันไปเอง
ทางด้าน ไอบะ ทาคาชิและไอบะ อิโอริ หลังจากพิธีโรเงทสึคางุระเสร็จสิ้น ทาคาชิและอิโอริน้องสาวของเขาก็ได้ติดโรคไข้แสงจันทร์ อิโอริได้เข้าพักรักษาที่หอพักโรเงทสึชั้น 2 ห้อง 204(เงาของจันทรา) ซึ่งแต่เดิม ห้องนั้นเป็นห้องของผู้ป่วยฮินุมะ โทโมโกะที่เสียชีวิตไป ส่วนทาคาชิเข้ารักษาที่โรงพยาบาลไฮบาระ ถึงแม้ว่าจะติดโรคไข้แสงจันทร์ แต่ทาคาชิก็ยังยืนยันที่จะค้นคว้าเกี่ยวกับหน้ากากต่อไปเรื่อยๆ และก็ยังเขียนจดหมายถึงโจชิโร่ คิริชิมะอยู่เหมือนเคย ซึ่งต่อมาจดหมายทุกฉบับที่เขาเขียนก็ถูกพบโดยโรงพยาบาล และถูกเผาที่เตาเผาหลังโรงพยาบาลไฮบาระเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องภายในไหลสู่โลกภายนอก
ตั้งแต่ตอนที่ทาคาชิได้ติดโรคไข้แสงจันทร์มาจากพิธีโรเงทสึคางุระ เขาก็เริ่มมองเห็นหน้ากากจันทรคราสอยู่เรื่อยๆ เวลาที่เขาส่องกระจก เขาก็จะมองเห็นใบหน้าที่ไม่ใช่ใบหน้าของตัวเขาเอง มันทำให้เขากลัวจนทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างมากและไม่อยากเห็นหน้ากากใบนั้นอีก ในที่สุดทาคาชิก็เสียสติและได้ทำลายดวงตาของตัวเอง เหล่าหมอกับพยาบาลจึงทำการรักษาเขาทำให้ศีรษะของเขาถูกพันไปด้วยผ้าพันแผล แต่ถึงแม้ว่าดวงตาของเขาจะถูกทำลายไปแล้วแต่เขาก็ยังคงมองเห็นหน้ากากจันทรคราสอยู่เหมือนเดิม
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป หลังจากที่เด็กทั้งห้า คนถูกลักพาตัว ชิเงโตะและโยได้นำมิซากิที่ยืนอาบแสงจันทร์อยู่ในถ้ำจันทราสะท้อนมาตรวจสอบสภาพที่ห้องแลบลับ พวกเขาเพิ่มตัวกระตุ้นภายนอกเข้าไปในสมองนิดหน่อย และก็พบว่าสภาพจิตใจของมิซากินั้นมีความเสถียรเป็นอย่างมากเนื่องจากยืนอาบแสงจันทร์ แต่ว่าความทรงจำของมิซากิช่วงก่อนทำพิธีกลับได้รับความเสียหาย ซึ่งเด็กคนอื่นๆอีก 4 คนก็เป็นเหมือนกัน แต่ในระหว่างการตรวจสอบสภาพ มิซากิก็จะเอามือขึ้นมาลูบแก้มอยู่เป็นบางครั้งบางคราว นั่นทำให้พวกเขาสันนิษฐานว่าบางทีนิสัยติดตัวและความทรงจำของเธออาจจะไม่ได้หายไปจนหมดก็เป็นได้
วันที่ 25 กันยายน ด้วยความช่วยเหลือของซายากะ ทำให้โจชิโร่เข้ามาในหอพักโรเงทสึได้สำเร็จ การสำรวจภายในหอพักทำให้เขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับโรคระบาด โจชิโร่ได้เข้าไปสอบถามอามากิ คาซุโตะ เด็กผู้ชายที่ติดโรคไข้แสงจันทร์ ที่พักอยู่ที่ห้อง 206 ชั้น 2 ของหอพักโรเงทสึ (จันทราที่กระวนกระวาย) โจชิโร่ได้ถาม คาซุโตะเกี่ยวกับเด็กที่ถูกลักพาตัวไป คาซุโตะตอบกลับมาว่าเขาเห็นเด็กผู้หญิงที่ห้องของผู้ป่วย มาคากิ โจชิโร่จึงรีบมุ่งหน้าไปที่ห้องของมาคากิ
โจชิโร่ได้เข้ามาในห้องของมากาคิ แต่เขากลับไม่พบใครที่นั่นนอกจากภาพวาดของมาคากิ เขาเลยคิดว่าสิ่งที่คาซุโตะบอกน่าจะเป็นรูปผู้หญิงในภาพที่มาคากิวาดมากกว่า
โจชิโร่ได้เข้ามาสำรวจห้องของซาคุยะเป็นสถานที่สุดท้าย เขารู้ว่าซาคุยะเป็นพี่ชายของโย แต่ในตอนนี้จะถามเธอไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะตอนนี้เธอติดโรคระบาดและกำลังอยู่ในอาการโคม่า สุดท้ายก็ไม่พบเด็กที่ถูกลักพาตัวไป เขาค้นทั่วทั้งอาคารก็หาเด็กเหล่านั้นไม่เจอ ในที่สุดการค้นหาครั้งนี้ก็ถูกพักไป
ไม่กี่วันต่อมา หมอโชจิได้เดินมาที่สนามหน้าโรงพยาบาลไฮบาระ เขาได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงมาจากบ่อน้ำที่ตั้งอยู่หน้าโรงพยาบาล ซึ่งตอนแรกเขาคิดว่าอาจจะเป็นเสียงลมไม่ก็คิดไปเอง แต่พอได้ยินไปเรื่อยๆ เขาจึงคิดว่าจะต้องเป็นเสียงของพวกเด็กสาวที่ถูกลักพาตัวแน่ๆ เขาเริ่มรู้สึกผิดและเริ่มรู้สึกทนไม่ได้กับสิ่งที่ชิเงโตะทำ เขาจึงเอาเรื่องที่เขาได้ยินเสียงเด็กไปแจ้งตำรวจ
วันที่ 29 กันยายน หลังจากที่หมอโชจินำเรื่องนี้ไปแจ้ง ทำให้โจชิโร่เริ่มสำรวจโรงพยาบาลอีกครั้ง จนในที่สุดโจชิโร่ก็พบเด็กสาวทั้งห้า ที่ชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลไฮบาระ สภาพของเด็กสาวทั้งห้า ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆทั้งสิ้น เขาพาเด็กสาวทั้งห้า มาที่สถานีตำรวจอ่าวอามาโคเระเบย์ ก่อนที่จะส่งกลับไปหาครอบครัว
โจชิโร่พาตัวรุกะกลับมาหาซายากะและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ซายากะที่ได้ยินและเห็นชุดที่รุกะใส่ก็ถึงกับทรุดลง เธอไม่คิดว่าชิเงโตะและโซยะจะทำแบบนี้ รวมถึงทั้งโยที่ตอนนั้นเป็นฆาตกรก็มีส่วนร่วมด้วย เธอรู้สึกผิดมากที่ส่งรุกะมาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลไฮบาระ ด้วยความเสียใจเป็นอย่างมาก ซายากะจึงบังคับให้โจชิโร่พาเธอไปที่ถ้ำบ่อน้ำสะท้อนจันทรา ซึ่งเป็นสถานที่ที่โจชิโร่พบเด็ก 5 คน
เมื่อโจชิโร่พาซายากะมาถึงถ้ำบ่อน้ำสะท้อนจันทรา ทิวทัศน์ของถ้ำที่มีแสงสาดส่องลงมา พร้อมกับไออากาศอันหนาวเหน็บที่มาเกาะตัวซายากะ ทำให้เธอตัวสั่นทันทีที่มาถึงที่นี่ ซายากะร้องไห้เพราะความเสียใจที่ได้รู้ว่าลูกสาวของเธอต้องมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ ถึงซายากะจะไม่รู้ว่ารุกะมาทำอะไรที่นี่ แต่ด้วยความเป็นมิโกะพิทักษ์จันทรา เธอสัมผัสได้ว่าจิตใจของรุกะในตอนนี้บอบบางมากแล้ว หมอโชจิที่เห็นซายากะร้องไห้ก็เข้ามาปลอบใจเธอว่า ถึงแม้ว่าความทรงจำของรุกะจะหายไปแต่ว่ามีชีวิตกลับมาได้ก็ดีแล้ว แต่ถึงกระนั้นซายากะก็อยากจะมั่นใจว่าสภาพจิตของรุกะนั้นยังมีความเสถียรอยู่ โชจิจึงแนะนำไปอีกว่า หลังจากนี้ก็ควรไปใช้ชีวิตแบบปกติและค่อยพยายามฟื้นฟูสภาพจิตใจของรุกะน่าจะเป็นการดีกว่า ซายากะที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกดีขึ้น
ซายากะมีความมั่นใจว่าโซยะสามีของเธอจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้แน่นอน และถ้าเป็นอย่างนั้นเธอก็คิดว่าบนเกาะนี้ก็คงไม่มีที่ที่ให้เธอกับรุกะใช้ชีวิตกันได้อย่างสงบสุขอีกแล้ว ไม่ว่าเธอจะเป็นห่วงโซยะขนาดไหนก็ตาม แต่ในตอนนี้เธอก็คิดว่าเธอไม่มีทางที่จะช่วยโซยะได้อีกแล้ว เธอจึงเริ่มคิดที่จะออกจากเกาะ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้รุกะ ไปหาที่ๆปลอดภัยกว่าให้รุกะอยู่ และเธอก็เตือนให้รุกะลืมเรื่องราวในอดีตไปให้หมด ไม่ต้องคิดจะไปจำมัน ไม่ต้องคิดที่จะพยายามไปค้นหามัน เพราะเธอกลัวว่าถ้ารุกะดื้อดึงพยายามค้นหาความทรงจำของตัวเอง รุกะอาจจะสูญเสียจิตใจของตัวเองและผลิบานได้ เพราะสาเหตุนี้เองจึงทำให้รุกะลืมเรื่องราวในอดีตไปจนหมดรวมถึงเรื่องพ่อของเธอ ตั้งแต่นั้นมา รุกะจึงไม่ได้กลับไปหาพ่อของเธออีกเลย
วันที่ 9 กันยายน ซายากะได้พารุกะออกไปจากเกาะโรเงทสึ ไปอาศัยอยู่ที่อื่นและนำตัวรุกะไปอยู่ที่โรงพยาบาลอื่น ซึ่งก่อนออกจากเกาะไป ซายากะก็ได้ส่งจดหมายถึงโซยะ ซึ่งจดหมายนั่นเป็นจดหมายที่ซายากะเขียนไว้ก่อนที่จะแต่งงานกับโซยะเสียอีก ในนั้นเธอได้บอกความจริงทั้งหมดว่าเธอเป็นคนของตระกูลมิโกะพิทักษ์จันทรา รวมถึงเพลงที่เธอร้องอยู่เป็นประจำว่ามันคือเพลงพิทักษ์จันทราอีกด้วย หลังจากนั้นไม่กี่วัน โจชิโร่ก็เดินทางกลับสู่แผ่นดินหลัก เนื่องจากเขาไม่พบไฮบาระ โย ที่เกาะโรเงทสึ
ซายากะได้ทำการเปลี่ยนนามสกุลของตัวเองและรุกะ จากโยโมะสึกิเป็นมินะซุกิ ซึ่งเป็นชื่อตอนที่ซายากะยังเป็นมิโกะพิทักษ์จันทราอยู่นั่นเอง
หลังจากที่รุกะออกไปจากเกาะ เด็กคนอื่นเช่น มิซากิ มาโดกะ รวมทั้งมาริเอะและโทโมเอะที่ถูกลักพาตัวก็ออกไปจากเกาะเช่นกัน ชิเอะที่เข้ามาทำความสะอาดห้องของรุกะก็ได้พบไดอารี่ของซายากะอยู่ในห้องนั้น ชิเอะจึงเก็บมันไว้ในห้องทำงานของเธอที่ชั้น 3 ของหอพักโรเงทสึ เผื่อไว้สักวันหนึ่งที่รุกะและซายากะจะกลับมาแล้วเอามันไป
หลังจากที่พบว่าเด็กห้าคนที่ถูกลักพาตัวอยู่ในถ้ำชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลไฮบาระ ทำให้ชิเงโตะกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ แต่ชิเงโตะก็ยืนกรานและปฏิเสธเรื่องที่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องลักพาตัวพวกเด็กๆ เขาได้แก้สถานการณ์โดยการแอบสั่งให้หนึ่งในคนงานขุดเจาะชั้นใต้ดินของเขาฆ่าตัวตาย พร้อมทั้งทิ้งกระดาษโน๊ตยอมรับความผิดว่าเป็นคนลักพาตัวเด็กไป ทำให้ความผิดของชิเงโตะถูกโยนไปให้คนงานคนนั้น และทำให้คดีต้องปิดตัวลงไปในที่สุด เพราะตำรวจคิดว่าหาคนร้ายตัวจริงพบแล้ว ทำให้ชิเงโตะรอดพ้นจากคดีนี้ไปได้ในที่สุด
วันหนึ่งได้มีนางพยาบาลพบม้วนฟิล์มม้วนหนึ่งเข้า ยังไงซะเธอก็คิดจะเผามันอยู่แล้วเพราะมันเป็นม้วนฟิล์มที่อัดการแสดงพิธีคางุระของโทโนะ สึบากิที่เสียชีวิต แต่ว่าเธอก็ลองเปิดมันดู เธอพบว่าในขณะที่วิดีโอกำลังเล่นอยู่นั้น มันจะมีภาพพิธีของซาคุยะแทรกมาแทนสลับกับพิธีของสึบากิไปเรื่อยๆ ทำให้นางพยาบาลคนนั้นเริ่มตระหนักกับสิ่งที่ตัวเองได้ดู เธอจึงแอบนำม้วนฟิล์มนี้ไปทำลายที่เตาเผาหลังโรงพยาบาลไฮบาระ โดยไม่รอคำสั่งจากชิเงโตะที่เป็น ผอ.
ถึงแม้ว่าพิธีกรรมจะล้มเหลว แต่ชิเงโตะกับโย ก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะช่วยซาคุยะ เขาได้ทดลองการผ่าตัดสมองขึ้นอีกครั้งเพื่อหาทางรักษาโรคไข้แสงจันทร์ โดยผู้ป่วยที่ได้เข้ารับการผ่าตัดครั้งนี้ก็คือ คิริกายะ ฮิมิโกะ ซึ่งเธอเป็นผู้ป่วยที่ติดโรคไข้แสงจันทร์หลังจากที่พิธีกรรมล้มเหลว การผ่าตัดดำเนินไปเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้น แต่ทว่าในระหว่างที่กำลังสอบถามเรื่องอาการของเธอยู่นั้น อยู่ดีๆ ฮิมิโกะก็เกิดอาการคลุ้มคลั่ง โรคไข้แสงจันทร์ของเธอรุนแรงขึ้นจนทำให้เธอเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา
ตั้งแต่ที่ซาคุยะถูกนำมาอยู่ที่ศาลไว้ทุกข์ คนที่รับใช้ตระกูลไฮบาระ ก็จะนำอาหารมาให้ซาคุยะ เนื่องจากพวกเขาเหล่านั้นสวมหน้ากากและไม่ใช่คนของโรงพยาบาล มันจึงทำให้ชิเอะเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก ชิเอะจึงเอาเรื่องนี้ไปถามโชจิ แต่ดูเหมือนว่าโชจิจะไม่ได้พูดอะไรกลับมา ชิเอะจึงรู้ได้ว่าสิ่งนี้คงจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดถึง เธอควรเฝ้าดูประตูอย่างเงียบๆ ตามหน้าที่ของเธอ
คืนหนึ่งหลังจากที่ชิเอะปิดไฟเพื่อให้คนไข้พักผ่อนตามปกติ อยู่ดีๆ ยูโก มาคากิก็ได้ส่งเสียงดังอีกครั้ง ทำให้ชิเอะรีบวิ่งไปตรวจดูอาการของมาคากิ เมื่อชิเอะไปถึง มาคากิก็จับแขนเธอแล้วพูดคำแปลกๆออกมาอย่างคำว่า กำจัดและทำลาย ชิเอะเริ่มสังเกตพฤติกรรมของมาคากิและเห็นว่าตอนนี้การวาดภาพของเขาจะเปลี่ยนไป เขาเอาแต่วาดรูปผู้หญิงในชุดแดง ซึ่งชิเอะดูก็รู้เลยว่านี่คือซาคุยะ แต่นั่นก็ทำให้เกิดคำถามในหัวชิเอะว่าทำไมเขาถึงเอาแต่วาดผู้หญิงคนนี้ หรือว่าจะเป็นลางบอกว่าซาคุยะจะตื่นขึ้นมา
คืนหนึ่งชิเอะได้นอนหลับพักผ่อนในห้องจ่ายกระแสไฟ ชิเอะได้ฝันแปลกๆ ว่า ”เธอยืนอยู่ข้างหน้าประตูที่มีซาคุยะที่อยู่ในสภาพโคม่านอนอยู่ข้างใน แต่ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงประหลาดๆ เธอคิดว่าเป็นเสียงลมหรือไม่ก็อาจจะเป็นเสียงลมหายใจ แต่มันกลับไม่ใช่ทั้ง 2 อย่าง มันเป็นเสียงซาคุยะร้องเพลงกับตัวเอง และทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นถึงสีหมองคล้ำของประตู เสียงเปิดที่ดังเอี๊ยดออกมาราวกับเสียงกรีดร้อง เสียงนั่นดังมากขึ้น ในตอนนั้นเธอก็ได้เห็นดวงตาสีแดงฉานอันเย็นชามาจากช่องว่างของประตู ดวงตาและใบหน้านั้นมันทำให้เธอแทบคลั่ง” จากฝันนี้ ทำให้ชิเอะมีอาการกลัวมากขึ้นและมันก็อาจจะเป็นลางบอกได้ว่าซาคุยะอาจจะตื่นขึ้นมาก็ได้
ทางด้านซาคุยะที่ยังคงหลับใหลในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายที่แทบจะไม่มีลมหายใจแล้ว บรรยากาศที่อยู่รอบตัวเธอนั้นเย็นยะเยือกไปหมด มีข้อห้ามว่าไม่ให้ใครแตะต้องตัวเธอหรือแม้แต่จะเรียกชื่อของเธอ ผู้คนที่ดูแลเธอก็ต่างพากันสงสัยว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือตายกันแน่ จึงทำให้ผู้ที่ดูแลปกป้องศาลเจ้าแห่งความอาลัยที่ชั้นใต้ดินรู้สึกกลัวขึ้นมาว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้ใบหน้าของซาคุยะอาจจะผลิบานเข้าสักวัน เขาจึงเตรียมการและได้ทำการยื่นคำร้องไปยังชิเงโตะเพื่อที่จะทำพิธีกรรมตัดใบหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้ใบหน้าของซาคุยะผลิบาน แต่สุดท้ายชิเงโตะก็ไม่อนุมัติคำร้องของเขา
หลายวันผ่านไป ชิเอะที่เฝ้าดูซาคุยะในห้องจ่ายกระแสไฟก็ไม่พบการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่เธอเริ่มสงสัยขึ้นมาเรื่อยๆ ว่าซาคุยะที่นอนอยู่นั้นเสียชีวิตแล้วหรือไม่ เธอมีความรู้สึกมั่นใจว่าซาคุยะยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ แต่พอเธอดูตัวเลขคลื่นสมอง การเต้นของหัวใจและปอดที่วางไว้บนโต๊ะหมอ เธอก็รู้สึกว่าบางทีอาจจะไม่เป็นแบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกของเธอมันก็ฟ้องว่าซาคุยะยังมีชีวิตอยู่ ทั้งที่เธอควรดีใจแท้ๆ ที่สภาพของผู้ป่วยฟื้นฟู แต่เธอกลับรู้สึกกังวลจนตัวสั่น ว่าสักวัน วันที่ซาคุยะจะเปิดประตูบานนั้นออกมาและโลกที่ชิเอะรู้จักจะหายไป
หลังจากที่ซาคุยะโคม่าเป็นเวลานาน โยได้ขึ้นไปดูภาพวาดของมาคากิ ภาพต่างๆของมาคากิมันทำให้รู้สึกว่ามันน่ากลัวและดูเหมือนจะเป็นลางร้าย แต่พอโยได้มองภาพวาดผู้หญิงในชุดแดงของมาคากิแล้ว มันก็ทำให้โยรู้สึกถึงอดีต เขารู้สึกเหมือนมีความหวัง เขารู้สึกว่าสักวันหนึ่งพี่สาวของเขาจะตื่นขึ้นมา
.
.
.
ผ่านมาในปี 1972 ผ่านมา 2 ปีจากพิธีโรเงทสึคางุระ วันแห่งโศกนาฏกรรมได้เกิดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อร่างกายอันว่างเปล่าของซาคุยะได้ถูกเสียงเพลงจันทราของวิญญาณจำนวนมากสิงสู่ จนเสียงจันทราที่แสดงถึงตัวตนของเธอถูกทำลายจนหมดสิ้นไป เธอได้ตื่นจากการหลับใหลอันยาวนานพร้อมกับใบหน้าแห่งความหายนะ ใบหน้าที่หมองมัวราวกับดอกไม้ที่ “ผลิบาน”ในยามราตรี
มันเป็นไปตามทุกอย่างที่ภาพของมาคากิวาดไว้ ตั้งแต่ที่ชิเอะเห็นภาพนั้น เธอก็รู้สึกว่าซาคุยะจะตื่นขึ้นมาตลอด แล้ววันนั้นมันก็กลายเป็นจริง ถึงแม้ว่าซาคุยะจะเพิ่งตื่นขึ้นมาและอยู่หลังประตู แต่นั่นก็มากพอที่จะทำชิเอะรู้สึกได้ ชิเอะเกิดความกลัวอย่างสุดขีด เธอไม่เข้าใจในทุกๆอย่าง มันไม่มีเหตุผลอะไรมารองรับได้ว่าซาคุยะจะสามารถตื่นขึ้นมาได้ด้วยร่างกายที่มีสภาพแบบนั้น ชิเอะเริ่มได้ยินเสียงวิญญาณของซาคุยะ เธอเริ่มได้ยินเสียงของวิญญาณอันมากมายดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งประตูบานนั้นเปิดออกมา ทำให้ชิเอะพบกับซาคุยะ ชิเอะที่มองใบหน้าของซาคุยะ ก็โดนเสียงของวิญญาณอันมากมายที่ซาคุยะสะท้อนออกมาแทรกซึมเข้าไปจนเสียงจันทราของชิเอะถูกบดขยี้และผลิบานไปในที่สุด
โจชิโร่ได้ลาออกจากการเป็นตำรวจและกลายมาเป็นนักสืบเอกชน เขากลับมาที่เกาะเพื่อตามหาโยอีกครั้ง อีกทั้งเขาก็ยังข้องใจเกี่ยวกับคดีลักพาตัวเด็กอยู่ เขาได้เข้าไปตรวจสอบในสวนดอกไม้จันทรา ของหอพักโรเงทสึแต่กลับไม่พบโย แต่แล้วเขาก็เกิดอาการปวดหัวที่เหมือนจะเป็นลางอะไรสักอย่างก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงของวิญญาณอันมากมายมาจากชั้นใต้ดิน เขาสังเกตเห็นซาคุยะที่กำลังเดินขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน แต่ด้วยอาการปวดหัวจึงทำให้เขาใช้มือมาจับหัวและบังใบหน้าของซาคุยะ โจชิโร่ปฏิเสธที่จะมองใบหน้าของซาคุยะ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินหนีออกจากสวนไป
ถือว่าเป็นโชคดีของโจชิโร่ ที่ไม่ได้เห็นใบหน้าของซาคุยะ และในเวลาเดียวกันที่เขาออกไปนั้น ซาคุยะที่มีใบหน้าผลิบานก็เดินขึ้นบันไดมาถึงสวนพอดี ซาคุยะมองไปหาชายคนหนึ่งที่อยู่ในสวน ผู้ชายคนนั้นก็มองหน้าเธอราวกับถูกโดนใบหน้าของซาคุยะสะกดให้มอง สุดท้ายใบหน้าของคนๆนั้นก็มีสภาพหมองมัวไม่เป็นใบหน้าคนอีกต่อไป ซาคุยะทำให้ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นผลิบาน
ในตอนนั้นเองเซนโด คาเงริ ที่ได้พาตุ๊กตาวาตาชิเข้าไปเดินเล่นในสวนดอกไม้จันทราเหมือนปกติก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่ซาคุยะทำให้คนผลิบานเช่นกัน แต่สำหรับคนที่อยากจะมีความรู้สึกที่เหมือนตายในขณะที่มีชีวิตอย่างคาเงริ สิ่งนี้มันทำให้เธอมีความสุขที่สุดแล้ว ดังนั้นเธอจึงพาวาตาชิหนีไปที่ชายหาดสึกิโยมิพร้อมกับคนอื่นๆ เพื่อที่เธอจะได้ใช้วาระสุดท้ายของเธอที่นั่น หลังจากที่ซาคุยะทำให้คนในสวนผลิบานจนหมด เธอก็เดินเข้าไปในหอพักและทำให้ใบหน้าของคนอื่นผลิบานกันต่อไป
โจชิโร่ได้เข้าไปสำรวจในชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลไฮบาระ เขาก็ได้พบกับโยโดยบังเอิญ โยได้วิ่งหนีไปที่ชั้นดาดฟ้าของโรงพยาบาล โจชิโร่ที่วิ่งตามมาก็วิ่งไล่โยมาถึงชั้นดาดฟ้าเช่นกัน แต่โจชิโร่ดันพลาดท่าโดนโยใช้มีดลอบแทง ทำให้โจชิโร่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายวิ่งพุ่งเข้าชนโยที่ยืนอยู่ตรงระเบียงตกจากชั้นดาดฟ้าและเสียชีวิตทั้งคู่
ทางด้านอายาโกะที่อยู่ในห้องพักของตัวเอง เธอเดินออกมาข้างนอกห้องแล้วพบกับผู้ชายคนหนึ่ง ใบหน้าของชายคนนั้นผลิบาน ทำให้อายาโกะรู้สึกกลัวมากและรีบกลับเข้าห้อง เธอเข้าไปในห้องลับของตัวเองและร้องขอให้คนมาช่วย แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครช่วยเธอ
ทางด้านโซยะ เขาคิดมาตลอดว่าอะไรที่ทำให้พิธีกรรมล้มเหลว เขาคิดว่าบางทีอาจจะไม่ใช่เป็นเพราะหน้ากากของเขาก็ได้ โศกนาฏกรรมในครั้งนี้มันรุนแรงกว่าครั้งแรกเสียอีก และถ้ามันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดจันทรคราสอีกครั้งในอีก 8 ปีข้างหน้า การผลิบานของซาคุยะก็จะรุนแรงขึ้นกว่าเดิมและอาจจะรุนแรงจนออกนอกเกาะไป เขาคิดไว้ว่าทางเดียวที่จะแก้เหตุการณ์นี้ได้นั่นก็คือจะต้องทำพิธีหวนคืนวัฐจักรอีกครั้งและใช้หน้ากากจันทรคราสใบเดิม ใบที่เขาสร้าง สวมใส่ลงไปบนใบหน้าของซาคุยะ เขาเชื่อว่าหากให้ซาคุยะกลับสู่สภาวะในตอนที่กำลังแบกรับดวงวิญญาณเข้าร่างได้ วิญญาณของซาคุยะเองก็คงจะกลับเข้าสู่ร่างของตัวเองเหมือนกัน แต่พิธีก็ยังขาดบางสิ่งบางอย่าง บางสิ่งที่สามารถปลอบประโลมเหล่าดวงวิญญาณที่กำลังคลุ้มคลั่งได้ ซึ่งสิ่งนั้นมันก็คือสิ่งที่เขาเคยเอะใจมาก่อน และมันก็ถูกเขียนอยู่ในจดหมายลาของซายากะ สิ่งนั้นก็คือเสียงเพลงที่คอยช่วยปลอบประโลมวิญญาณ บทเพลงพิทักษ์จันทราที่แท้จริง....
แต่ถึงเขาจะคิดแบบนั้น แต่ยังไงซะถ้าเขาขาดบทเพลงพิทักษ์จันทราไปก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เขาคิดว่านี่คงเป็นชะตากรรมของเขา เพราะเขาเดินตามรอยโซเอทสึ ทำให้สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องพบจุดจบแบบเดียวกับโซเอทสึ ในตอนนี้เขาก็ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างเพราะเขาคิดว่าในไม่ช้านี้ซาคุยะก็คงจะมาหาเขา สุดท้ายเขาก็คงผลิบานเหมือนทุกๆคน โซยะจึงใช้เวลาสุดท้ายของเขาให้มีความสุขไปกับความเงียบสงบอยู่ที่ศาลเจ้าแห่งจิตสำนึกในถ้ำ ซึ่งเป็นถ้ำลับที่อยู่หลังแท่นบูชาในห้องทำหน้ากาก
.
.
.
.
.
.
เวลาผ่านมา ในปีเดียวกัน เวลา 16.30 นาฬิกา เรือโอโบโระ-มารุ ได้มาถึงท่าเรือของเกาะโรเงทสึ กัปตันของเรือพบผู้คนบนเกาะมากมายเสียชีวิตจึงนำเรื่องนี้ไปแจ้งตำรวจ
ในวันถัดมาตำรวจก็มาถึงที่เกาะ พวกเขาได้พบว่ามีคนหลายคนได้หายสาบสูญและเสียชีวิตแต่ไม่พบร่องรอยของอุบัติเหตุและการต่อสู้กัน ศพของผู้คนอยู่ในสภาพที่เอามือปิดใบหน้าของตัวเอง จึงคาดว่าผู้คนบนเกาะอาจจะเสียชีวิตจากโรคระบาดที่ระบาดบนเกาะ หลังจากนั้นก็ได้มีการค้นหาผู้รอดชีวิตบนเกาะและในเวลาเดียวกันร่างกายของผู้เสียชีวิตบนเกาะบางคนก็ถูกตำรวจเอาไปชันสูตร
สองสัปดาห์ผ่านไป ตำรวจก็ยังไม่พบร่องรอยของผู้รอดชีวิต จากการชันสูตรศพทางตำรวจก็ยืนยันได้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพราะโรคระบาดและสาเหตุการตายก็ยังไม่ทราบแน่ชัด
ในที่สุดตำรวจก็พบอายาโกะซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตคนเดียวบนเกาะและได้นำตัวเธอส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาล เธอเอาแต่เรียกหาแม่ของเธอ แต่สุดท้ายหลังจากผ่านไปหกเดือน ช่วง 10 โมงเช้า เธอก็เสียชีวิตจากอาการช็อคและความอ่อนแอทางด้านร่างกาย
การสำรวจดำเนินไปเป็นเวลานาน แต่ตำรวจก็ยังไม่พบอะไรที่คาดว่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้คนบนเกาะและผู้คนที่หายสาบสูญไป เวลาผ่านไปครึ่งปี ในที่สุดการค้นหาและการค้นหาก็ถูกยกเลิกไป.....
ถึงการสำรวจจะถูกยกเลิกไป แต่ก็มีกลุ่มที่สำนักพิมพ์นิตยสารมาสำรวจต่อ แต่พวกเขาก็ไม่พบอะไรนอกจากเรื่องของโรคไข้แสงจันทร์และเรื่องเทศกาลบนเกาะ....
สุดท้ายแล้วเกาะโรเงทสึก็กลายเป็นเกาะร้างที่เต็มไปด้วยปริศนาและไม่มีใครค้นพบถึงความจริงของมัน วิญญาณของผู้คนที่ล้มตายก็ยังคงติดอยู่บนเกาะนั้นไปตลอดกาล จนกว่าจะมีใครสักคนมาทำพิธีหวนคืนวัฐจักร อีกครั้ง คนที่สามารถเล่นเพลงพิทักษ์จันทราเพื่อปลอบประโลมความคลุ้มคลั่งของเหล่าวิญญาณ และส่งดวงวิญญาณเหล่านั้นไปโลกหลังความตายได้......
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
8 ปีต่อมา
Fatal Frame 4 : A Folie à Deux in August
To be continued
- ชื่อของห้องพักของผู้ป่วยในหอพักโรเงทสึจะมีคำว่าดวงจันทร์ซึ่งเกี่ยวกับปฏิทินญี่ปุ่นทุกห้อง
- ในขณะที่ห้องสำนักงานของนางพยาบาลในทุกๆชั้นของหอจะมีชื่อเกี่ยวกับฤดูกาลแทน
- สีธีมประจำภาค 4 คือ สีเหลือง
- ซาคุยะเป็นบอสตัวเดียวในซีรี่ย์ที่จะได้สู้ก่อนที่จะไปเจออีกครั้งในด่านสุดท้าย
- ซาคุยะไม่ใช่บอสประเภท One-Touch Kill เหมือนซาเอะและคิริเอะ
- คนที่เข้าสู่ระยะผลิบานหมายถึง"ตายแล้ว"นั่นเอง
กลับสู่หน้าหลัก
Update History
- 25/11/2561 ปรับปรุงเนื้อเรื่องใหม่เป็น Fatal Frame 4 ver. 2.0
- 2/4/2561 เพิ่มเนื้อเรื่องของซาคุยะให้มากขึ้น
โอ้วววว สุดยอด!!! นี้มัานนน The Best!!! เยื่ยมจิงๆคับบ ทำออกมาได้ดีมาก เขียนได้เขาใจง่าย ไม่ได้มีการอ้อมหรือทำให้ งง แต่อย่างใด ผมว่าโอเคแล้ว มันเยื่ยมมาก ผมยกนิ้วให้คุณ เล้ยย คุณนี้เยื่ยมมากยังไงก็ทำต่อไปนะคับ
ตอบลบขอบคุณครับ = ="
ลบขอบคุณค่า อ่านแล้วเข้าใจเนื้อเรื่องขึ้นเยอะเลย
ตอบลบขอบคุณครับ เขียนได้เข้าใจง่ายดี คนเขียนท่าทางจะหล่อ
ตอบลบดะ...เดี๋ยว...เดี๋ยวนะ.. = =
ลบภาคนี้นี่ บอสซากุยะ ง่ายมากเรยอ่ะ ว่าภาค 3 ยากสุดล่ะ เรกะ ถ้าโดนตีทีเดียวตาย
ตอบลบเขียนได้ดีมากเลยค่ะ อ่านแล้วเข้าใจง่ายมาก จากที่งงๆ ในเนื้อหา เพราะไม่กล้าเล่น T^T ขอบคุณนะคะ // อยากให้ทำแบบนี้ทุกภาคจังเลย ><
ตอบลบขอบคุณค่ะ อ่านแล้วเข้าใจเยอะเลย
ตอบลบขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ
ลบ