Fatal Frame IV
[SPOILER ALERT!!] ระวังสปอยล์ บทความนี้แปลมาจากเกมแพทช์อังกฤษ
บางคำศัพท์อาจคลาดเคลื่อนจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นนะครับ....
!!!!!!!!(ุถึงผู้ที่จะเข้ามาอ่านบทความนี้ ผมขอแนะนำให้กลับมาในภายหลังเนื่องจากเนื้อหาที่อยู่ในบทความนี้จะมีการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงอย่างมากโดยจะอิงเนื้อหาและคำศัพท์จากเวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ เมื่อใดก็ตามที่ทำการแก้ไขจะเสร็จสิ้น ผมจะแจ้งไว้ในหน้าหลักอย่างชัดเจน)!!!!!!!!!!!!!
ยินดีต้อนรับสู่ เนื้อเรื่อง Fatal Frame 4 เวอร์ชั่น 2.0 ฉบับปรับปรุงใหม่ สำหรับคนที่อ่านบล็อกผมอยู่แล้ว อย่างที่รู้ๆกันว่า เนื้อเรื่องตัวนี้เป็นตัวแรกๆเลยที่ผมเขียนมาตอนเปิดบล็อก เพราะฉะนั้นมันก็ต้องมีการแก้ไขอัพเดทกันบ้างล่ะเนาะ
ก่อนที่จะเริ่มเรื่อง เรามาทำความรู้จักกับเกมนี้กันก่อน เกม Fatal Frame คืออะไร? อย่างที่คนรู้ๆกัน เกมนี้คือเกมถ่ายรูปผี ที่ตัวละครที่เราบังคับได้หลงเข้าไปในสถานที่ที่มีพิธีกรรมปริศนาเข้า และจะต้องหาทางรอดชีวิตจากสถานที่แห่งนั้นให้ได้ โดยที่อาวุธของเรานั้นจะมีแค่กล้องโบราณเท่านั้น
จากภาค 1 ในคฤหาสน์ร้าง ภาค 2 หมู่บ้านร้าง และภาค 3 คฤหาสน์ร้างในความฝัน เนื้อเรื่องในภาค 4 นี้ เราจะได้รับบทเป็นตัวละคร 4 ตัว โดยตัวละครเหล่านี้จะได้ไปอยู่ในสถานที่อย่างโรงพยาบาลบนเกาะร้างปริศนาแห่งหนึ่ง เพื่อตามหาความทรงจำของตนในอดีตที่สูญหายไป ชีวิตในอดีตของพวกเธอมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่นะ?
(Edit) เนื้อเรื่องที่ผมเรียบเรียงใหม่นี้ เป็นการใช้เนื้อเรื่องจากบทความอันเก่าเป็นรากฐานซึ่งมันทำให้มีความยาวจากบทความเก่ามาก จากอันเก่า microsoft word 27 หน้าเป็น 51 หน้า ทำให้เนื้อเรื่อง Fatal Frame ภาค 4 นี้ มีความยาวมากที่สุดในบรรดาเนื้อเรื่อง Fatal Frame ทั้งหมดที่ผมเคยทำมา ขอเตือนไว้ก่อนนะครับว่า ตัวละครในภาคนี้จะเยอะมากเป็นพิเศษผมแนะนำให้เปิดบทความวิญญาณควบคู่ไปด้วยจะได้นึกหน้าตาตัวละครออกและจงตั้งสติเวลาอ่านด้วยนะครับ
ขอขอบคุณคำศัพท์บางคำจากคุณ Barrettez ช่อง Barrettez Story Teller เพราะผมคิดว่าคำศัพท์ที่เขาใช้มันเข้าท่ามากเลยไปขอยืมมา และเขาก็อนุญาตด้วย เย่!! (อย่าลืมไปติดตามช่องเขาด้วยล่ะ!)
ก่อนที่จะเริ่มอ่าน อย่าลืมฝากแชร์ Blog ของผมให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันนะครับ ^ ^
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“สิ่งที่ไม่มีใครจำได้......
......สุดท้ายแล้วก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีตัวตนอยู่จริงๆ เลยรึเปล่านะ?”
- รุกะ มินะซุกิ
บนเกาะๆหนึ่งทางใต้ของเกาะฮอนชู* ในประเทศญี่ปุ่น กล่าวกันว่าเกาะนี้เป็นเกาะที่อยู่ใกล้ประตูสู่โลกแห่งความตาย เกาะที่ว่านี้คือ เกาะโรเงทสึ บนเกาะๆนี้ได้มีโรคระบาดลึกลับโรคหนึ่งซึ่งระบาดไปทั่วเกาะและเจาะจงเฉพาะบนเกาะนี้เท่านั้น โรคนั้นคือโรคจันทราสะกด(Getsuyuu Syndrome) เป็นโรคที่ผู้คนเชื่อว่ามันมีความเกี่ยวโยงกับความเชื่อและวัฒนธรรมบนเกาะ
*เกาะฮอนชู คือเกาะหลักของประเทศญี่ปุ่น
เกาะโรเงทสึ
โรคจันทราสะกด (Getsuyuu Syndrome) ดร. อาโซ คุนิฮิโกะ เคยกล่าวไว้ว่า มันเป็นสิ่งที่คล้ายๆกับการสิงร่างของเหล่าวิญญาณชั่วร้าย เพราะโรคจันทราสะกดเกิดมาจากวิญญาณของคนที่ตายแล้ว โดยปกติแล้วเมื่อผู้คนเสียชีวิต พวกเขาก็จะกลายเป็นวิญญาณแล้วมุ่งหน้าไปสู่โลกหลังความตาย แต่มันไม่ใช่สำหรับเกาะโรเงทสึ วิญญาณคนที่ตายบนเกาะ ไม่ได้ไปไหนทั้งสิ้น แต่จะวนเวียนอยู่บนเกาะนั้น
บนเกาะโรเงทสึนี้มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า มิโกะสึกิโมริ (Tsukimori Shrine Maiden) มิโกะสึกิโมริเป็นกลุ่มคนที่มีพลังวิญญาณสูง พวกเธอจะคอยดูแลคนที่อยู่บนเกาะ ว่ากันว่าพวกเธอเป็นกลุ่มคนที่ฉลาด อ่อนโยน และงดงาม แต่เป็นพวกที่ไม่ค่อยสุงสิงกับคนกลุ่มอื่นและไม่ชอบการพูดคุยกับคนกลุ่มอื่นสักเท่าไหร่
ภาพมิโกะสึกิโมริ จาก Spirit List ภายในเกม
ในกลุ่มมิโกะสึกิโมรินั้นมีคำสอนหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า"เสียงเพลงของจันทรา เมื่ออยู่โดดเดี่ยวจะมีความอ่อนแอ ดังนั้นพวกมันจึงควรอยู่กันเป็นกลุ่มผสานให้เข้ากัน" สำหรับคนเป็นด้วยกันนั้นมันคือความสัมพันธ์ที่เชื่อมถึงกันซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่สำหรับเสียงเพลงของวิญญาณคนตาย มันจะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง
เมื่อผู้คนบนเกาะเสียชีวิต วิญญาณของพวกเขาก็ยังคงวนเวียนอยู่บนเกาะ นั่นก็หมายความว่าเสียงเพลงจันทราของคนตายก็อยู่บนเกาะเช่นกัน เมื่อมีคนตายมากขึ้น มันก็จะมีเสียงจันทราตกค้างมากขึ้น ซึ่งเสียงของคนตายเหล่านั้นมันก็ต้องการผสานไปกับคนเป็นเช่นกัน มันจึงเริ่มสิงคนเป็น การสิงของเสียงจันทรามันไม่ได้สิงในทันที แต่ว่ามันจะค่อยๆแทรกแซงเข้าไป เสียงเพลงจันทราของคนที่ตายจะเริ่มแทรกแซงเสียงจันทราของคนเป็น เริ่มเข้าไปก่อกวนบทเพลงจันทราของคนเป็น ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของโรคจันทราสะกด ยิ่งคนไหนมีพลังวิญญาณสูงก็จะถูกสิงได้ง่ายกว่าคนปกติทั่วไป โดยปกติแล้วคนทั่วไปมักจะไม่ได้ยินเสียงจันทราเหมือนมิโกะสึกิโมริ ดังนั้นพวกเขาจะไม่รู้ตัวเลยว่าได้ติดโรคนี้แล้ว ระยะของโรคจันทราสะกดแบ่งออกได้เป็น ดังนี้
1. ระยะออกดอก(Budding) ผู้ป่วยในระยะนี้จะมีอาการหวาดกลัวเมื่อมองกระจกหรือสิ่งที่สะท้อนที่เห็นใบหน้าของตัวเอง เนื่องจากพบว่าตัวเองผลิบานอยู่ในกระจกบานนั้น(ผลิบานคือหน้าเบลอมัวหมองจนไม่เหลือโครงหน้าของตน) นั่นเป็นเพราะว่าเสียงจันทราของคนตายได้เริ่มเข้าก่อกวนเสียงเพลงจันทราของผู้ป่วยคนนั้นแล้ว ทำให้บทเพลงจันทราที่แสดงถึงวิญญาณของผู้ป่วยคนนั้นเริ่มสั่นคลอน ผู้ป่วยจะเริ่มเสียความทรงจำของตนเอง ดังนั้นผู้ป่วยที่ติดโรค จึงพยายามทำงานอดิเรกที่ตนชอบเช่นการสะสมของหรือวาดรูปเพื่อเยียวยาอาการของตน หากผู้ใดที่มีอาการแบบนี้แสดงว่านั่นเป็นสัญญาณที่เริ่มบ่งบอกเลยว่าคนเหล่านั้นติดโรคจันทราสะกด
เมื่อถึงเวลาพระจันทร์เต็มดวง คนที่ติดโรคนี้ก็จะเดินออกไปตามหาแสงจันทร์ราวกับต้องมนต์สะกด ไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนกับว่ามันเป็นสัญชาติญาณของพวกเขา เพราะตามความเชื่อนั้น ดวงจันทร์เป็นถึงตัวแทนที่แสดงถึงตัวตนภายในของบุคคล และแสงจันทร์จะทำให้จิตใจของพวกป่วยเสถียร แต่กลับกัน ถ้าไม่ได้รับแสงจันทร์หรือเป็นคืนข้างแรมที่ไม่มีดวงจันทร์ คนที่ติดโรคก็จะเกิดอาการหวาดกลัวและผวา ด้วยผลข้างเคียงที่จะต้องไปอาบแสงจันทร์ราวกับถูกสะกดแบบนี้เอง จึงทำให้มันถูกนำไปตั้งเป็นชื่อของโรคระบาด
2. ระยะผลัดใบหรือแตกหัก (Breaking) เป็นระยะขั้นที่ 2 เมื่อผู้ป่วยโดนเสียงเพลงจันทราของวิญญาณแทรกแซงเข้าไปเรื่อยๆ พวกเขาจะเริ่มหวาดกลัว เริ่มสูญเสียจิตใจหรือตัวตนของตัวเอง
3. ระยะส่งเกสรหรือเสียงสะท้อน (Resonance) เป็นระยะขั้นที่ 3 และเป็นระยะขั้นสูง ซึ่งผู้ที่ติดโรคในระยะนี้จะถูกเสียงเพลงของคนตายแทรกแซงจนเสียงเพลงของตัวเองใกล้จะหายไปแล้ว ซึ่งสิ่งนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ป่วยในระยะนี้ไม่รู้สึกตัวเวลาถูกเรียกชื่อของตัวเอง รวมถึงทำให้ผู้คนรอบข้างจำใบหน้าของผู้ป่วยที่ติดอยู่ในระยะนี้ไม่ได้ เหมือนกับผู้ป่วยคนนี้กลายเป็นคนอื่นไป อีกทั้งระยะนี้ ยังส่งผลกระทบให้แก่บทเพลงจันทราของคนที่มาพบปะไปด้วยเหมือนการสะท้อน เช่นคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ในระยะแรกและสอง เมื่อมองมาที่ใบหน้าของคนที่ป่วยอยู่ในระยะเสียงสะท้อน สภาพของคนๆนั้นก็จะแย่ลง การพบปะกับคนที่ป่วยในระยะนี้เป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการป่วยทางจิตและเกิดอาการคลั่งจนถึงฆ่าตัวตายได้ โรคนี้จะมีปฏิกิริยาขัดแย้งกับคนใกล้ๆ ตัว คนบางส่วนที่อยู่ใกล้จะถูกดึงราวกับถูกสะกดจิตให้ไปจ้องมองใบหน้าผู้ที่ติดโรคในระยะนี้ ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้ามอง
4. การผลิบานหรือระยะผลิบาน (Blooming) คือโรคจันทราสะกดระยะสุดท้ายที่เชื่อกันว่าเป็นคำสาปจากโศกนาฏกรรม เป็นระยะที่นำหายนะมาสู่เกาะ ผู้ที่อยู่ในระยะนี้จะเป็นผู้ที่เสียชีวิตแล้ว และถูกเสียงเพลงของวิญญาณเข้าแทรกแซงจนตัวตนของตัวเองได้หายไปจนหมดและแปรปรวน ทำให้ใบหน้าของคนๆนั้นผลิบาน ใบหน้าของผู้ผลิบานจะ หมองมัว บิดเบี้ยว เบลอจนน่ากลัว ระยะนี้คล้ายกับระยะเสียงสะท้อนแต่รุนแรงกว่าตรงที่ทำให้ผู้ที่หันมามองผลิบานเหมือนตน เพราะเสียงเพลงของผู้ที่หันไปมอง จะถูกเสียงเหล่าวิญญาณของผู้ที่ผลิบานสะท้อนมาเข้าแทรกแซงอย่างรวดเร็วจนแปรปรวนและผลิบานตามไปเช่นกัน
เพราะสาเหตุที่มีโรคระบาดแบบนี้ ในทุกๆคืน มิโกะสึกิโมริจึงต้องขึ้นไปที่ศาลเจ้าเกสโช เพื่อบรรเลงเพลงสึกิโมริตามสภาพข้างขึ้นข้างแรมของดวงจันทร์ ซึ่งบทเพลงสึกิโมรินั้นจะคอยผสานไปกลับบทเพลงจันทราที่อยู่ในตัวของแต่ละคน มันจะช่วยเยียวยาบทเพลงจันทราของแต่ละคน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ติดโรคจันทราสะกด ดั่งคำสอนที่อยู่ในกลุ่มมิโกะสึกิโมริ
ตั้งแต่ในอดีตกาล ผู้คนบนเกาะมีความเชื่อกันว่าดวงจันทร์เป็นจุดกำเนิดของวิญญาณ เป็นที่ๆวิญญาณควรอยู่และจะต้องกลับไป สถานที่แห่งนั้นก็คือโลกหลังความตายหรือที่คนบนเกาะเรียกกันว่าเขตแดนแห่งจุดเริ่มต้น(Zero Stage) ซึ่งทุกๆ 10 ปี ที่เกาะแห่งนี้ช่วงเที่ยงคืนจะมีจันทรคราส ผู้คนบนเกาะเชื่อกันว่าช่วงเวลาจันทรคราสจะเป็นช่วงเวลาที่ดวงจันทร์จะคลุ้มคลั่ง ผู้ที่อยู่ในระยะสะท้อนก็จะผลิบาน จิตใจของคนเป็นจะจมสู่ความตาย และวิญญาณของคนตายจะกลับมา ดังนั้น ผู้คนบนเกาะในยุคนั้นจึงทำพิธีรำบวงสรวงทุกๆ 10 ปี ที่บริเวณลานจันทราใต้ดินของเกาะเพื่อสักการะบูชาดวงจันทร์และเปิดประตูสู่โลกแห่งความตายเพื่อปลดปล่อยวิญญาณที่วนเวียนอยู่บนเกาะให้ไปสู่สุขติและเพื่อให้โรคจันทราสะกดหายไปด้วยพร้อมกัน ผู้คนในสมัยนั้นเรียกพิธีกรรมนี้ว่า “Kiraigou (การหวนคืนวัฐจักร)”
ลานจันทราใต้ดิน
พิธี Kiraigou จะถูกจัดขึ้นโดยมีตระกูลไฮบาระที่เป็นมหาอำนาจของเกาะเป็นผู้ดูแล ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ดูแลพิธีกรรมแล้ว ตระกูลนี้ก็ยังเป็นตระกูลที่คอยใช้ศาสตร์ทางไสยศาสตร์ในการดูแลรักษาจิตดวงวิญญาณของผู้ป่วยที่ติดโรคจันทราสะกดอีกด้วย
ในการเตรียมพิธีกรรม Kiraigou จะต้องทำการเลือกหญิงสาวหนึ่งคนมาเป็น อุสึวะ (นางรำ) และเหล่ามิโกะสึกิโมริก็จะทำหน้าที่เลือกเด็กสาวอีก 5 คน อายุราวๆ 10 ขวบ มาเป็นคานาเดะ (ผู้บรรเลงดนตรี) ในการเลือกอุสึวะนั้นมีเงื่อนไขอย่างไรไม่มีใครทราบ แต่หญิงสาวที่ถูกเลือกจะต้องได้รับการฝึกฝน โดยให้เข้าไปทำพิธีในถ้ำอุโมงค์ใต้ดินของเกาะโรเงทสึทุกๆคืน ซึ่งการฝึกฝนนี้ก็เป็นการฝึกที่มีความเชื่อว่า หญิงสาวผู้ที่เป็นอุสึวะจะต้องแลกเปลี่ยนสถานที่กับเทวีสึคุโยมิเทวีของดวงจันทร์ ซึ่งนั่นก็หมายถึงการถอดวิญญาณนั่นเอง โดยเริ่มจากชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์ที่ห้องแห่งจุดกำเนิด(Birth Chamber) เพื่อให้ร่างกายของตนกลายเป็นร่างกายที่ว่างเปล่า หลังจากนั้นพวกเธอก็จะต้องลงไปที่ถ้ำอุโมงค์ใต้ดินของเกาะโรเงทสึ
ถ้ำอุโมงค์ใต้ดินของเกาะโรเงทสึ(Rogetsu Tunnel) เป็นถ้ำอุโมงค์ที่มีทางเชื่อมต่อกับหลายๆสถานที่บนเกาะ และมีสายน้ำที่ชื่อว่าสายน้ำโซวสุ ซึ่งเป็นแม่น้ำที่กั้นระหว่างโลกคนเป็นและคนตายไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา (สายน้ำโซวสุ เป็นคำไวพจน์ของสายน้ำซันสุ) ถ้ำอุโมงค์ใต้ดินนี้จะเป็นถ้ำที่ไม่มีแสงจันทร์ส่องถึง หลังจากหญิงสาวที่ได้รับเลือกชำระล้างร่างกายเสร็จแล้ว พวกเธอจะต้องลงมาที่นี่เพื่อฝึกฝนให้เข้าใจถึงรูปร่างของดวงวิญญาณและให้มั่นใจว่าเธอเหมาะสมที่จะเป็นสื่อกลางให้กับเหล่าดวงวิญญาณและเพื่อให้คุ้นเคยกับสภาวะร่างกายที่ถูกชำระล้างที่ ”ว่างเปล่า” เพื่อแบกรับวิญญาณได้ ซึ่งทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กลับความกล้าหาญและความพยายามของหญิงสาวผู้นั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นเคยมีเอกสารระบุไว้ว่า มีหญิงสาวมากมายได้ลงมาฝึกพิธีเหล่านี้ แต่หลายคนก็เกิดอาการคลุ้มคลั่ง
ภาพส่วนหนึ่งในอุโมงค์โรเงทสึ
ถ้ำบ่อน้ำสะท้อนจันทรา
ส่วนทางด้านคานาเดะ เหล่ามิโกะสึกิโมริจะเป็นคนเลือกเองเพราะเด็กสาวที่จะมาเป็นคานาเดะได้นั้นจะต้องมีเสียงเพลงของจันทราที่ชัดเจนเพราะมันจะช่วยปลอบประโลมวิญญาณของคนได้ดี ทำให้เหล่ามิโกะสึกิโมริเคร่งครัดในการเลือกเป็นอย่างมาก เมื่อเลือกเด็กสาวทั้ง 5 คนได้แล้ว เด็กสาวทั้งหมดจะต้องลงไปฝึกเล่นเพลงสึกิโมริในถ้ำอุโมงค์เป็นเวลา 100 วัน
ก่อนที่จะทำพิธี อุสึวะและคานาเดะจะต้องสวมหน้ากากและทำสมาธิในห้องมุขพร้อมทั้งฟังบทเพลงจันทราที่ดังมาจากแท่นบูชา เพื่อให้ตนเป็นหนึ่งเดียวกับหน้ากาก เมื่อพวกเธอกลายเป็นหนึ่งเดียวกับหน้ากากแล้ว พวกเธอจึงจะสามารถเดินทางไปสู่ลานพิธีได้
หน้ากากของเกาะโรเงทสึ จากบันทึกของ ดร.อาโซ ได้กล่าวไว้ว่า หน้ากากของเกาะส่วนมากจะถูกสร้างมาเพื่อทำให้มีผลโน้มน้าวจิตใจของผู้ที่สวมใส่ เหมือนกับเวลาคนมองคนอีกคนที่มีความสุข ยิ้มแย้ม ตนเองก็จะยิ้มแย้มไปด้วย นอกจากจะมีผลต่อจิตใจแล้ว มันก็ยังสามารถกระตุ้นส่วนของสมองและทำหน้าที่บันทึกความทรงจำได้
สำหรับหน้ากากในพิธีกรรม หน้ากากของคานาเดะจะมีหลายแบบ เพื่อแยกว่าแต่ละคนมีหน้าที่อะไร ซึ่งแต่ละหน้าที่จะแบ่งเป็น ขับร้อง สั่นกระดิ่ง ตีกลอง เป่าขลุ่ย และเครื่องสาย ส่วนหน้ากากของ อุสึวะ จะเป็นหน้ากากพิเศษที่เปรียบเสมือนว่าเป็นตัวแทนของดวงจันทร์และเป็นกุญแจหลักที่ใช้เชื่อมต่อโลกคนเป็นกับโลกหลังความตาย หน้ากากใบนี้ถูกสร้างมาอย่างประณีตงดงามด้วยฝีมือของช่างทำหน้ากาก โยโมะสึกิ โซวอัน ช่างทำหน้ากากคนแรกแห่งตระกูลโยโมะสึกิ ซึ่งหลังจากนั้นตระกูลนี้จะกลายเป็นช่างทำหน้ากากประจำเกาะ กล่าวกันว่าหน้ากากของโซวอันเป็นหน้ากากที่สามารถกักเก็บวิญญาณของคนตายได้ ซึ่งต่างจากช่างทำหน้ากากคนอื่นๆ ที่สร้างมาเพื่อเลียนแบบเทพหรือตัวละครในการแสดง เทคนิคของโซวอันนี้ได้ถ่ายทอดส่งต่อรุ่นสู่รุ่น
เมื่อพิธีกรรม Kiraigou สำเร็จ จะเป็นช่วงที่มาบรรจบกับการเกิดจันทรคราสพอดี แสงของดวงจันทร์จะสาดส่องลงไปในมหาสมุทรเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่กลางมหาสมุทรซึ่งก็คือประตูสู่เขตแดนแห่งจุดเริ่มที่วิญญาณควรอยู่ “โลกหลังความตาย” วิญญาณทุกดวงบนเกาะจะไหลเข้าสู่ร่างกายของอุสึวะ และเหล่าวิญญาณที่เข้าไปในร่างอุสึวะก็จะถูกนำโดยแสงจันทร์ไหลผ่านออกหน้ากากจันทรคราส มุ่งหน้าสู่โลกหลังความตายไปพร้อมๆกัน หลังจากนั้นวิญญาณและความทรงจำของนางรำจะกลับสู่ร่างกายตามเดิม ตามความเชื่อของคนบนเกาะ วิญญาณของอุสึวะที่กลับมานั้นจะถูกชำระล้างราวกับเกิดใหม่
เมื่อไม่มีวิญญาณสิงสู่ตกค้างบนเกาะ ก็ไม่มีเสียงจันทราของคนตายคอยสิงสู่ เมื่อไม่มีการสิงสู่ มันก็ไม่มีโรคจันทราสะกด จนกว่าจะมีคนเสียชีวิตแล้วกลายเป็นวิญญาณ และรอกลับสู่โลกแห่งจุดเริ่มต้นอีกครั้ง
พิธีกรรมได้ดำเนินมาทุกๆ 10 ปี จนกระทั่งถึงยุคสมัยของช่างทำหน้ากากโยโมสึกิ โซวเอทสึ ผู้นำตระกูลรุ่นที่ 7 ในยุคสมัยของเขาตระกูลโยโมสึกิเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ถึงขนาดที่ตัวเขาเอง ได้เดินทางไปที่เมืองหลวง เพื่อมอบหน้ากากของเขาให้แก่จักรพรรดิ ในฐานะความภาคภูมิใจของเกาะโรเงทสึอีกด้วย
โซวเอทสึมีความสนใจในเขตแดนแห่งจุดเริ่มต้นที่เป็นจุดกำเนิดของเหล่าวิญญาณเป็นอย่างมาก เขาจึงได้เปลี่ยนเทคนิคการทำหน้ากากและใช้เทคนิคต่างๆ ที่เกี่ยวกับคนตายและวิญญาณเพื่อพยายามสร้างหน้ากากเพื่อบรรลุเป้าหมายของเขา หน้ากากใบนี้ของโซวเอทสึ เรียกว่า หน้ากากจันทรคราส(Mask of the Lunar Eclipse)
วัตถุดิบหลักในเทคนิคการทำหน้ากากจันทรคราสของโซวเอทสึจะต้องใช้ใบหน้าของคนที่ติดโรคจันทราสะกดและตายในขณะที่ยังอยู่ในระยะออกดอกและต้องไม่เข้าไปสู่ระยะผลิบาน ซึ่งใบหน้าพวกนี้ต้องผ่านพิธีกรรมการตัดใบหน้า ที่จะถูกจัดขึ้นในศาลเจ้าไว้ทุกข์ ซึ่งเป็นศาลเจ้าสำหรับคนตาย โดยปกติแล้วเมื่อมีคนบนเกาะที่ติดโรคจันทราสะกดเสียชีวิต ศพของพวกเขาก็จะถูกนำมาที่นี่เพื่อทำพิธีกรรมตัดใบหน้า เป็นการป้องกันไม่ให้ใบหน้าของศพกลายเป็นระยะผลิบานด้วยฝีมือการตัดของเหล่าผู้รักษาปกป้องศาลเจ้าแห่งนั้น
หลังจากตัดเสร็จใบหน้าเหล่านั้นก็จะถูกนำไปชำระล้างที่ห้องแห่งจิตสำนึกเพราะเป็นห้องมีแสงจันทร์สาดส่อง ก่อนที่จะเอามาทำเป็นหน้ากาก ส่วนศพที่ผ่านพิธีกรรมตัดใบหน้ามาแล้ว ใบหน้าของศพจะถูกหน้ากากปิดเอาไว้เพื่อให้กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ว่ากันว่าหากใครที่ไม่ได้ชำระล้างร่างให้บริสุทธิ์หรือไม่ถูกแสงจันทร์สาดส่อง เดินเข้าไปที่ศาลเจ้าไว้ทุกข์ จะมีความรู้สึกกระวนกระวายและติดโรคจันทราสะกดระยะออกดอก
หลังจากตัดเสร็จใบหน้าเหล่านั้นก็จะถูกนำไปชำระล้างที่ห้องแห่งจิตสำนึกเพราะเป็นห้องมีแสงจันทร์สาดส่อง ก่อนที่จะเอามาทำเป็นหน้ากาก ส่วนศพที่ผ่านพิธีกรรมตัดใบหน้ามาแล้ว ใบหน้าของศพจะถูกหน้ากากปิดเอาไว้เพื่อให้กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ว่ากันว่าหากใครที่ไม่ได้ชำระล้างร่างให้บริสุทธิ์หรือไม่ถูกแสงจันทร์สาดส่อง เดินเข้าไปที่ศาลเจ้าไว้ทุกข์ จะมีความรู้สึกกระวนกระวายและติดโรคจันทราสะกดระยะออกดอก
ห้องแห่งจิตสำนึก
เมื่อถึงวันทำพิธี Kiraigou พิธีได้เริ่มต้น คานาเดะจะเริ่มบรรเลงดนตรี นางรำก็จะเริ่มรำ หน้ากากจันทรคราสจะลบความทรงจำของนางรำออกทันที วิญญาณของนางรำจะเริ่มออกจากร่างกายและจมสู่เขตแดนแห่งจุดเริ่มต้นชั่วขณะ ทำให้ร่างกายของนางรำกลายเป็นสภาวะที่ว่างเปล่าซึ่งเป็นสภาวะที่ใกล้เคียงกับความตายมากที่สุด เพื่อพร้อมรับวิญญาณบนเกาะเข้าสู่ร่างกาย ในระหว่างนั้น หน้ากากของคานาเดะและเพลงสึกิโมริที่คานาเดะเล่นจะช่วยปลอบประโลมวิญญาณที่ติดอยู่บนเกาะไม่ให้คลุ้มคลั่งและเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ร่างกายของอุสึวะ
แต่ตอนนั้นเองก็ได้เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้น ในขณะที่ร่างกายของนางรำกำลังอยู่ในสภาวะที่ว่างเปล่า จู่ๆ เธอก็ได้ร้องอย่างเจ็บปวดทรมานก่อนที่หน้ากากจันทรคราสของโซวเอทสึแตกออกเป็นเสี่ยงๆ วิญญาณของอุสึวะไม่สามารถกลับมาได้ ทำให้ร่างกายของตนเองอยู่ในสภาพที่กึ่งเป็นกึ่งตาย พิธีกรรมล้มเหลวลงและส่งผลให้เกิดคำสาปที่นำพาหายนะมาสู่เกาะ
หายนะครั้งนี้ส่งผลให้ผู้คนหลายคนติดโรคจันทราสะกด ไม่ก็ผลิบานและเสียชีวิต บ้างก็ถึงกับหนีลงไปในอุโมงค์ใต้ดินของเกาะเพื่อเอาชีวิตรอด แต่โชคยังดีที่ในยุคนั้นยังมีมิโกะสึกิโมริ เหล่ามิโกะได้ขึ้นไปที่ศาลเจ้าเกสโช บนประภาคารสึคุโยมิและบรรเลงเพลงสึกิโมริเพื่อสะกดดวงจันทร์และช่วยเหลือผู้คนจากผลกระทบของการผลิบานได้ เกาะจึงกลับมาเป็นปกติ แต่ถึงกระนั้นเพราะพิธีที่ล้มเหลว จึงทำวิญญาณที่ตายอยู่บนเกาะก็ไม่สามารถกลับสู่โลกหลังความตายได้ และยังหลงเหลืออยู่บนเกาะตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้คนเชื่อว่าสาเหตุที่พิธีกรรมล้มเหลวเป็นเพราะหน้ากากของโซวเอทสึไม่สมบูรณ์ หลังจากนั้นโซวเอทสึก็หายตัวไปอย่างลึกลับไม่มีใครเห็นอีกเลย เอกสารของเขาถูกทำลายจนแทบจะหมดสิ้น ชิ้นส่วนหน้ากากของเขาถูกประดับไว้ในห้องทำงานของเขาเพื่อให้เป็นที่ศึกษาแก่คนในตระกูลรุ่นหลังต่อไป ผู้คนบนเกาะเรียกโศกนาฏกรรมในคืนนั้นว่า "วันที่ปราศจากความทุกข์" สุดท้ายลานจันทราใต้ดินของเกาะก็ถูกปิดเป็นพื้นที่หวงห้าม พิธีกรรม Kiraigou ก็กลายเป็นสิ่งต้องห้ามและห้ามแม้แต่จะเอ่ยถึง เมื่อพิธีกรรมนี้ไม่มีอีกแล้ว ประเพณีของมิโกะสึกิโมริจึงค่อยๆหายไป
หลังจากนั้นทุกๆ 10 ปี ผู้คนบนเกาะจึงจะจัดพิธีรำบวงสรวงธรรมดาที่โรงจันทรคราสที่อยู่ด้านบนเหนือลานจันทราใต้ดิน เพื่อปลอบประโลมวิญญาณของคนตายและให้เกียรติรำลึกถึงบุคคลที่เสียชีวิตไป ไม่มีการเปิดประตูส่งวิญญาณไปสู่โลกหลังความตายแบบเก่า ผู้คนเรียกพิธีนี้ว่า “พิธีรำบวงสรวงโรเงทสึ“ในพิธีกรรมนี้ก็มีต้นแบบมาจากพิธีกรรมอันเก่า แต่เงื่อนไขในการเลือกอุสึวะจะเปลี่ยนไป โดยให้ผู้คนบนเกาะช่วยกันเลือกหญิงสาวที่เหมาะสม เพื่อให้หัวหน้าตระกูลไฮบาระผู้ที่เป็นคนใหญ่คนโตบนเกาะแต่งตั้งให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นอุสึวะ โดยดูที่อายุและนิสัย การฝึกของอุสึวะในพิธีนี้ก็จะเป็นการนั่งสมาธิใต้หน้ากากในห้องมุขเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับหน้ากากและเพื่อชำระล้างร่างกายของตนเอง นอกจากนั้นการแต่งกายของอุสึวะก็จะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีขาวด้วย ส่วนคานาเดะจะทำการเลือกโดยการเลือกเด็กที่มีอายุประมาณราวๆ 10 ขวบเช่นเดิม แต่ชุดแต่งกายของคานาเดะจะเปลี่ยนไป จากชุดสีดำเป็นชุดขาวแดงเหมือนมิโกะทัวไปแทน
“การผลิบาน”
หายนะครั้งนี้ส่งผลให้ผู้คนหลายคนติดโรคจันทราสะกด ไม่ก็ผลิบานและเสียชีวิต บ้างก็ถึงกับหนีลงไปในอุโมงค์ใต้ดินของเกาะเพื่อเอาชีวิตรอด แต่โชคยังดีที่ในยุคนั้นยังมีมิโกะสึกิโมริ เหล่ามิโกะได้ขึ้นไปที่ศาลเจ้าเกสโช บนประภาคารสึคุโยมิและบรรเลงเพลงสึกิโมริเพื่อสะกดดวงจันทร์และช่วยเหลือผู้คนจากผลกระทบของการผลิบานได้ เกาะจึงกลับมาเป็นปกติ แต่ถึงกระนั้นเพราะพิธีที่ล้มเหลว จึงทำวิญญาณที่ตายอยู่บนเกาะก็ไม่สามารถกลับสู่โลกหลังความตายได้ และยังหลงเหลืออยู่บนเกาะตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผู้คนเชื่อว่าสาเหตุที่พิธีกรรมล้มเหลวเป็นเพราะหน้ากากของโซวเอทสึไม่สมบูรณ์ หลังจากนั้นโซวเอทสึก็หายตัวไปอย่างลึกลับไม่มีใครเห็นอีกเลย เอกสารของเขาถูกทำลายจนแทบจะหมดสิ้น ชิ้นส่วนหน้ากากของเขาถูกประดับไว้ในห้องทำงานของเขาเพื่อให้เป็นที่ศึกษาแก่คนในตระกูลรุ่นหลังต่อไป ผู้คนบนเกาะเรียกโศกนาฏกรรมในคืนนั้นว่า "วันที่ปราศจากความทุกข์" สุดท้ายลานจันทราใต้ดินของเกาะก็ถูกปิดเป็นพื้นที่หวงห้าม พิธีกรรม Kiraigou ก็กลายเป็นสิ่งต้องห้ามและห้ามแม้แต่จะเอ่ยถึง เมื่อพิธีกรรมนี้ไม่มีอีกแล้ว ประเพณีของมิโกะสึกิโมริจึงค่อยๆหายไป
หลังจากนั้นทุกๆ 10 ปี ผู้คนบนเกาะจึงจะจัดพิธีรำบวงสรวงธรรมดาที่โรงจันทรคราสที่อยู่ด้านบนเหนือลานจันทราใต้ดิน เพื่อปลอบประโลมวิญญาณของคนตายและให้เกียรติรำลึกถึงบุคคลที่เสียชีวิตไป ไม่มีการเปิดประตูส่งวิญญาณไปสู่โลกหลังความตายแบบเก่า ผู้คนเรียกพิธีนี้ว่า “พิธีรำบวงสรวงโรเงทสึ“ในพิธีกรรมนี้ก็มีต้นแบบมาจากพิธีกรรมอันเก่า แต่เงื่อนไขในการเลือกอุสึวะจะเปลี่ยนไป โดยให้ผู้คนบนเกาะช่วยกันเลือกหญิงสาวที่เหมาะสม เพื่อให้หัวหน้าตระกูลไฮบาระผู้ที่เป็นคนใหญ่คนโตบนเกาะแต่งตั้งให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นอุสึวะ โดยดูที่อายุและนิสัย การฝึกของอุสึวะในพิธีนี้ก็จะเป็นการนั่งสมาธิใต้หน้ากากในห้องมุขเพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับหน้ากากและเพื่อชำระล้างร่างกายของตนเอง นอกจากนั้นการแต่งกายของอุสึวะก็จะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีขาวด้วย ส่วนคานาเดะจะทำการเลือกโดยการเลือกเด็กที่มีอายุประมาณราวๆ 10 ขวบเช่นเดิม แต่ชุดแต่งกายของคานาเดะจะเปลี่ยนไป จากชุดสีดำเป็นชุดขาวแดงเหมือนมิโกะทัวไปแทน
การแต่งกายของอุสึวะในพิธีรำบวงสรวงโรเงสึ(ซ้าย)และ
Kiraigou(ขวา)
สำหรับหน้ากากที่ให้อุสึวะใส่ในพิธี ในตอนแรกสร้างมาโดยใครไม่มีใครทราบ แต่หลังจากนั้นหน้ากากนี้จะถูกสร้างโดยตระกูลโยโมทสึกิอีกครั้ง โดยมีโยโมทสึกิ โซวเก็นผู้นำตระกูลคนที่ 9 เป็นผู้รื้อฟื้นประเพณีและเทคนิควิชาการทำหน้ากากดั้งเดิมของตระกูล ซึ่งก่อนจะเริ่มพิธีผู้คนที่อาศัยบนเกาะก็จะไปที่บ้านของตระกูลโยโมทสึกิเพื่อจัดงานเฉลิมฉลองกินเลี้ยงกัน
ลานพิธีในโรงจันทรคราส
เมื่อพิธีเริ่ม ทุกอย่างก็จะเหมือนช่วงแรกๆ ของพิธี Kiraigou แต่ต่างกันที่ช่วงหลัง หน้ากากของอุสึวะ จะค่อยๆถอดวิญญาณและลบความทรงจำของอุสึวะ ให้กลายเป็นภาชนะที่ว่างเปล่า เพื่อคอยปลอบประโลมเหล่าวิญญาณที่เสียชีวิต เมื่อสำเร็จวิญญาณของอุสึวะก็กลับเข้าร่างดั่งเดิม ซึ่งการที่วิญญาณถูกปลอบประโลมในพิธีนี้ มันจะช่วยเยียวยารักษาให้กับผู้ที่ติดโรคจันทราสะกด แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้โรคจันทราสะกดหายไปจากเกาะจนหมด
ในภายหลังพิธีรำบวงสรวง ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม ส่งผลให้พิธีนี้กลายเป็นเทศกาล เป็นจุดสำคัญในด้านการท่องเที่ยวของเกาะ โดยมีข้อแม้ว่าระหว่างที่เข้าชมทุกคนจะต้องสวมหน้ากากที่ทางเกาะให้มา
ตั้งแต่ไม่มีพิธีกรรม Kiraigou ก็ไม่มีการรักษาด้วยวิธีทางไสยศาสตร์หรือความเชื่ออีกต่อไป ตระกูลไฮบาระที่จากเดิมเคยทำหน้าที่รักษาจิตดวงวิญญาณของผู้คน ก็ได้เปลี่ยนการรักษามาเป็นการรักษาแบบวิทยาศาสตร์แทน ดังนั้นตระกูลไฮบาระจึงสร้างโรงพยาบาลไฮบาระ(Haibara Hospital)เพื่อรักษาผู้ป่วยที่ติดโรคจันทราสะกด
.
.
.
หลายปีผ่านมาในสมัยเมจิ ดร.อะโซ คุนิฮิโกะ ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงด้านวิทยาศาสตร์ลึกลับ ในช่วงนั้นเขาได้เดินทางไปทั่วญี่ปุ่นเพื่อตามหาวัตถุดิบใหม่ๆ ที่จะเอาไว้ใช้ทำกล้อง Obscura ให้สมบูรณ์ เขามาที่เกาะโรเงทสึและเพ่งเล็งไปที่ความเชื่อของผู้คนบนเกาะ ผู้คนบนเกาะต้อนรับเขาดีอย่างผิดคาดและให้เชิญให้เขาเข้ามาพักบนเกาะ
ดร.คุนิฮิโกะ ได้เข้าพักที่โรงแรมบนเกาะโรเงทสึ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมของเกาะ โดยเฉพาะหน้ากากของเกาะ เขาได้รู้ว่าหน้ากากบนเกาะนี้มันมีผลกระทบต่อจิตใจของคนที่ใส่ราวกับสะกดจิต อีกทั้งเขาก็ได้เห็นเด็กผู้หญิงที่ไม่เคยเป่าขลุ่ยมาก่อน สามารถเป่าขลุ่ยได้โดยแค่เพียงใส่หน้ากากเท่านั้น
ดร.คุนิฮิโกะได้ใช้สิ่งต่างๆบนเกาะ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบทรัพยากรหรือเทคนิคการทำหน้ากาก มาสร้างแผ่นฟิล์มและวิจัยสร้างกล้อง Obscura ตัวใหม่ๆ เพื่อหาทางทำให้กล้องสมบูรณ์ โดยมีอยู่ตัวนึงที่เขาได้ใช้เทคนิคและศิลปะของเกาะมาสร้างกล้องตัวนี้ อีกทั้งเขายังได้มอบโปรเจคเตอร์แก่โรงแรมและตั้งมันไว้ในโรงอาหาร รวมทั้งวิทยุหินวิญญาณหลายตัวให้เกาะอีกด้วย
กล้อง Obscura ที่ใช้ศิลปะของเกาะในการออกแบบ
เมื่อถึงวันพิธีรำบวงสรวง คนบนเกาะก็ได้เชิญชวนเขาให้ไปชมพิธีรำบวงสรวงโรเงทสึโดยมีมิโกะสึกิโมริเป็นผู้ดูแล เขาได้พูดคุยกับมิโกะสึกิโมริและก็ได้ทราบว่ามิโกะสึกิโมริสามารถฟังเสียงเพลงจันทราจากตัวผู้คนได้ด้วย ซึ่งมิโกะสึกิโมริก็ได้ทำการฟังเสียงเพลงจันทราที่อยู่ในตัวของ ดร.คุนิฮิโกะ แล้วก็บอกว่าเสียงเพลงในตัว ดร.คุนิฮิโกะ ฟังดูรื่นรมย์มากเลยทีเดียว
ในระหว่างการแสดง เขาได้ดำเนินการทดสอบกล้อง Obscura ที่เขาสร้างขึ้น โดยการถ่ายรูปพิธีรำบวงสรวงโรเงทสึ แต่ทว่าภาพที่ปรากฏบนแผ่นฟิล์มนั้นกลับเป็นหน้ากากจันทรคราสสีดำของโซวเอทสึ
เขาสนใจในหน้ากากใบนั้นเป็นอย่างมาก จึงไปหาข้อมูลเกี่ยวกับหน้ากากใบนั้นและได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับหน้ากากจันทรคราส แต่เมื่อเขาเอาเรื่องนี้ไปถามผู้นำของตระกูลที่มีอำนาจบนเกาะ ผู้นำไม่พูดอะไรแต่กลับทำสีหน้าหวาดกลัวกลับมา ดร.คุนิฮิโกะเชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นเงื่อนงำสำคัญที่จะนำไปสู่โลกแห่งความตายก็เป็นได้
ก่อนที่ ดร.คุนิฮิโกะจะออกจากเกาะไป ผู้คนบนเกาะได้ขอร้องเขา ให้เขาเอากล้อง Obscura ที่เขาสร้างขึ้นมาตั้งประดับไว้บนเกาะเพื่อเป็นที่ระลึก ถึงแม้ ดร.คุนิฮิโกะ จะคิดว่าพลังของกล้องคงไม่จำเป็นสำหรับคนบนเกาะ แต่เขาก็ทำตามคำขอและมอบกล้อง Obscura ให้หนึ่งตัว ซึ่งเป็นตัวที่เขาใช้ศิลปะของเกาะออกแบบ กล้องตัวนั้นได้ถูกตั้งอยู่ไว้ในห้องพักของเขา และห้องๆนั้นก็ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ ดร.คุนิฮิโกะ อาโซ ซึ่งมีสิ่งประดิษฐ์และเรื่องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เขาทำบนเกาะ
.
.
.
.
เวลาผ่านไปเป็นเวลานาน พิธีของมิโกะสึกิโมริได้หายไปจนหมดสิ้น ส่วนเพลงสึกิโมริก็กลายเป็นสิ่งที่ถูกเล่ามากันปากต่อปากเท่านั้น ซึ่งการเล่ากันปากต่อปากมันทำให้บทเพลงส่วนมากได้หายไป แต่ถึงกระนั้นเหล่ามิโกะสึกิโมริรุ่นก่อนก็ได้ทำการแก้ไขเรื่องนี้เอาไว้แล้ว โดยการใส่บทเพลงสึกิโมริลงไปในกระจกสึกิโมริ การที่จะดูโน้ตเพลงบนกระจกสึกิโมริได้นั้นจะต้องใช้แสงจันทร์ส่องลงมาให้สะท้อนกับกระจก ซึ่งหลังจากที่พิธีของมิโกะสึกิโมริหมดลงไป กระจกบานนี้ก็ถูกสืบทอดกันมาในกลุ่มของมิโกะสึกิโมริที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด
ในช่วงยุคที่ไฮบาระ ชิเงโตะ ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าของตระกูลและเป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลไฮบาระ ซึ่งก็หมายความว่าเขาได้เป็นผู้นำของเกาะด้วย ในยุคนี้ชิเงโตะได้ทำการเปลี่่ยนแปลงโรงแรมบนเกาะที่ ดร. คุนิฮิโกะได้มาพักให้มาเป็นหอพักโรเงทสึ เพื่อรองรับผู้ป่วยที่มีเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
หอพักโรเงทสึ (Rogetsu Hall) เป็นหอพักผู้ป่วย ที่เปลี่ยนจากโรงแรมมาเป็นหอพักซึ่งเป็นอาคารใหม่ที่สร้างมาเพื่อเป็นที่พักและรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อจันทราสะกดโดยเฉพาะ อาคารนี้มีทางเชื่อมต่อกับโรงพยาบาลไฮบาระที่เป็นอาคารเก่าอีกด้วย หอพักนี้มีดีไซน์ในรูปแบบกึ่งญี่ปุ่นกึ่งตะวันตก และทุกห้องจะมีชื่อที่เกี่ยวดวงจันทร์ ในชั้นแรกของหอพักนั้นจะถูกดีไซน์เพื่อใช้ต้อนรับผู้คนภายนอก และตรงกลางของหอพักชั้น 1 จะมีสวนดอกไม้ที่เรียกว่า สวนดอกไม้จันทรา และในสวนนั้นก็จะมีสระน้ำที่เรียกว่าสระน้ำวารีจันทราอีกด้วย โดยสวนนี้จะเปิดให้เข้าในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคมเท่านั้น
เขามีลูกสาวชื่อซาคุยะและลูกชายชื่อโย โดยที่ซาคุยะเป็นพี่และโยเป็นน้อง แม่ของทั้งสองเป็นคนที่มีพลังวิญญาณสูง(ซิกเซนส์) ซึ่งนั่นทำให้เธอสามารถติดโรคจันทราสะกดได้ง่ายกว่าคนปกติ ซ้ำร้ายกว่านั้นคือซาคุยะที่เป็นลูกสาวของเธอ ก็ได้รับซิกเซนส์มาจากเธอด้วย แต่ถึงอย่างนั้นโยก็ยังเป็นคนปกติ
แม่ของทั้ง 2 ได้ติดโรคจันทราสะกดและเข้ารักษาที่โรงพยาบาลไฮบาระ ในตอนแรกเธอก็ทนกับโรคได้ แต่หลังจากนั้นอาการของเธอก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเธอทนไม่ไหวแล้วกลัวว่าสักวันเธอจะต้องลืมลูกๆ ของตัวเธอเองแน่ๆ นั่นจึงทำให้เธอได้คิดไปถึงการที่ซาคุยะ ลูกสาวที่มีซิกเซนส์เหมือนกันจะกลายเป็นคนที่มีสภาพแบบตน ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เธอโทษตัวเองเข้าไปใหญ่ว่าตัวเองเป็นคนที่ทำให้ซาคุยะจะต้องติดโรคจันทราสะกดแน่ๆ เธอจึงเขียนจดหมายอำลาก่อนที่จะฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากชั้นดาดฟ้าของโรงพยาบาลไฮบาระ เพราะสาเหตุนี้จึงทำให้ชิเงโตะเริ่มพยายามหาวิธีรักษาโรคจันทราสะกดด้วยวิธีทางการแพทย์และทางความเชื่อของผู้คนเกาะแบบจริงจัง เพื่อรักษาลูกสาวของตนเอง เขาให้เหล่าหมอและพยาบาลในโรงพยาบาลตรวจสอบการเกิดข้างขึ้นข้างแรมของพระจันทร์ไว้ เมื่อใดที่พระจันทร์เต็มดวงจะทำการล็อคปิดกั้นประตูให้หมดป้องกันการเสียชีวิตจากการตกจากที่สูง แต่ถ้าเป็นคืนที่ไม่มีพระจันทร์จะต้องมีการเดินตรวจกันมากขึ้น
เมื่อปราศจากแม่ไปแล้ว ซาคุยะก็ได้อ่านจดหมายลาตายของแม่ตัวเอง ซึ่งทำให้ซาคุยะได้รู้ว่าแม่ของเธอกลัวว่าซาคุยะจะกลายเป็นแบบตนเอง เพราะว่าซาคุยะเองก็มีซิกเซนส์เช่นกัน พอได้อ่านเสร็จ แทนที่ซาคุยะจะเป็นห่วงตัวเอง เธอกลับเป็นห่วงน้องชายของตนซะมากกว่า เพราะเธอรักน้องชายของเธอมาก เวลาซาคุยะมีเรื่องทีไรโยก็จะมาปกป้องซาคุยะเสมอ แม้ว่ามันจะเป็นการทำร้ายผู้อื่นก็ตาม ถึงแม้ภายนอกของโยจะดูน่ากลัว แต่ซาคุยะก็เข้าใจดีว่าจริงๆแล้วโยเป็นคนอ่อนโยนและละเอียดละอ่อน ทำให้เธออยากจะอยู่กับโยไปเรื่อยๆ ก่อนที่เธอจะต้องประสบชะตากรรมเดียวกันกับแม่ของเธอ ซาคุยะมักจะอยู่กับโยและฮัมเพลงอยู่บ่อยๆ จนโยจำได้จนขึ้นใจ เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี ทั้ง 2 ก็เติบโตขึ้น โยกับซาคุยะก็ได้มีลูกสาว 1 คน ชื่อว่าอายาโกะ
ในปี 1960 ซาคุยะได้ถูกเลือกให้เป็นอุสึวะ นางรำของพิธีรำบวงสรวงโรเงทสึในครั้งนั้น ตามความเชื่อของผู้คนบนเกาะในช่วงเวลาจันทรคราส เป็นช่วงที่วิญญาณของคนเป็นจะจมสู่ความตายและวิญญาณของคนตายจะกลับมาโลกคนเป็น วิญญาณและความทรงจำของซาคุยะค่อยๆเริ่มออกจากร่างกาย ทำให้ร่างกายของเธอกลายเป็นภาชนะที่ว่างเปล่า เพื่อปลอบประโลมและรำลึกถึงวิญญาณคนตาย เมื่อพิธีสำเร็จ วิญญาณและความทรงจำของซาคุยะก็จะกลับร่างกายตามเดิม ดูเหมือนว่าพิธีรำบวงสรวงของปีนี้จะสำเร็จไปได้ด้วยดีเหมือนเคย แต่หารู้ไม่ว่าพิธีในครั้งนี้กลับเป็นตัวกระตุ้นโรคจันทราสะกดของซาคุยะ ด้วยการที่เธอมีซิกส์เซนส์และมาทำพิธีนี้ มันทำให้โรคของเธอมีอาการรุนแรงเร็วกว่าผู้ป่วยคนอื่นมาก ซาคุยะได้ถูกนำตัวเข้ารักษาในห้องผู้ป่วยแยกที่อยู่ชั้น 4 ห้อง 412 (จันทราที่เยือกเย็น) ของหอพักโรเงสึที่จัดเตรียมไว้เฉพาะเธอ ทำให้เธอไม่มีโอกาสได้ไปเลี้ยงดูอายาโกะตามที่เธอต้องการ
ซาคุยะ ไฮบาระ
โย ไฮบาระ
ด้วยอาการป่วยของซาคุยะ โยจึงคิดที่จะเดินตามรอยเท้าของพ่อตัวเอง เขาได้เดินทางไปที่โตเกียวแล้วก็เปิดคลินิกของตัวเองที่นั่นเพื่อหาวิธีช่วยพี่สาวของเธอ
โทโนะ สึบากิ เธอได้เข้ามาทำงานเป็นนางพยาบาลที่เกาะโรเงทสึตามคำแนะนำของลุง เธอได้เข้าทำงานที่ชั้น 3 ในหอพักโรเงสึ ผู้คนบนเกาะก็ใจดีกับเธอมากคอยสอนเธอทุกอย่าง ทำให้เธอต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อตอบแทนความใจดีของผู้คนบนเกาะ ด้วยความพากเพียรนั้น ทำให้เธอได้รับความภาคภูมิใจจากผู้คนบนเกาะเป็นจำนวนมาก
ชิเงโตะหาวิธีรักษาโรคนี้หลายวิธี เขาใช้การรักที่ผสมผสานกันระหว่างวิทยาศาสตร์และความเชื่อบนเกาะเนื่องจากเขายังเคารพในการรักษาดั้งเดิมของตระกูลอยู่ แต่การรักษาที่ดูท่าว่าจะมีหวังที่สุดคือ การศัลกรรมผ่าตัดสมอง โดยการเพิ่มและลบตัวกระตุ้นสู่สมองโดยตรง ซึ่งเขาก็คิดจะทำการผ่าตัดนี้แบบลับๆ ในห้องแลบชั้นใต้ดิน ใต้ห้องทำงานของเขา
ห้องแลบชั้นใต้ดิน เป็นห้องที่ชิเงโตะสร้างขึ้นเพื่อใช้วิจัยหาทางรักษาโรคจันทราสะกดแบบลับๆ โดยที่ชิเงเป็นคนสั่งให้คนรับใช้ของเขาสร้างห้องแลบนี้ขึ้นมาเอง ซึ่งคนรับใช้เหล่านี้มาจากตระกูลที่ขึ้นตรงต่อตระกูลไฮบาระโดยตรง แต่ทว่าตอนที่กำลังขุดชั้นใต้ดินอยู่นั้น มันก็ได้ไปชนกับอุโมงค์เก่าที่อยู่ใต้ดินของเกาะโรเงทสึเข้า ซึ่งภายหลังทางที่ขุดชนดังกล่าว มันก็กลายเป็นทางที่เชื่อมกันระหว่างห้องแลบลับกับอุโมงค์ไปในที่สุด
หลังจากการขุดชน คนรับใช้ของชิเงโตะก็ได้ลงมาสำรวจถ้ำอุโมงค์และพบว่าที่นั่นไม่มีแสงจันทร์ส่องเข้าถึงเลย ในตอนนี้อุโมงค์ชั้นใต้ดินของเกาะโรเงทสึก็มีเรื่องเล่าตำนานอยู่เรื่องหนึ่ง ว่าเมื่อเกิดโศกนาฏกรรมวันที่ปราศจากความทุกข์เมื่อใด ใครก็ตามที่วิ่งหนีเข้ามาที่นี่จะสามารถมีชีวิตรอดพ้นไปได้เพราะในอดีตได้มีคนวิ่งหนีมาหลบซ่อนที่นี่แล้วรอดชีวิตจริงๆ
พวกคนใช้ของชิเงโตะได้สร้างห้องแลบของชิเงโตะจนเสร็จสิ้น แต่พวกเขาไม่ทราบถึงเหตุผลในการสร้างห้องแลบลับของชิเงโตะ และพวกเขาก็สงสัยในการกระทำของของชิเงโตะอีกต่างหาก เพราะสำหรับคนรุ่นก่อนๆ การก่อสร้างในชั้นใต้ดินของเกาะโรเงทสึนั้นถือเป็นเรื่องต้องห้าม เพราะมันอาจจะทำให้แสงจันทร์ทะลุไปถึงภายในตัวถ้ำและสร้างผลกระทบกับพิธีของอุสึวะ
หลังจากที่สร้างห้องแลบให้ชิเงโตะเสร็จ ในภายหลังนั้นก็มีการขุดก่อสร้างชั้นใต้ดินอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะขยายพื้นที่ให้โรงพยาบาลไฮบาระใน B1F ก่อนที่ภายหลังจะถูกยกเลิกไปเพื่อป้องกันการขุดไปชนอุโมงค์เก่าของเกาะ
เนื่องจากความคิดที่จะรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีศัลยกรรมผ่าตัดสมอง ทำให้เขาได้แต่งตั้ง คาตากิริ โชจิขึ้นมาเป็นผู้ช่วย เนื่องจากโชจิเป็นหมอที่เรียนจบด้านระบบประสาทสมองมา แต่เดิมแล้วโซจิไม่ใช่คนบนเกาะ เขาเป็นหมอที่มาจากแผ่นดินหลักและเข้ามาทำงานในโรงพยาบาลไฮบาระในภายหลัง โชจิรุ้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ชิเงโตะแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ช่วย
แรกเริ่มที่โชจิเข้ามาที่โรงพยาบาล เขาก็ต้องเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับโรคจันทราสะกดเพราะโรคนี้เป็นโรคที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน และไม่มีอยู่ที่ไหนนอกจากที่นี่ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับมันก็ตาม
หลังจากที่ได้กลายเป็นผู้ช่วย โชจิก็ได้พบปะกับผู้ป่วยที่ติดโรคจันทราสะกดแบบตัวเป็นๆครั้งแรก เขาได้สังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วย ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับโรคนี้เป็นอย่างมาก ชิเงโตะได้บอกเขาว่าโรคจันทราสะกดเป็นโรคที่พิเศษมาก ไม่ควรเร่งรีบรักษา แล้วเขาก็แสดงวิธีการรักษาให้โชจิดู หลังจากที่โชจิได้เห็นการรักษาของชิเงโตะ เขาก็รู้สึกทึ่งมาก เพราะชิเงโตะใช้วิธีต่างๆที่เขาคาดไม่ถึงและดูแตกต่างจากวิธีการรักษาที่สากลเขายอมรับกัน แต่ถึงอย่างนั้นวิธีการรักษาส่วนใหญ่ของชิเงโตะก็จะมุ่งเน้นที่การผ่าตัดและบำบัดเยียวยาผู้ป่วยซะมากกว่า ทำให้โชจิเริ่มศึกษาเกี่ยวกับวิธีการรักษาของชิเงโตะ
วันหนึ่งชิเงโตะได้เริ่มทำการทดสอบการผ่าตัดศัลยกรรมสมองผู้ป่วยรายหนึ่งที่มีชื่อว่าทาเคมุระ ยูโซ ชิเงโตะได้ดำเนินการผ่าตัดนี้แบบลับๆ ภายในห้องแลบลับที่อยู่ชั้นใต้ดินของห้องทำงานของเขา ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าพวกตนทำสำเร็จ แต่อยู่ดีๆ อาการของยูโซก็แย่ลงอย่างกะทันหัน ส่งผลทำให้ยูโซเสียความทรงจำ กลายเป็นร่างกายที่ว่างเปล่าและเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา ซึ่งก่อนที่เขาจะเสียชีวิตใบหน้าของเขาก็ดูบิดเบี้ยวไป ซึ่งนั่นทำให้โชจิตั้งข้อสงสัยว่าบางที สิ่งนี้อาจจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการผลิบาน หลังจากการทดลอง ใบหน้าของยูโซก็ถูกเอาไปตัดออกเพื่อป้องกันการผลิบาน ส่วนร่างกายของเขานั้นก็ถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ ที่อ่างล้างมือในห้องเตรียมตัวผ่าตัด และชิ้นส่วนศพของเขานั้นก็ถูกใช้เป็นที่ศึกษาถึงผลข้างเคียงของผลการทดลองต่อไป
ผ่านมาในปี 1970 อายาโกะที่มีอายุได้ 12 ปี ได้ติดโรคจันทราสะกดและถูกนำเข้ารักษาตัวในห้อง 207 (กล้วยไม้จันทรา)ชั้น 2 ของหอพักโรเงทสึ ที่มีนางพยาบาล ชิระสึกิ ฟุยุโกะ เป็นคนดูแล เนื่องจากอายาโกะไม่มีคนคอยเลี้ยงดู เธอจึงเป็นพวกที่มีนิสัยซาดิสก์ชอบทารุณสิ่งอื่น แต่ถึงอย่างนั้นผู้คนในโรงพยาบาลก็ยอมรับการกระทำนั่นเพราะเธอเป็นเด็กที่ชิเงโตะพาเข้ามาเอง ทุกคนเลยเชื่อว่าเด็กคนนี้ต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชิเงโตะแน่นอน หมอที่เข้าไปตรวจอายาโกะได้บอกกับอายาโกะว่าความชอบในการสะสมของต่างๆ ของเธอ สามารถช่วยเยียวยาอาการของเธอได้ ทำให้อายาโกะสะสมของที่ตัวเองคิดว่าสวยไปเรื่อยๆ และสิ่งนั้นก็คือชิ้นส่วนของแขนและขา เธอจึงสะสมหัวและแขนขาของตุ๊กตาจนทำให้ห้องของเธอนั้นเต็มไปด้วยชิ้นส่วนร่างกายของตุ๊กตา
ในเวลาถัดมาอาโซ มิซากิ และสึกิโมริ มาโดกะเพื่อนสนิทของเธอ ก็ได้ติดโรคจันทราสะกดและถูกนำตัวมารักษาในหอพักโรเงทสึเช่นกัน มิซากิเป็นคนที่มีซิกเซนส์และได้เข้าพักรักษาในห้อง 310(เทพจันทราที่จากไป) บนชั้น 3 ที่มี สึบากิ โทโนะ เป็นคนดูแล ส่วนมาโดกะก็ได้เข้าพักรักษาตัวในห้อง 203 (จันทราบริสุทธิ์) ชั้น 2 ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับอายาโกะ ทำให้มาโดกะมักจะถูกอายาโกะแกล้งเสมอ จนมิซากิต้องมาช่วยอยู่บ่อยครั้ง
สำหรับอาการของมิซากิ ในตอนแรกที่มิซากิเข้ามารักษาตัว เหล่าหมอกับพยาบาลยังยืนยันไม่ได้ว่ามิซากิติดโรคจันทราสะกด เพราะพวกเขาไม่สามารถระบุได้ว่าอาการของมิซากิเข้าสู่ระยะออกดอกแล้วหรือยัง แต่เมื่อเวลาผ่านไปความจำของมิซากิและความจำที่มีต่อตัวตนของตัวเองก็เริ่มถดถอยลง และมีความกลัวเมื่อมองกระจก ทำให้หมอวินิจฉัยว่าเธอติดโรคจันทราสะกดจริงๆ ซึ่งเหล่าหมอก็ระบุว่าการรักษาเด็กที่ติดโรคจันทราสะกดที่มีอายุอยู่ในช่วงก่อน 10-12 ปีนั้น เป็นเรื่องที่ยากมากเลยทีเดียว
ทางฝั่งโรงพยาบาลไฮบาระ ชิเงโตะ ได้เสนอที่จะทำการผ่าตัดทดลองอีกครั้งเพื่อหาทางรักษาโรคระบาด โดยครั้งนี้ผู้ป่วยก็คืออาซากิ ฮิซุกิ ซึ่งในตอนแรกอาซากิก็ปฏิเสธ เพราะเธอได้ยินว่ามีผู้ป่วยอาการแย่ลงหลังจากการผ่าตัด แต่สุดท้ายเธอก็ได้รับการผ่าตัด หลังจากการผ่าตัดครั้งแรกเสร็จสิ้น อาซากิเขียนบันทึกลงไปในไดอารี่ของเธอ การผ่าตัดครั้งแรกทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่ากลัวกับอาซากิเป็นอย่างมาก เมื่อหัวของเธอเริ่มเป็นสีแดง ความเจ็บปวดนี้ถึงกับทำให้อาซากิร้องไห้ ซึ่งระหว่างที่เธอร้องไห้เธอก็พบว่า น้ำตาของเธอกลับกลายก็เป็นสีเลือดไปด้วย อาซากิเขียนลงในไดอารี่ว่าวันพรุ่งนี้เขาก็จะผ่าตัดเธออีก อาซากิรู้สึกเกลียดชังการผ่าตัดและเจ็บปวดมาก แต่แม่ของเธอกลับเชื่อมั่นและปล่อยให้เธอได้รับการผ่าตัด หลังจากการผ่าตัดครั้งที่ 2 เสร็จสิ้น อาการของเธอดูเหมือนจะดีขึ้นแต่ทว่าในคืนนั้น อาการของเธอก็แย่ลงอย่างฉับพลันและเสียชีวิต เหล่าแพทย์ก็พยายามที่จะช่วยชีวิตเธอให้กลับมา แต่ก็สายไปเสียแล้ว อาซากิเสียชีวิตในวัยเพียงแค่ 6 ปี ในเวลาเที่ยงคืน 23 นาที (ไม่รู้วันที่) ในใบชันสูตรศพของเธอระบุสาเหตุการตายของเธอว่า “ไม่ทราบแน่ชัด แต่น่าจะมาจากสภาพร่างกายที่อ่อนแอ”
การผ่าตัดนี้ของชิเงโตะที่ไร้จรรยาบรรณนี้ เริ่มทำให้โชจิรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นโชจิก็ยังคงหาทางรักษาโรคจันทราสะกดกับชิเงโตะอยู่ดี
อาการของซาคุยะรุนแรงอยู่ในขั้นเสียงสะท้อนจนทำให้มีผลกระทบรุนแรงต่อนางพยาบาลคนหนึ่งที่ดูแลในชั้นของเธอ นางพยาบาลคนนั้นเรียกซาคุยะว่าผู้หญิงไร้หน้า เพราะเธอจำใบหน้าของซาคุยะไม่ได้เลย เธอรู้สึกว่าใบหน้าของซาคุยะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอจ้องมองใบหน้าของซาคุยะ เธอจะเริ่มรู้สึกเสียความเป็นตัวของตัวเองไปทีละนิด ยิ่งนางพยาบาลคนนั้นทำงานประจำชั้นนี้นานเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งมีความรู้สึกเหมือนซาคุยะคอยเรียกให้เธอเข้าไปหาทุกที นางพยาบาลคนนั้นเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงเขียนจดหมายคำร้องเปลี่ยนแผนกส่งให้ทางโรงพยาบาล แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติ
ทุกๆ วันหมอโชจิ ก็ได้สังเกตเห็น ว่านางพยาบาลคนนั้นมักจะเดินรอบๆ ประตูกรงเหล็กของชั้น 4 โดยไม่มีสาเหตุ จนกระทั่งวันหนึ่งนางพยาบาลคนนั้นได้เกิดอาการคลั่งและเสียสติ วิ่งเข้ามาฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตาซาคุยะ โชจิที่รู้ข่าวก็รีบวิ่งเข้ามา เขาพบร่างของนางพยาบาลที่เสียชีวิตและสภาพของภายในห้องที่กระจัดกระจาย แต่ซาคุยะก็กลับนั่งอยู่บนเตียงและยิ้มเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ในขณะเดียวกัน โชจิก็รู้สึกประหลาดที่เขาก็ไม่สามารถจำใบหน้าของซาคุยะได้ เขายังบอกอีกว่านางพยาบาลคนอื่นที่เคยมาอยู่ก่อนหน้านี้ก็เคยรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน โชจิเลยคิดว่าบางทีประตูเหล็กที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อชั้นนี้นั้น อาจจะไม่ได้สร้างมาเพื่อกั้นไม่ให้คนไข้เดินออกจากห้อง แต่เป็นการกั้นไม่ให้คนภายนอกเข้าไปหาคนไข้ซะมากกว่า ไม่กี่วันถัดมา หอพักโรเงทสึชั้น 4 ก็ได้โชโนะซากิ ชิเอะ นางพยาบาลจากฝั่งโรงพยาบาลไฮบาระมารับหน้าที่แทนนางพยาบาลคนก่อนที่ฆ่าตัวตายไป
ตอนที่ชิเอะเข้ามาทำงานที่ชั้น 4 ช่วงแรกๆ ในเอกสารที่เธอได้รับจาก ผอ. ชิเงโตะ ได้ระบุไว้ว่าคนไข้ในชั้นนี้ชื่อซาคุยะ โดยมีข้อห้ามว่าห้ามเรียกชื่อเธอหรือมองจ้องหน้าของเธอเป็นอันขาด แต่พอชิเอะเข้าไปหาซาคุยะ เธอก็เผลอเรียกชื่อซาคุยะขึ้นมา แต่ซาคุยะก็ไม่มีท่าทีที่จะตอบกลับ หลังจากนั้นชิเอะก็เริ่มมีอาการแปลกๆ เธอเริ่มจำชื่อของซาคุยะไม่ได้ เธอเริ่มรู้สึกว่า คนที่อยู่ในห้อง 412 นั้น ไม่ใช่คนเดียวกัน
หลังจากที่ชิเอะเข้ามารับตำแหน่ง โชจิก็ได้มาช่วยเฝ้าดูอาการของซาคุยะด้วย ในความคิดของเขา เขาคิดว่าการที่ซาคุยะมีซิกเซนส์ขั้นรุนแรงและมาติดโรคระบาดแบบนี้ มันดูเป็นสภาพที่ไร้ความหวังมาก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ซาคุยะก็คือตัวอย่างของผู้ป่วยที่สำคัญคนหนึ่ง เขาจึงยังเฝ้าดูอาการต่อไป ซึ่งเขาก็พบว่าในขณะที่ซาคุยะกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่หอพัก ด้วยผลกระทบของโรคระบาด บางครั้งซาคุยะก็จะมักหลงลืมตัวตนของตัวเอง เธอจึงเลือกใช้ตุ๊กตารักษาความรู้สึกของตัวเธอเอง เพราะเธอเชื่อว่าเธอสามารถเก็บชิ้นส่วนของจิตใจเธอลงในตุ๊กตาได้ ไว้วันใดที่เธอลืมแม้กระทั่งตัวเอง ตุ๊กตาที่มีชิ้นส่วนจิตใจของเธอ จะสามารถช่วยเหลือเธอไม่ให้ลืมตัวเองได้ เพราะสาเหตุนั้นทำให้ห้องพักของซาคุยะเต็มไปด้วยตุ๊กตาที่เธอทำขึ้นเองมากมาย โชจิคิดว่าวิธีการดูแลตัวเองของซาคุยะน่าสนใจมาก แต่เขาก็คิดอีกว่ามันก็คงเป็นการรักษาชั่วคราวที่คอยยืดเวลาไม่ให้สภาพจิตใจของตัวเธอเองพังทลายเร็วลงเท่านั้น
ทางด้านชิเงโตะ ตัวเขานั้นตั้งแต่เป็นหมอมาเขาก็สู้กับโรคจันทราสะกดมาโดยตลอด เขาคิดหนักอยู่ตลอดว่าจะมีทางรึเปล่าที่จะสามารถรักษาโรคจันทราสะกดให้หายออกไปและช่วยลูกสาวเขาได้ แต่สุดท้ายแล้วก็สิ่งที่เขาคิดออกก็มีแค่หนทางเดียวคือการรื้อฟื้นพิธีกรรม Kiraigou ที่ถูกยกเลิกไปนับร้อยปีก่อน โดยจะใช้หน้ากากจันทรคราสในพิธี ชิเงโตะรู้ว่ามันเป็นสิ่งต้องห้ามแต่ก็ต้องทำเพราะมันเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยรักษาโรคจันทราสะกดได้ อีกทั้งเพราะว่าเวลาที่จันทรคราสจะกลับมาในรอบ 10 ปี กำลังมาถึง เขาจะพลาดโอกาสแบบนี้ไปไม่ได้ สำหรับพิธีครั้งนี้ ชิเงโตะ ได้คิดที่จะเลือกซาคุยะมาเป็นอุสึวะในพิธีกรรม Kiraigou หลังจากที่เขาตัดสินใจเสร็จสิ้น เขาก็ได้บอกโชจิให้เตรียมพร้อมสำหรับพิธีกรรมซึ่งนั่นก็ทำให้โชจิรู้สึกสงสัยว่าวิธีการรักษาแบบ Kiraigou เป็นอย่างไร
ชิเงโตะได้ไปปรึกษาโยโมะสึกิ โซวยะที่เป็นผู้นำของตระกูลโยโมะสึกิในสมัยนั้นให้สร้างหน้ากากจันทรคราสขึ้นมา โซวยะยินดีที่จะสร้างหน้ากากให้สำหรับพิธีกรรม เขาใช้เวลาศึกษาหน้ากากแห่งจันทรคราสโดยศึกษาจากชิ้นส่วนหน้ากากที่แตกออกและหนังสือวิธีสร้างหน้ากากของโซวเอทสึ
ชิเงโตะอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้หน้ากากของโซวเอทสึนำมาซึ่งโศกนาฏกรรม และเขาก็สงสัยว่าทำไมหน้ากากถึงสามารถควบคุมสภาวะทางจิตใจของผู้ใส่ได้ เขาจึงเริ่มศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งโซวยะก็ให้ความช่วยเหลือเขาในเรื่องนี้ด้วย ทั้งคู่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยชิเงโตะจะหาข้อมูล และโซยะจะเป็นคนทำหน้ากากขึ้นมา
ต่อมาชิเงโตะก็ได้นำรูปภาพหน้ากากจันทรคราสที่ ดร.คุนิฮิโกะถ่ายได้มาให้เขาดู โซวยะตกใจที่กล้องนั่นสามารถถ่ายภาพอดีตได้ แต่ที่สำคัญคือหน้ากากที่อยู่ในภาพนั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่รูปถ่ายแต่เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังของหน้ากากใบนั้นอย่างชัดเจน เขาตั้งใจว่าเขาจะสร้างหน้ากากที่สมบูรณ์แบบเหนือกว่าหน้ากากที่โซวเอทสึทำขึ้นมาให้ได้
โซวยะมีภรรยาที่ชื่อว่า ซายากะ ซึ่งเธอมีความลับบางอย่างที่ไม่ได้บอกโซวยะ ว่าเธอคือมิโกะสึกิโมริคนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าซายากะก็มีพลังวิญญาณสูงอยู่เช่นกัน ในบางครั้งซายากะจะร้องเพลงสึกิโมริ ซึ่งเป็นเพลงที่สืบทอดต่อกันมาของมิโกะสึกิโมริ จนทำให้โซวยะที่ได้ยินอดใจไม่ไหวแล้วถามเธอทุกครั้งว่ามันคือเพลงอะไร แต่ซายากะก็เลี่ยงที่จะตอบคำถามไปเพื่อรักษาความลับของตน ถึงแม้ว่าประเพณีของมิโกะสึกิโมริจะหายไปแล้วก็ตาม แต่ทุกๆวัน ซายากะก็มักจะสอนเพลงสึกิโมริให้รุกะลูกสาวของเธอเล่นเป็นประจำ และรุกะเองก็เป็นเด็กที่มีพลังวิญญาณเหมือนซายากะเช่นกัน
โทโนะ สึบากิ เธอได้เข้ามาทำงานเป็นนางพยาบาลที่เกาะโรเงทสึตามคำแนะนำของลุง เธอได้เข้าทำงานที่ชั้น 3 ในหอพักโรเงสึ ผู้คนบนเกาะก็ใจดีกับเธอมากคอยสอนเธอทุกอย่าง ทำให้เธอต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อตอบแทนความใจดีของผู้คนบนเกาะ ด้วยความพากเพียรนั้น ทำให้เธอได้รับความภาคภูมิใจจากผู้คนบนเกาะเป็นจำนวนมาก
ห้องแลบชั้นใต้ดิน เป็นห้องที่ชิเงโตะสร้างขึ้นเพื่อใช้วิจัยหาทางรักษาโรคจันทราสะกดแบบลับๆ โดยที่ชิเงเป็นคนสั่งให้คนรับใช้ของเขาสร้างห้องแลบนี้ขึ้นมาเอง ซึ่งคนรับใช้เหล่านี้มาจากตระกูลที่ขึ้นตรงต่อตระกูลไฮบาระโดยตรง แต่ทว่าตอนที่กำลังขุดชั้นใต้ดินอยู่นั้น มันก็ได้ไปชนกับอุโมงค์เก่าที่อยู่ใต้ดินของเกาะโรเงทสึเข้า ซึ่งภายหลังทางที่ขุดชนดังกล่าว มันก็กลายเป็นทางที่เชื่อมกันระหว่างห้องแลบลับกับอุโมงค์ไปในที่สุด
หลังจากการขุดชน คนรับใช้ของชิเงโตะก็ได้ลงมาสำรวจถ้ำอุโมงค์และพบว่าที่นั่นไม่มีแสงจันทร์ส่องเข้าถึงเลย ในตอนนี้อุโมงค์ชั้นใต้ดินของเกาะโรเงทสึก็มีเรื่องเล่าตำนานอยู่เรื่องหนึ่ง ว่าเมื่อเกิดโศกนาฏกรรมวันที่ปราศจากความทุกข์เมื่อใด ใครก็ตามที่วิ่งหนีเข้ามาที่นี่จะสามารถมีชีวิตรอดพ้นไปได้เพราะในอดีตได้มีคนวิ่งหนีมาหลบซ่อนที่นี่แล้วรอดชีวิตจริงๆ
พวกคนใช้ของชิเงโตะได้สร้างห้องแลบของชิเงโตะจนเสร็จสิ้น แต่พวกเขาไม่ทราบถึงเหตุผลในการสร้างห้องแลบลับของชิเงโตะ และพวกเขาก็สงสัยในการกระทำของของชิเงโตะอีกต่างหาก เพราะสำหรับคนรุ่นก่อนๆ การก่อสร้างในชั้นใต้ดินของเกาะโรเงทสึนั้นถือเป็นเรื่องต้องห้าม เพราะมันอาจจะทำให้แสงจันทร์ทะลุไปถึงภายในตัวถ้ำและสร้างผลกระทบกับพิธีของอุสึวะ
ห้องแลบลับของชิเงโตะ
หลังจากที่สร้างห้องแลบให้ชิเงโตะเสร็จ ในภายหลังนั้นก็มีการขุดก่อสร้างชั้นใต้ดินอีกครั้งหนึ่งเพื่อที่จะขยายพื้นที่ให้โรงพยาบาลไฮบาระใน B1F ก่อนที่ภายหลังจะถูกยกเลิกไปเพื่อป้องกันการขุดไปชนอุโมงค์เก่าของเกาะ
เนื่องจากความคิดที่จะรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีศัลยกรรมผ่าตัดสมอง ทำให้เขาได้แต่งตั้ง คาตากิริ โชจิขึ้นมาเป็นผู้ช่วย เนื่องจากโชจิเป็นหมอที่เรียนจบด้านระบบประสาทสมองมา แต่เดิมแล้วโซจิไม่ใช่คนบนเกาะ เขาเป็นหมอที่มาจากแผ่นดินหลักและเข้ามาทำงานในโรงพยาบาลไฮบาระในภายหลัง โชจิรุ้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ชิเงโตะแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ช่วย
แรกเริ่มที่โชจิเข้ามาที่โรงพยาบาล เขาก็ต้องเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับโรคจันทราสะกดเพราะโรคนี้เป็นโรคที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน และไม่มีอยู่ที่ไหนนอกจากที่นี่ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับมันก็ตาม
หลังจากที่ได้กลายเป็นผู้ช่วย โชจิก็ได้พบปะกับผู้ป่วยที่ติดโรคจันทราสะกดแบบตัวเป็นๆครั้งแรก เขาได้สังเกตพฤติกรรมของผู้ป่วย ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับโรคนี้เป็นอย่างมาก ชิเงโตะได้บอกเขาว่าโรคจันทราสะกดเป็นโรคที่พิเศษมาก ไม่ควรเร่งรีบรักษา แล้วเขาก็แสดงวิธีการรักษาให้โชจิดู หลังจากที่โชจิได้เห็นการรักษาของชิเงโตะ เขาก็รู้สึกทึ่งมาก เพราะชิเงโตะใช้วิธีต่างๆที่เขาคาดไม่ถึงและดูแตกต่างจากวิธีการรักษาที่สากลเขายอมรับกัน แต่ถึงอย่างนั้นวิธีการรักษาส่วนใหญ่ของชิเงโตะก็จะมุ่งเน้นที่การผ่าตัดและบำบัดเยียวยาผู้ป่วยซะมากกว่า ทำให้โชจิเริ่มศึกษาเกี่ยวกับวิธีการรักษาของชิเงโตะ
วันหนึ่งชิเงโตะได้เริ่มทำการทดสอบการผ่าตัดศัลยกรรมสมองผู้ป่วยรายหนึ่งที่มีชื่อว่าทาเคมุระ ยูโซ ชิเงโตะได้ดำเนินการผ่าตัดนี้แบบลับๆ ภายในห้องแลบลับที่อยู่ชั้นใต้ดินของห้องทำงานของเขา ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าพวกตนทำสำเร็จ แต่อยู่ดีๆ อาการของยูโซก็แย่ลงอย่างกะทันหัน ส่งผลทำให้ยูโซเสียความทรงจำ กลายเป็นร่างกายที่ว่างเปล่าและเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา ซึ่งก่อนที่เขาจะเสียชีวิตใบหน้าของเขาก็ดูบิดเบี้ยวไป ซึ่งนั่นทำให้โชจิตั้งข้อสงสัยว่าบางที สิ่งนี้อาจจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการผลิบาน หลังจากการทดลอง ใบหน้าของยูโซก็ถูกเอาไปตัดออกเพื่อป้องกันการผลิบาน ส่วนร่างกายของเขานั้นก็ถูกหั่นออกเป็นชิ้นๆ ที่อ่างล้างมือในห้องเตรียมตัวผ่าตัด และชิ้นส่วนศพของเขานั้นก็ถูกใช้เป็นที่ศึกษาถึงผลข้างเคียงของผลการทดลองต่อไป
ผ่านมาในปี 1970 อายาโกะที่มีอายุได้ 12 ปี ได้ติดโรคจันทราสะกดและถูกนำเข้ารักษาตัวในห้อง 207 (กล้วยไม้จันทรา)ชั้น 2 ของหอพักโรเงทสึ ที่มีนางพยาบาล ชิระสึกิ ฟุยุโกะ เป็นคนดูแล เนื่องจากอายาโกะไม่มีคนคอยเลี้ยงดู เธอจึงเป็นพวกที่มีนิสัยซาดิสก์ชอบทารุณสิ่งอื่น แต่ถึงอย่างนั้นผู้คนในโรงพยาบาลก็ยอมรับการกระทำนั่นเพราะเธอเป็นเด็กที่ชิเงโตะพาเข้ามาเอง ทุกคนเลยเชื่อว่าเด็กคนนี้ต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับชิเงโตะแน่นอน หมอที่เข้าไปตรวจอายาโกะได้บอกกับอายาโกะว่าความชอบในการสะสมของต่างๆ ของเธอ สามารถช่วยเยียวยาอาการของเธอได้ ทำให้อายาโกะสะสมของที่ตัวเองคิดว่าสวยไปเรื่อยๆ และสิ่งนั้นก็คือชิ้นส่วนของแขนและขา เธอจึงสะสมหัวและแขนขาของตุ๊กตาจนทำให้ห้องของเธอนั้นเต็มไปด้วยชิ้นส่วนร่างกายของตุ๊กตา
ห้องของอายาโกะที่เต็มไปด้วยชิ้นส่วนตุ๊กตา
ในเวลาถัดมาอาโซ มิซากิ และสึกิโมริ มาโดกะเพื่อนสนิทของเธอ ก็ได้ติดโรคจันทราสะกดและถูกนำตัวมารักษาในหอพักโรเงทสึเช่นกัน มิซากิเป็นคนที่มีซิกเซนส์และได้เข้าพักรักษาในห้อง 310(เทพจันทราที่จากไป) บนชั้น 3 ที่มี สึบากิ โทโนะ เป็นคนดูแล ส่วนมาโดกะก็ได้เข้าพักรักษาตัวในห้อง 203 (จันทราบริสุทธิ์) ชั้น 2 ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับอายาโกะ ทำให้มาโดกะมักจะถูกอายาโกะแกล้งเสมอ จนมิซากิต้องมาช่วยอยู่บ่อยครั้ง
สำหรับอาการของมิซากิ ในตอนแรกที่มิซากิเข้ามารักษาตัว เหล่าหมอกับพยาบาลยังยืนยันไม่ได้ว่ามิซากิติดโรคจันทราสะกด เพราะพวกเขาไม่สามารถระบุได้ว่าอาการของมิซากิเข้าสู่ระยะออกดอกแล้วหรือยัง แต่เมื่อเวลาผ่านไปความจำของมิซากิและความจำที่มีต่อตัวตนของตัวเองก็เริ่มถดถอยลง และมีความกลัวเมื่อมองกระจก ทำให้หมอวินิจฉัยว่าเธอติดโรคจันทราสะกดจริงๆ ซึ่งเหล่าหมอก็ระบุว่าการรักษาเด็กที่ติดโรคจันทราสะกดที่มีอายุอยู่ในช่วงก่อน 10-12 ปีนั้น เป็นเรื่องที่ยากมากเลยทีเดียว
ทางฝั่งโรงพยาบาลไฮบาระ ชิเงโตะ ได้เสนอที่จะทำการผ่าตัดทดลองอีกครั้งเพื่อหาทางรักษาโรคระบาด โดยครั้งนี้ผู้ป่วยก็คืออาซากิ ฮิซุกิ ซึ่งในตอนแรกอาซากิก็ปฏิเสธ เพราะเธอได้ยินว่ามีผู้ป่วยอาการแย่ลงหลังจากการผ่าตัด แต่สุดท้ายเธอก็ได้รับการผ่าตัด หลังจากการผ่าตัดครั้งแรกเสร็จสิ้น อาซากิเขียนบันทึกลงไปในไดอารี่ของเธอ การผ่าตัดครั้งแรกทำให้เกิดผลลัพธ์ที่น่ากลัวกับอาซากิเป็นอย่างมาก เมื่อหัวของเธอเริ่มเป็นสีแดง ความเจ็บปวดนี้ถึงกับทำให้อาซากิร้องไห้ ซึ่งระหว่างที่เธอร้องไห้เธอก็พบว่า น้ำตาของเธอกลับกลายก็เป็นสีเลือดไปด้วย อาซากิเขียนลงในไดอารี่ว่าวันพรุ่งนี้เขาก็จะผ่าตัดเธออีก อาซากิรู้สึกเกลียดชังการผ่าตัดและเจ็บปวดมาก แต่แม่ของเธอกลับเชื่อมั่นและปล่อยให้เธอได้รับการผ่าตัด หลังจากการผ่าตัดครั้งที่ 2 เสร็จสิ้น อาการของเธอดูเหมือนจะดีขึ้นแต่ทว่าในคืนนั้น อาการของเธอก็แย่ลงอย่างฉับพลันและเสียชีวิต เหล่าแพทย์ก็พยายามที่จะช่วยชีวิตเธอให้กลับมา แต่ก็สายไปเสียแล้ว อาซากิเสียชีวิตในวัยเพียงแค่ 6 ปี ในเวลาเที่ยงคืน 23 นาที (ไม่รู้วันที่) ในใบชันสูตรศพของเธอระบุสาเหตุการตายของเธอว่า “ไม่ทราบแน่ชัด แต่น่าจะมาจากสภาพร่างกายที่อ่อนแอ”
การผ่าตัดนี้ของชิเงโตะที่ไร้จรรยาบรรณนี้ เริ่มทำให้โชจิรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นโชจิก็ยังคงหาทางรักษาโรคจันทราสะกดกับชิเงโตะอยู่ดี
อาการของซาคุยะรุนแรงอยู่ในขั้นเสียงสะท้อนจนทำให้มีผลกระทบรุนแรงต่อนางพยาบาลคนหนึ่งที่ดูแลในชั้นของเธอ นางพยาบาลคนนั้นเรียกซาคุยะว่าผู้หญิงไร้หน้า เพราะเธอจำใบหน้าของซาคุยะไม่ได้เลย เธอรู้สึกว่าใบหน้าของซาคุยะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอจ้องมองใบหน้าของซาคุยะ เธอจะเริ่มรู้สึกเสียความเป็นตัวของตัวเองไปทีละนิด ยิ่งนางพยาบาลคนนั้นทำงานประจำชั้นนี้นานเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งมีความรู้สึกเหมือนซาคุยะคอยเรียกให้เธอเข้าไปหาทุกที นางพยาบาลคนนั้นเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงเขียนจดหมายคำร้องเปลี่ยนแผนกส่งให้ทางโรงพยาบาล แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้รับการอนุมัติ
ทุกๆ วันหมอโชจิ ก็ได้สังเกตเห็น ว่านางพยาบาลคนนั้นมักจะเดินรอบๆ ประตูกรงเหล็กของชั้น 4 โดยไม่มีสาเหตุ จนกระทั่งวันหนึ่งนางพยาบาลคนนั้นได้เกิดอาการคลั่งและเสียสติ วิ่งเข้ามาฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตาซาคุยะ โชจิที่รู้ข่าวก็รีบวิ่งเข้ามา เขาพบร่างของนางพยาบาลที่เสียชีวิตและสภาพของภายในห้องที่กระจัดกระจาย แต่ซาคุยะก็กลับนั่งอยู่บนเตียงและยิ้มเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ในขณะเดียวกัน โชจิก็รู้สึกประหลาดที่เขาก็ไม่สามารถจำใบหน้าของซาคุยะได้ เขายังบอกอีกว่านางพยาบาลคนอื่นที่เคยมาอยู่ก่อนหน้านี้ก็เคยรู้สึกอย่างนี้เหมือนกัน โชจิเลยคิดว่าบางทีประตูเหล็กที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อชั้นนี้นั้น อาจจะไม่ได้สร้างมาเพื่อกั้นไม่ให้คนไข้เดินออกจากห้อง แต่เป็นการกั้นไม่ให้คนภายนอกเข้าไปหาคนไข้ซะมากกว่า ไม่กี่วันถัดมา หอพักโรเงทสึชั้น 4 ก็ได้โชโนะซากิ ชิเอะ นางพยาบาลจากฝั่งโรงพยาบาลไฮบาระมารับหน้าที่แทนนางพยาบาลคนก่อนที่ฆ่าตัวตายไป
ตอนที่ชิเอะเข้ามาทำงานที่ชั้น 4 ช่วงแรกๆ ในเอกสารที่เธอได้รับจาก ผอ. ชิเงโตะ ได้ระบุไว้ว่าคนไข้ในชั้นนี้ชื่อซาคุยะ โดยมีข้อห้ามว่าห้ามเรียกชื่อเธอหรือมองจ้องหน้าของเธอเป็นอันขาด แต่พอชิเอะเข้าไปหาซาคุยะ เธอก็เผลอเรียกชื่อซาคุยะขึ้นมา แต่ซาคุยะก็ไม่มีท่าทีที่จะตอบกลับ หลังจากนั้นชิเอะก็เริ่มมีอาการแปลกๆ เธอเริ่มจำชื่อของซาคุยะไม่ได้ เธอเริ่มรู้สึกว่า คนที่อยู่ในห้อง 412 นั้น ไม่ใช่คนเดียวกัน
หลังจากที่ชิเอะเข้ามารับตำแหน่ง โชจิก็ได้มาช่วยเฝ้าดูอาการของซาคุยะด้วย ในความคิดของเขา เขาคิดว่าการที่ซาคุยะมีซิกเซนส์ขั้นรุนแรงและมาติดโรคระบาดแบบนี้ มันดูเป็นสภาพที่ไร้ความหวังมาก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ซาคุยะก็คือตัวอย่างของผู้ป่วยที่สำคัญคนหนึ่ง เขาจึงยังเฝ้าดูอาการต่อไป ซึ่งเขาก็พบว่าในขณะที่ซาคุยะกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่หอพัก ด้วยผลกระทบของโรคระบาด บางครั้งซาคุยะก็จะมักหลงลืมตัวตนของตัวเอง เธอจึงเลือกใช้ตุ๊กตารักษาความรู้สึกของตัวเธอเอง เพราะเธอเชื่อว่าเธอสามารถเก็บชิ้นส่วนของจิตใจเธอลงในตุ๊กตาได้ ไว้วันใดที่เธอลืมแม้กระทั่งตัวเอง ตุ๊กตาที่มีชิ้นส่วนจิตใจของเธอ จะสามารถช่วยเหลือเธอไม่ให้ลืมตัวเองได้ เพราะสาเหตุนั้นทำให้ห้องพักของซาคุยะเต็มไปด้วยตุ๊กตาที่เธอทำขึ้นเองมากมาย โชจิคิดว่าวิธีการดูแลตัวเองของซาคุยะน่าสนใจมาก แต่เขาก็คิดอีกว่ามันก็คงเป็นการรักษาชั่วคราวที่คอยยืดเวลาไม่ให้สภาพจิตใจของตัวเธอเองพังทลายเร็วลงเท่านั้น
ทางด้านชิเงโตะ ตัวเขานั้นตั้งแต่เป็นหมอมาเขาก็สู้กับโรคจันทราสะกดมาโดยตลอด เขาคิดหนักอยู่ตลอดว่าจะมีทางรึเปล่าที่จะสามารถรักษาโรคจันทราสะกดให้หายออกไปและช่วยลูกสาวเขาได้ แต่สุดท้ายแล้วก็สิ่งที่เขาคิดออกก็มีแค่หนทางเดียวคือการรื้อฟื้นพิธีกรรม Kiraigou ที่ถูกยกเลิกไปนับร้อยปีก่อน โดยจะใช้หน้ากากจันทรคราสในพิธี ชิเงโตะรู้ว่ามันเป็นสิ่งต้องห้ามแต่ก็ต้องทำเพราะมันเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยรักษาโรคจันทราสะกดได้ อีกทั้งเพราะว่าเวลาที่จันทรคราสจะกลับมาในรอบ 10 ปี กำลังมาถึง เขาจะพลาดโอกาสแบบนี้ไปไม่ได้ สำหรับพิธีครั้งนี้ ชิเงโตะ ได้คิดที่จะเลือกซาคุยะมาเป็นอุสึวะในพิธีกรรม Kiraigou หลังจากที่เขาตัดสินใจเสร็จสิ้น เขาก็ได้บอกโชจิให้เตรียมพร้อมสำหรับพิธีกรรมซึ่งนั่นก็ทำให้โชจิรู้สึกสงสัยว่าวิธีการรักษาแบบ Kiraigou เป็นอย่างไร
ชิเงโตะได้ไปปรึกษาโยโมะสึกิ โซวยะที่เป็นผู้นำของตระกูลโยโมะสึกิในสมัยนั้นให้สร้างหน้ากากจันทรคราสขึ้นมา โซวยะยินดีที่จะสร้างหน้ากากให้สำหรับพิธีกรรม เขาใช้เวลาศึกษาหน้ากากแห่งจันทรคราสโดยศึกษาจากชิ้นส่วนหน้ากากที่แตกออกและหนังสือวิธีสร้างหน้ากากของโซวเอทสึ
ชิเงโตะอยากรู้ว่าอะไรที่ทำให้หน้ากากของโซวเอทสึนำมาซึ่งโศกนาฏกรรม และเขาก็สงสัยว่าทำไมหน้ากากถึงสามารถควบคุมสภาวะทางจิตใจของผู้ใส่ได้ เขาจึงเริ่มศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งโซวยะก็ให้ความช่วยเหลือเขาในเรื่องนี้ด้วย ทั้งคู่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยชิเงโตะจะหาข้อมูล และโซยะจะเป็นคนทำหน้ากากขึ้นมา
ต่อมาชิเงโตะก็ได้นำรูปภาพหน้ากากจันทรคราสที่ ดร.คุนิฮิโกะถ่ายได้มาให้เขาดู โซวยะตกใจที่กล้องนั่นสามารถถ่ายภาพอดีตได้ แต่ที่สำคัญคือหน้ากากที่อยู่ในภาพนั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่รูปถ่ายแต่เขาก็รู้สึกได้ถึงพลังของหน้ากากใบนั้นอย่างชัดเจน เขาตั้งใจว่าเขาจะสร้างหน้ากากที่สมบูรณ์แบบเหนือกว่าหน้ากากที่โซวเอทสึทำขึ้นมาให้ได้
โซวยะมีภรรยาที่ชื่อว่า ซายากะ ซึ่งเธอมีความลับบางอย่างที่ไม่ได้บอกโซวยะ ว่าเธอคือมิโกะสึกิโมริคนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าซายากะก็มีพลังวิญญาณสูงอยู่เช่นกัน ในบางครั้งซายากะจะร้องเพลงสึกิโมริ ซึ่งเป็นเพลงที่สืบทอดต่อกันมาของมิโกะสึกิโมริ จนทำให้โซวยะที่ได้ยินอดใจไม่ไหวแล้วถามเธอทุกครั้งว่ามันคือเพลงอะไร แต่ซายากะก็เลี่ยงที่จะตอบคำถามไปเพื่อรักษาความลับของตน ถึงแม้ว่าประเพณีของมิโกะสึกิโมริจะหายไปแล้วก็ตาม แต่ทุกๆวัน ซายากะก็มักจะสอนเพลงสึกิโมริให้รุกะลูกสาวของเธอเล่นเป็นประจำ และรุกะเองก็เป็นเด็กที่มีพลังวิญญาณเหมือนซายากะเช่นกัน
ซายากะกำลังสอนรุกะเล่นเพลงสึกิโมริ
หลังจากที่โซวยะรับงานมาจากชิเงโตะเขาก็เอาแต่ทำงานอยู่ในห้องแห่งจิตสำนึก(ห้องทำหน้ากาก)ทั้งวัน ไม่มีเวลาไปดูแลครอบครัว ทำให้ซายากะกับโซวยะทะเลาะกันบ่อยมาก รุกะเองที่ไม่ได้เจอโซวยะนาน เวลาเธอเข้าไปเล่นในสวน เธอมักจะได้ยินเสียงมาจากห้องทำงานของโซวยะ แต่เธอก็ไม่ได้เข้าไปหาโซวยะเลย วันหนึ่งรุกะได้เข้าไปหาโซวยะ แต่เธอกลับหวาดกลัวโซวยะเพราะว่าเขาใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลา โซวยะได้ทดสอบหน้ากากอันมากมายหลายชนิดของเขาให้รุกะ โดยให้รุกะนอนอยู่บนแท่นหน้าศาลเจ้า และเขาก็สวมหน้ากากที่เขาสร้างมาให้รุกะ ในระหว่างที่รุกะสวมหน้ากากเธอก็รู้สึกเหมือนเธอเป็นคนอื่น ซึ่งนั่นก็เป็นครั้งแรกที่บทเพลงจันทราของรุกะถูกเสียงเพลงจันทราของคนตายเข้าแทรกแซง จนทำให้รุกะติดโรคจันทราสะกด
รุกะเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆและทุกๆคืนที่มีพระจันทร์เธอจะเดินออกไปที่สวนเพื่ออาบแสงจันทร์ ซายากะที่เห็นรุกะยืนอยู่ก็เข้าไปกอดเธอ แต่รุกะกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง อีกทั้งรุกะยังมีอาการกลัวเมื่อส่องกระจก ซายากะที่เห็นความผิดปกติของลูกสาวก็รู้ทันทีเลยว่ารุกะได้ติดโรคระบาดเข้าแล้วและเธอก็รู้ด้วยว่าสาเหตุเป็นเพราะโซยะ เธอจึงไปขอร้องชิเงโตะให้ช่วยรักษารุกะ รุกะจึงถูกนำเข้ารักษาในห้อง 308 (ทิวทัศน์จันทรา) ที่ชั้น 3 ของหอพักโรเงทสึ ในห้องพักของรุกะมีเปียโน เพราะฉะนั้นซายากะจึงสามารถสอนรุกะเล่นเพลงสึกิโมริทุกวันได้ถึงแม้ว่ารุกะจะไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้วก็ตาม
รุกะในวัยเด็ก (อายุ 7 ปี)
ซายากะเริ่มกังวลว่าโซยะสามีของตนเริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ เธอเริ่มสงสัยว่าอะไรที่เป็นแรงผลักดันที่ทำให้โซยะตั้งใจทำงานอยู่ในห้องทำหน้ากากถึงเพียงนี้ เธอจึงไปถามโซวยะแต่ดูเหมือนว่าโซวยะจะไม่บอกอะไรสักอย่างให้เธอฟัง ซายากะจึงกังวลว่าหลังจากที่เขาทำงานเสร็จ โซยะจะกลับมาเป็นคนเดิมหรือเปล่า แต่กลับมีบางสิ่งในใจเธอที่บอกว่าโซวยะไม่มีทางกลับมาเป็นคนที่เธอเคยรู้จักได้อีกแน่ ทางที่ดีเธอจึงให้รุกะอยู่ห่างๆ โซยะไว้ก่อน
ในหอพักโรเงทสึชั้น 3 นอกจากมีมิซากิกับรุกะพักแล้ว ยังมีคนไข้อีก 2 คนพักอยู่ที่ชั้นนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งคนแรกก็คือ ยูโก มาคากิ แต่เดิมแล้วยูโก มาคากิ เป็นจิตรกรชื่อดังและเป็นคนที่บริจาคเงินของตัวเองให้โรงพยาบาลไฮบาระ ภาพวาด รวมทั้งงานดีไซน์ต่างๆ ให้กับหอพักโรเงทสึอย่างเช่นกุญแจของแต่ละห้องอีกด้วย หลังจากที่เขาติดโรคจันทราสะกด เขาก็ได้เข้ารับการรักษาและพักอยู่ที่หอพักโรเงทสึชั้น 3 ห้อง 309 (จันทราหลากสี) แต่เนื่องจากเขาเป็นจิตรกรชื่อดัง ทำให้มีห้องประดับภาพวาด ซึ่งเป็นห้องที่มีไว้เพื่อติดรูปภาพที่เขาวาดขึ้นมาโดยเฉพาะอีกด้วย มาคากิเป็นคนที่มีซิกส์เซนส์ เมื่อไหร่ที่เขาเกิดอาการหลงลืมเพราะโรคจันทราสะกด เขาจะเริ่มเห็นภาพนิมิตแปลกๆ พร้อมทั้งลงมือวาดภาพที่เขามองเห็นนั่นด้วย
คนไข้อีกคนหนึ่งมีชื่อว่าเซนโด คาเงริ แต่เดิมนั้นคาเงริมีพี่สาวฝาแฝดอยู่หนึ่งคนชื่อว่า “คาโอรุ” คาเงรินั้นได้หลงรักพี่สาวฝาแฝดของตน เธอจึงได้สารภาพรักความรู้สึกของตนให้แก่คาโอรุ แต่คาโอรุปฏิเสธเธอ ทำให้คาเงริรู้สึกโมโหจึงผลักคาโอรุจนล้มลง ซึ่งการผลักนั้นรุนแรงมากจนถึงขั้นที่คาโอรุไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ คาโอรุรู้ว่าเธอไม่สามารถหนีไปไหนจากคาเงริได้ เธอจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากคาเงริ แต่จนวาระสุดท้าย เธอก็ยังคงหวังว่าจิตใจของคาเงริจะกลับสู่แสงสว่าง
ทางด้านไฮบาระ โย ที่ไปเปิดคลินิกอยู่ที่โตเกียว เขาได้ทดลองศัลยกรรมทางการแพทย์เพื่อหาทางรักษาซาคุยะ แต่มันกลับส่งผลให้คนไข้ 3 คนเสียชีวิต ทำให้โยกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีครั้งนี้และถูกตำรวจตามจับ โยจึงหนีกลับมาที่เกาะโรเงทสึและซ่อนตัวอยู่ในห้องลับที่อยู่ข้างๆห้องของอายาโกะ
หลังจากที่โยกลับมา เขาก็ได้ฟังแผนการที่จะรื้อฟื้นพิธีกรรมจากชิเงโตะพ่อของตน และก็เห็นด้วยเพราะมันคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วในการที่จะรักษาซาคุยะ ถึงมันอาจจะทำให้ซาคุยะแย่ลงกว่าเดิม แต่เขาก็คิดว่าพิธีกรรมต้องถูกทำขึ้นอีกครั้งหนึ่งเพื่อขจัดโรคร้ายออกไป เขาจึงช่วยชิเงโตะเตรียมการต่างๆสำหรับพิธีกรรม โดยการหาตัวเด็กที่จะมาเป็นคานาเดะนั้นจะเป็นหน้าที่ของโยเอง
ในระหว่างที่โยกำลังช่วยพ่อเตรียมการเกี่ยวกับพิธีกรรม เขาก็สืบเสาะหาข้อมูลมากมายในตอนนั้นเองที่เขานึกได้ว่าเขาเคยมีคนไข้ผู้หญิงคนหนึ่งที่ติดโรคระบาด คนไข้คนนั้นได้ความทรงจำกลับมาหลังจากเล่นเปียโน ราวกับว่าเพลงที่เธอเล่น มันช่วยให้เธอสัมผัสถึงตัวตนภายในของเธอ แต่น่าเสียดายหลังจากที่ผู้ป่วยหญิงคนนั้นได้ความทรงจำกลับมา เธอก็ฆ่าตัวตายทันที ดูเหมือนว่าความทรงจำนั้นมันอาจจะโหดร้ายเกินไปกับเธอก็ได้ ถึงจะน่าเศร้าแต่มันก็ทำให้โยรู้ได้ว่าดนตรีนั้นสามารถสัมผัสถึงจิตใจภายในของผู้คนในขณะที่คำพูดทำไม่ได้
พอโยนึกถึงดนตรีแล้วมันก็ทำให้เขานึกได้ว่าบนเกาะนี้ก็เคยมีเพลงอยู่เพลงหนึ่ง ซึ่งเขาเองก็เคยได้ยินตั้งแต่สมัยเด็กๆ และเพลงนั้นก็คือเพลงจันทรา ซึ่งบทเพลงจันทรานั้นในตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ถูกเล่ากันปากต่อปากลงมาจากอดีตเท่านั้น ทำให้บทเพลงส่วนใหญ่สูญหายไป แต่เขาก็จำได้ว่าตระกูลของเขานั้นก็เก็บโน๊ตเพลงนี้เอาไว้เช่นกัน เขาจึงลองค้นหาและก็พบกับโน๊ตเพลงจันทราเก่าๆ ที่ถูกเผา โยจึงได้ใช้กล้อง Obscura ของดร.อาโซ ถ่ายภาพกู้โน้ตดนตรีที่เสียหาย และทำการถอดเพลงจันทรามาจากแผ่นภาพนั้น
หลังจากที่กู้โน้ตดนตรีเสร็จ โซยะก็ได้รับโน้ตเพลงจันทราที่ถูกกู้คืนมาจากไฮบาระ เนื่องจากเพลงนี้เป็นกุญแจในการเปิดประตูศาลเจ้าที่อยู่ในห้องมุก ซึ่งหลังประตูศาลเจ้านั้นก็คือทางสู่ลานจันทราใต้ดินและเป็นสถานที่ที่จัด Kiraigou ที่ถูกปิดไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกเขาได้แก้กลไกเปิดประตูหลังศาลเจ้าโดยดูจากตัวโน๊ตที่ถูกกู้มา ทำให้ศาลเจ้ามีเสียงเพลงดังขึ้นก่อนที่จะเปิดประตูที่อยู่ข้างหลังไปได้ แต่ตอนนั้นเองที่โซยะได้ฟังเพลง เขากลับรู้สึกบางอย่าง เหมือนเขาจะเคยได้ยินเพลงคล้ายๆ แบบนี้ที่ไหนมาก่อน....
นอกจากโยจะนำเพลงที่กู้มาให้โซยะไปแล้ว เขายังนำเพลงที่ได้มาจากการถอดโน้ตมา มาใช้บำบัดโรคจันทราสะกดอีกด้วย แต่ว่าตัวเขานั้นกำลังอยู่ในระหว่างการหลบซ่อนจากคดีอยู่ เขาเลยใช้วิธีการส่งจดหมายบันทึกไปให้นางพยาบาลฟุยุโกะที่ทำหน้าที่อยู่ห้องกระจายเสียงชั้น 2 ให้ไปรับโน้ตเพลงจันทราจากห้อง 207 ซึ่งเป็นห้องของอายาโกะแทน ฟุยุโกะได้เปิดทดสอบเพลงบำบัดที่ได้มา เหล่าหมอพยาบาลก็สังเกตเห็นว่าผู้ป่วยมีปฏิกิริยารุนแรงกับเพลงนี้มาก เช่นเดียวกับรุกะที่อยู่ในระยะออกดอก ความทรงจำของเธอเริ่มหายไปทีล่ะนิดๆ แต่พอเธอได้ฟังเพลงบำบัดนี้ เธอก็บอกว่าเพลงนี้ทำให้เธอจำเรื่องราวที่น่ากลัว เธอจำเรื่องราวของที่บ้าน หน้ากาก และก็พ่อของเธอที่ใส่หน้ากาก รุกะอยากพบพ่อของเธอมากแต่ซายากะกีดกั้นไม่ให้รุกะเข้าไปใกล้พ่อของเธอ เพราะโซยะอาจจะทำให้โรคของรุกะรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
แรกเริ่มที่รุกะเข้ามาในหอพัก เธอมีความสุขมากและเธอก็ได้เพื่อนใหม่อย่างมิซากิและมาโดกะ ทั้ง 3 คนชอบวิ่งซุกซนไปทั่วหอพักเป็นประจำ ทั้ง 3 มักจะเล่นเกมหารหัสผ่าน ซึ่งรหัสผ่านนั้นมันก็คือรหัสผ่านของประตูที่นำไปสู่หวอดคนไข้ของชั้น 2 โดยวิธีการเล่นก็คือ แรกเริ่ม จะมีคนใดคนหนึ่งเขียนรหัสของประตูไว้ที่ไหนสักแห่ง หลังจากนั้นก็คนที่เขียนรหัสก็จะให้คำใบ้ที่ระบุถึงตำแหน่งของรหัสมาให้ แล้วคนที่เหลือก็ต้องไปหาตำแหน่งที่รหัสผ่านนั่นเขียนอยู่ ซึ่งการเล่นเกมนี้ทำให้ประตูชั้นสองถูกปลดล็อคจนบ่อยครั้ง จึงทำให้หมอและนางพยาบาลที่นั่นไม่พอใจและดุทั้งสามคน เพราะการเปิดประตูอาจจะทำให้คนไข้ที่มีอาการเดินละเมอ เดินออกจากโรงพยาบาลได้
คนไข้อีกคนหนึ่งมีชื่อว่าเซนโด คาเงริ แต่เดิมนั้นคาเงริมีพี่สาวฝาแฝดอยู่หนึ่งคนชื่อว่า “คาโอรุ” คาเงรินั้นได้หลงรักพี่สาวฝาแฝดของตน เธอจึงได้สารภาพรักความรู้สึกของตนให้แก่คาโอรุ แต่คาโอรุปฏิเสธเธอ ทำให้คาเงริรู้สึกโมโหจึงผลักคาโอรุจนล้มลง ซึ่งการผลักนั้นรุนแรงมากจนถึงขั้นที่คาโอรุไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ คาโอรุรู้ว่าเธอไม่สามารถหนีไปไหนจากคาเงริได้ เธอจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อปลดปล่อยตัวเองจากคาเงริ แต่จนวาระสุดท้าย เธอก็ยังคงหวังว่าจิตใจของคาเงริจะกลับสู่แสงสว่าง
หลังจากที่พี่สาวเสียชีวิต คาเงริจึงสร้างตุ๊กตาที่มีขนาดเท่าคนให้มีรูปร่างเหมือนคาโอรุ เธอเชื่อว่าในตอนนี้คาโอรุและเธอได้กลายเป็นคนเดียวกันแล้ว เธอจึงตั้งชื่อตุ๊กตาตัวนั้นว่า “วาตาชิ”ที่แปลว่าฉัน เธอมักจะให้วาตาชินั่งเก้าอี้เข็นสีแดงสำหรับคนพิการ และพาวาตาชิเดินเล่นเข้าไปอยู่ในสวนดอกไม้จันทราของหอพักบ่อยๆ
ทางด้านไฮบาระ โย ที่ไปเปิดคลินิกอยู่ที่โตเกียว เขาได้ทดลองศัลยกรรมทางการแพทย์เพื่อหาทางรักษาซาคุยะ แต่มันกลับส่งผลให้คนไข้ 3 คนเสียชีวิต ทำให้โยกลายเป็นผู้ต้องหาในคดีครั้งนี้และถูกตำรวจตามจับ โยจึงหนีกลับมาที่เกาะโรเงทสึและซ่อนตัวอยู่ในห้องลับที่อยู่ข้างๆห้องของอายาโกะ
หลังจากที่โยกลับมา เขาก็ได้ฟังแผนการที่จะรื้อฟื้นพิธีกรรมจากชิเงโตะพ่อของตน และก็เห็นด้วยเพราะมันคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วในการที่จะรักษาซาคุยะ ถึงมันอาจจะทำให้ซาคุยะแย่ลงกว่าเดิม แต่เขาก็คิดว่าพิธีกรรมต้องถูกทำขึ้นอีกครั้งหนึ่งเพื่อขจัดโรคร้ายออกไป เขาจึงช่วยชิเงโตะเตรียมการต่างๆสำหรับพิธีกรรม โดยการหาตัวเด็กที่จะมาเป็นคานาเดะนั้นจะเป็นหน้าที่ของโยเอง
ในระหว่างที่โยกำลังช่วยพ่อเตรียมการเกี่ยวกับพิธีกรรม เขาก็สืบเสาะหาข้อมูลมากมายในตอนนั้นเองที่เขานึกได้ว่าเขาเคยมีคนไข้ผู้หญิงคนหนึ่งที่ติดโรคระบาด คนไข้คนนั้นได้ความทรงจำกลับมาหลังจากเล่นเปียโน ราวกับว่าเพลงที่เธอเล่น มันช่วยให้เธอสัมผัสถึงตัวตนภายในของเธอ แต่น่าเสียดายหลังจากที่ผู้ป่วยหญิงคนนั้นได้ความทรงจำกลับมา เธอก็ฆ่าตัวตายทันที ดูเหมือนว่าความทรงจำนั้นมันอาจจะโหดร้ายเกินไปกับเธอก็ได้ ถึงจะน่าเศร้าแต่มันก็ทำให้โยรู้ได้ว่าดนตรีนั้นสามารถสัมผัสถึงจิตใจภายในของผู้คนในขณะที่คำพูดทำไม่ได้
พอโยนึกถึงดนตรีแล้วมันก็ทำให้เขานึกได้ว่าบนเกาะนี้ก็เคยมีเพลงอยู่เพลงหนึ่ง ซึ่งเขาเองก็เคยได้ยินตั้งแต่สมัยเด็กๆ และเพลงนั้นก็คือเพลงจันทรา ซึ่งบทเพลงจันทรานั้นในตอนนี้ก็เป็นสิ่งที่ถูกเล่ากันปากต่อปากลงมาจากอดีตเท่านั้น ทำให้บทเพลงส่วนใหญ่สูญหายไป แต่เขาก็จำได้ว่าตระกูลของเขานั้นก็เก็บโน๊ตเพลงนี้เอาไว้เช่นกัน เขาจึงลองค้นหาและก็พบกับโน๊ตเพลงจันทราเก่าๆ ที่ถูกเผา โยจึงได้ใช้กล้อง Obscura ของดร.อาโซ ถ่ายภาพกู้โน้ตดนตรีที่เสียหาย และทำการถอดเพลงจันทรามาจากแผ่นภาพนั้น
หลังจากที่กู้โน้ตดนตรีเสร็จ โซยะก็ได้รับโน้ตเพลงจันทราที่ถูกกู้คืนมาจากไฮบาระ เนื่องจากเพลงนี้เป็นกุญแจในการเปิดประตูศาลเจ้าที่อยู่ในห้องมุก ซึ่งหลังประตูศาลเจ้านั้นก็คือทางสู่ลานจันทราใต้ดินและเป็นสถานที่ที่จัด Kiraigou ที่ถูกปิดไว้เมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกเขาได้แก้กลไกเปิดประตูหลังศาลเจ้าโดยดูจากตัวโน๊ตที่ถูกกู้มา ทำให้ศาลเจ้ามีเสียงเพลงดังขึ้นก่อนที่จะเปิดประตูที่อยู่ข้างหลังไปได้ แต่ตอนนั้นเองที่โซยะได้ฟังเพลง เขากลับรู้สึกบางอย่าง เหมือนเขาจะเคยได้ยินเพลงคล้ายๆ แบบนี้ที่ไหนมาก่อน....
นอกจากโยจะนำเพลงที่กู้มาให้โซยะไปแล้ว เขายังนำเพลงที่ได้มาจากการถอดโน้ตมา มาใช้บำบัดโรคจันทราสะกดอีกด้วย แต่ว่าตัวเขานั้นกำลังอยู่ในระหว่างการหลบซ่อนจากคดีอยู่ เขาเลยใช้วิธีการส่งจดหมายบันทึกไปให้นางพยาบาลฟุยุโกะที่ทำหน้าที่อยู่ห้องกระจายเสียงชั้น 2 ให้ไปรับโน้ตเพลงจันทราจากห้อง 207 ซึ่งเป็นห้องของอายาโกะแทน ฟุยุโกะได้เปิดทดสอบเพลงบำบัดที่ได้มา เหล่าหมอพยาบาลก็สังเกตเห็นว่าผู้ป่วยมีปฏิกิริยารุนแรงกับเพลงนี้มาก เช่นเดียวกับรุกะที่อยู่ในระยะออกดอก ความทรงจำของเธอเริ่มหายไปทีล่ะนิดๆ แต่พอเธอได้ฟังเพลงบำบัดนี้ เธอก็บอกว่าเพลงนี้ทำให้เธอจำเรื่องราวที่น่ากลัว เธอจำเรื่องราวของที่บ้าน หน้ากาก และก็พ่อของเธอที่ใส่หน้ากาก รุกะอยากพบพ่อของเธอมากแต่ซายากะกีดกั้นไม่ให้รุกะเข้าไปใกล้พ่อของเธอ เพราะโซยะอาจจะทำให้โรคของรุกะรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
แรกเริ่มที่รุกะเข้ามาในหอพัก เธอมีความสุขมากและเธอก็ได้เพื่อนใหม่อย่างมิซากิและมาโดกะ ทั้ง 3 คนชอบวิ่งซุกซนไปทั่วหอพักเป็นประจำ ทั้ง 3 มักจะเล่นเกมหารหัสผ่าน ซึ่งรหัสผ่านนั้นมันก็คือรหัสผ่านของประตูที่นำไปสู่หวอดคนไข้ของชั้น 2 โดยวิธีการเล่นก็คือ แรกเริ่ม จะมีคนใดคนหนึ่งเขียนรหัสของประตูไว้ที่ไหนสักแห่ง หลังจากนั้นก็คนที่เขียนรหัสก็จะให้คำใบ้ที่ระบุถึงตำแหน่งของรหัสมาให้ แล้วคนที่เหลือก็ต้องไปหาตำแหน่งที่รหัสผ่านนั่นเขียนอยู่ ซึ่งการเล่นเกมนี้ทำให้ประตูชั้นสองถูกปลดล็อคจนบ่อยครั้ง จึงทำให้หมอและนางพยาบาลที่นั่นไม่พอใจและดุทั้งสามคน เพราะการเปิดประตูอาจจะทำให้คนไข้ที่มีอาการเดินละเมอ เดินออกจากโรงพยาบาลได้
วันหนึ่งมิซากิได้ซุกซนแอบขึ้นไปที่ชั้น 4 และเธอก็รู้รหัสของประตูเหล็กที่ป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้าไปหาซาคุยะอีกด้วย มิซากิได้เปิดประตูเข้าไปพบกับซาคุยะที่นั่งอยู่บนเตียง เธอเข้าไปทำความรู้จักและเริ่มสนิทสนมกับซาคุยะมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความที่ทั้งสองมีซิกเซนส์เหมือนกัน ทำให้มิซากิรู้สึกได้ว่าเสียงในตัวเธอกับเสียงในตัวของซาคุยะนั้นเข้ากันได้ดี สำหรับซาคุยะแล้ว มิซากิคงเป็นเพื่อนคนเดียวที่ไม่มีทางลืมตัวตนของเธอไปได้แน่ๆ
มิซากิเริ่มไปหาซาคุยะทุกๆวันถึงแม้ว่าชิเอะจะพยายามดุพยายามห้ามเธอมากแค่ไหนก็ตาม มิซากิก็เข้าไปหาซาคุยะได้เสมอ เพราะเหตุนี้จึงทำให้โชจิได้สังเกตพฤติกรรมของทั้ง 2 คน และกลายมาเป็นแพทย์ประจำของมิซากิด้วย มิซากิมักจะถูกทดลองทางการแพทย์อยู่เป็นบางครั้งเพื่อหาทางรักษาโรคจันทราสะกด เนื่องจากเธอเข้ากับซาคุยะที่มีอาการหนักได้ดี
สำหรับคนที่มีซิกส์เซนส์แล้วติดโรคจันทราสะกดนั้น จะมีโอกาสหลงลืมตัวตนของตัวเองสูงมาก และบางครั้งบุคลิคของพวกเขาก็จะเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนอีกคน สำหรับมิซากิกับซาคุยะนั้น การพบปะกันของคนสองคนที่มีซิกส์เซนส์เหมือนกันเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะถ้าจิตใจของทั้งสองคนเสถียรมันจะช่วยเยียวยาอาการของทั้งสองได้ดี แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ใครคนใดคนหนึ่งเสียสมดุลไป มันจะทำให้อาการของทั้งสองทรุดหนักมากกว่าเดิม จึงทำให้เหล่าหมอและพยาบาลจับตาดูสองคนนี้ ไว้เมื่อใดที่จิตใจของซาคุยะไม่เสถียรเหล่าหมอและพยาบาลก็เตรียมพร้อมที่จะห้ามไม่ให้มิซากิขึ้นมาอีกทันที
ซาคุยะ(ซ้าย)และมิซากิ(ขวา)
หลายวันผ่านไป ซาคุยะเริ่มรู้สึกถึงอาการที่แย่ลงของตัวเอง ตุ๊กตาที่เธอคอยใส่จิตใจลงไปทุกๆวันนั้น เริ่มไม่สามารถตอบความทรงจำของเธอได้อีก ซาคุยะเริ่มวิตกกังวล จากที่มิโกะสึกิโมริกล่าวไว้ว่าเสียงเพลงจันทรานั้นสร้างมาจากวิญญาณและวิญญาณของผู้คนก็คือเสียง ซาคุยะที่มีพลังวิญญาณสูงตั้งแต่เด็กเองก็ได้ยินเสียงเหล่านั้นเช่นกัน เธอเริ่มได้ยินเสียงของเหล่าวิญญาณของผู้คนที่ล่วงลับและยังวนเวียนอยู่บนเกาะนี้มากขึ้น ซึ่งการที่เธอได้ยินแต่เสียงของวิญญาณคนตายนั้น มันเริ่มทำให้เสียงของตัวเธอเองเริ่มหายไปทีละน้อย เธอเริ่มรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น เธอรู้ตัวดีว่าอีกไม่นานเธอคงสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองแน่ๆ แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงเป็นห่วงมิซากิ เธอไม่อยากให้มิซากิมีความเจ็บปวดเหมือนกับตน ซาคุยะจึงคิดจะสร้างตุ๊กตาตัวหนึ่งขึ้นมาให้มิซากิ พร้อมกับใส่เศษเสี้ยวของตนเองเข้าไปในตุ๊กตา เผื่อไว้ว่าเมื่อไหร่ที่ซาคุยะสูญเสียตัวตนของตัวเองไป ก็ยังมีมิซากิ ที่ยังจำเธอได้อยู่ นอกจากซาคุยะจะได้ยินเสียงของคนตายแล้วเธอยังเริ่มรู้สึกถึงพิธีกรรมต้องห้ามในอดีต "พิธีกรรม Kiraigou" อีกด้วย
เมื่อมิซากิขึ้นมาหา ซาคุยะได้บอกมิซากิว่าพวกเธอทั้งคู่เหมือนกัน ต่างก็เป็นสื่อกลางของวิญญาณ(มีซิกเซนส์)และซาคุยะก็ได้มอบตุ๊กตาที่เธอทำขึ้นให้มิซากิ ในตอนแรกมิซากิก็ถามว่าตุ๊กตาตัวนี้ชื่ออะไร ซาคุยะก็เลยตอบกลับไปว่าตุ๊กตาตัวนี้ชื่อว่าซาคุยะเหมือนชื่อของตัวเธอเอง แต่ตอนนั้นซาคุยะก็คิดอะไรบางอย่างออก เธอจึงตั้งชื่อให้ตุ๊กตาตัวนี้ใหม่ ชื่อว่ามิยะ โดยคำว่า มิ มาจากคำหน้าของชื่อมิซากิ ส่วนยะก็มาจากคำข้างหลังของชื่อซาคุยะ ซึ่งมิยะเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของซาคุยะ ซาคุยะที่รู้ถึงอาการของตัวเองดี ก็บอกมิซากิว่าอีกไม่นาน มิซากิจะไม่ได้พบกับเธออีกแล้ว ซึ่งก็ทำให้มิซากิรู้สึกสงสัยกับคำพูดนั้น
ทางด้านโย ไฮบาระที่กำลังตามหาเด็กผู้หญิงที่จะมาเป็นคานาเดะ ในอดีตแล้วการเลือกคานาเดะนั้นเคร่งครัดมาก ซึ่งนั่นก็ต้องทำให้เขาเลือกเด็กที่จะมาเป็นคานาเดะอย่างระมัดระวัง เขาได้บอกหมอโชจิให้เอารายชื่อเด็กทั้งหมดที่อยู่ในโรงพยาบาลมาให้เขา โดยคัดเด็กที่อ่อนแอและเด็กผู้ชายออกไป เขาใช้เวลาหลายวันในการคัดสรรเด็กๆ เหล่านั้น จนวันหนึ่งเขาก็รวบรวมรายชื่อเด็กได้จำนวนหนึ่ง และนำเอกสารที่มีรายชื่อของเด็กผู้หญิงเหล่านั้นให้อายาโกะดู อายาโกะบอกว่าในรายชื่อเด็กผู้หญิงที่เธอรู้จักนั้นเธอชอบมาโดกะมากที่สุด เพราะมาโดกะคือของเล่นของเธอ ส่วนเด็กผู้หญิงที่ชื่อรุกะ อายาโกะไม่มีความสนใจในตัวของรุกะเลย ส่วนทางโยคิดว่าเด็กคนนี้เกือบจะเข้าสู่ระยะแตกหักแล้ว แต่สภาพของเธอก็ไม่ได้แย่ลงเพราะว่ารุกะมีความรู้สึกต่อเสียงเพลงสูงมาก โยจึงคิดว่ามันอาจจะยังไม่สายเกินไป แต่สำหรับมิซากิแล้ว อายาโกะบอกว่าเธอเกลียดมิซากิมากที่สุด เพราะว่ามิซากิรู้มากและชอบมายุ่งตอนที่เธอกำลังเล่นกับ ”ของเล่นของเธอ(มาโดกะ)” พอพูดถึงมิซากิแล้วอายาโกะก็บอกว่าเธอไม่ชอบผู้หญิงที่ใส่ชุดสีดำที่อยู่กับมิซากิด้วย(มิยะ) แต่ถึงอย่างนั้นโยก็นึกได้ว่ามิซากินั้นมีซิกส์เซนส์เหมือนซาคุยะพี่สาวของเธอ จากรายชื่อที่อายาโกะพูดมาทำให้โยรู้สึกว่ามิซากินั้นนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมาก
บางวันโยก็ได้เดินขึ้นเยี่ยมพี่สาวของตน เขารู้สึกว่าที่นี่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด แม้ว่าเขาจะออกจากเกาะไปนาน รวมถึงซาคุยะก็เช่นกัน แต่ตอนนี้ ซาคุยะในมุมมองของโยนั้นดูทั้งสงบและบริสุทธิ์กว่าเมื่อก่อน
แต่หลังจากวันที่ซาคุยะมอบตุ๊กตาให้มิซากิ โยที่ขึ้นมาหาซาคุยะก็พบว่าอาการของซาคุยะแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ซาคุยะเริ่มจำอายาโกะไม่ได้แล้ว และบางวันเธอก็ลืมโยเช่นกัน โยที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าถ้าพิธีกรรมสำเร็จเมื่อไหร่ เขาจะได้พาซาคุยะและอายาโกะออกจากเกาะ ไปอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
ระหว่างที่โยพักอยู่ในห้องลับของตน เขาก็มักจะได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้มาจากอีกฝั่งของกำแพง ซึ่งเขาก็รู้ได้เลยว่าอายาโกะแกล้งมาโดกะอีกแล้ว ถึงแม้ว่าชิเงโตะจะบอกว่าการกระทำของอายาโกะมันเกินไป แต่ถึงกระนั้นโยก็ปล่อยให้อายาโกะทำตามใจชอบ เพราะสำหรับเขาแล้วการใช้ชีวิตอยู่บนเกาะที่น่าเบื่อๆแบบนี้ การหาอะไรสนุกๆทำ ก็คงเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่น้อย
ทางด้านมาโดกะ เวลาว่างมาโดกะจะชอบวาดรูปและระบายสีเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบๆตัวเธอและแปะมันไว้บนกำแพงของห้องพัก ทุกๆวันเธอมักจะถูกอายาโกะแกล้งเสมอและจะถูกมิซากิช่วยเป็นประจำ ซึ่งการที่มิซากิไปหาซาคุยะทุกวัน ทำให้มาโดกะรู้สึกอิจฉาและโดดเดี่ยว วันหนึ่งแม่ของมาโดกะที่ไม่ได้มาเยี่ยมมาโดกะสักพักใหญ่ กลัวว่ามาโดกะจะเหงาเมื่ออยู่คนเดียวที่หอพัก เธอจึงส่งนกขมิ้นมาให้มาโดกะเพื่อไม่ให้มาโดกะเหงา หลังจากที่ได้นกขมิ้นมาแม่ของเธอก็ส่งจดหมายมาถึงมาโดกะอีกฉบับ แม่ของมาโดกะเขียนถามมาโดกะว่า มาโดกะตั้งชื่อให้นกได้หรือยังและเธอก็ยังปลอบมาโดกะว่าถึงแม้ว่ามาโดกะจะมีอาการหลงลืมเพราะโรคจันทราสะกดแต่ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะมาโดกะเป็นคนของตระกูลสึกิโมริ* ดวงจันทร์จะต้องคุ่มครองเธอแน่
*(ตัวคันจิ คำว่าสึกิโมริของมาโดกะกับของมิโกะสึกิโมรินั้นใช้คนละตัวกัน แต่การที่แม่ของมาโดกะเขียนจดหมายถึงมาโดกะแบบนี้ แสดงว่าแม่ของมาโดกะอาจจะเป็นคนของตระกูลมิโกะสึกิโมริก็ได้)
แต่ทว่าไม่กี่วันหลังจากนั้นนกขมิ้นที่แม่ของมาโดกะให้มาก็ถูกอายาโกะใช้กรรไกรตัดคอพร้อมกับหัวเราะอย่างโหดเหี้ยม มาโดกะที่เห็นนกขมิ้นของตัวเองตายต่อหน้าต่อตาก็ร้องไห้ไม่หยุด จนนางพยาบาลฟุยุโกะเข้ามาต่อว่าอายาโกะ ทำให้อายาโกะรู้สึกหงุดหงิดและเกลียดฟุยุโกะ วันหนึ่งฟุยุโกะได้เดินเข้าไปใกล้ๆห้องของอายาโกะแต่เธอกลับถูกอายาโกะทำร้ายด้วยกรรไกรแล้วกระชากผมของเธอลากเข้าไปในห้องของอายาโกะ ทำให้ใบหูของฟุยุโกะเป็นแผลฉีกขาด ตั้งแต่นั้นจึงทำให้ฟุยุโกะเริ่มมีอาการกลัวอายาโกะ
วันหนึ่งยูโก มากากิ ผู้ป่วยที่อยู่ในห้อง 309 ได้มองเห็นภาพนิมิตแปลกๆ เขามองเห็นเด็กผู้หญิง 5 คน และมองเห็นผู้คนบนเกาะผลิบาน เขามองเห็นวันที่ปราศจากความทุกข์ หลังจากที่ยูโกเห็นภาพนิมิตนั่นเขาก็เริ่มบ่นพึมพำๆ กับตัวเองและจะตะโกนคำแปลกๆออกมาอยู่สองสามคำก่อนที่จะเงียบอีกครั้ง พร้อมทั้งหยิบพู่กันมาวาดภาพ พฤติกรรมแปลกๆของเขาเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้โทโนะ สึบากิเริ่มสังเกตในพฤติกรรมแปลกๆของเขา
ทางด้านซาคุยะ หลังจากที่ไม่ได้ยินเสียงวิญญาณของตัวเองมานาน ในที่สุดซาคุยะก็ได้ยินเสียงวิญญาณของตัวเธอเองอีกเป็นครั้งสุดท้าย เธอได้แต่รำลึกถึงวันที่เธอยังคงได้ยินเสียงวิญญาณอันสงบสุขของเธอ แต่ในตอนนี้ เสียงนั้นจะไม่มีอีกแล้ว เธอเริ่มรู้สึกได้ว่าวันแห่งการจบสิ้น เริ่มเข้ามาใกล้ทุกทีๆ แต่ถึงกระนั้นก็ดีใจที่เสียงนี้กลับมาหาเธอเป็นครั้งสุดท้าย เธอได้บอกลาอายาโกะ โย และชิเงโตะอยู่ในใจ ก่อนที่เธอจะลืมพวกเขาไป
ไม่กี่วันถัดมา มิซากิก็ได้ขึ้นไปหาซาคุยะเหมือนทุกครั้ง แต่ว่าในวันนั้นเธอกลับเห็นเหล่าหมอกำลังพยายามหยุดซาคุยะที่กำลังคลุ้มคลั่ง มิซากิที่ทำได้แค่ยืนดู ก็ทำได้แต่กอดมิยะและมองดูเท่านั้น ในที่สุดอาการคลั่งของซาคุยะก็หยุดลง เธอถูกหมอนำตัวออกไปข้างนอกห้อง ซาคุยะที่กำลังถูกนำตัวออกไปก็ได้หันมาหามิซากิ แล้วพูดคำว่าลาก่อน มิซากิที่ยืนกอดมิยะอยู่ข้างหลังก็ได้ร้องไห้ออกมา หลังจากนั้นมิซากิก็ถูกห้ามไม่ให้ขึ้นไปหาซาคุยะอีกเพื่อป้องกันไม่ให้อาการของมิซากิหนักขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นมิซากิก็ไม่ได้เสียใจอะไรมาก เพราะมิซากิมีมิยะซึ่งเหมือนเป็นตัวแทนของซาคุยะ มิยะนั้นมีผลต่อมิซากิสามารถทำให้มิซากิสงบสติได้และช่วยให้มิซากิจำได้ว่าเธอเป็นใคร มิซากิอยู่กับมิยะทุกวันนอนกับมิยะทุกคืน จนขนาดที่ว่ามิซากิคิดว่ามิยะมีตัวตนอยู่จริงๆ แม้กระทั่งเหล่าหมอก็ระบุข้อมูลว่าห้ามให้มิยะและมิซากิอยู่แยกกันเป็นอันขาด
ทางมาโดกะที่เห็นว่ามิซากิไม่สามารถขึ้นไปหาซาคุยะได้แล้วจึงไปเล่นด้วยกันเป็นปกติ แต่ว่ามิซากิก็กลับพูดถึงแต่เรื่องของมิยะ จึงทำให้มาโดกะรู้สึกว่าตัวเธอเหมือนเป็นตัวทดแทน ซึ่งนั่นทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดและน้อยใจเป็นอย่างมาก
วันเทศกาลรำบวงสรวงกำลังใกล้เข้ามา ผู้คนบนเกาะก็ได้เลือกโทโนะ สึบากิ นางพยาบาลจากหอพักโรเงทสึมาเป็นอุสึวะในพิธี เพื่อตอบแทนที่เธอทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือผู้คน สึบากิรู้สึกดีใจและตื่นเต้นมาก เธอตั้งใจที่จะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด ตั้งแต่วันนั้นสึบากิจึงเริ่มฝึกฝนกับหน้ากากเพื่อชำระล้างร่างกายของตน
ทาคาชิ ไอบะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยคุซานางิ ได้เข้ามาที่เกาะโรเงทสึเพื่อทำงานวิจัยทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งเขาได้พาน้องสาวของตนไอบะ อิโอริ มาด้วย ระหว่างการค้นคว้า ทาคาชิได้มีความสนใจในการวิจัยของ ดร.อาโซ คุนิฮิโกะ ที่มีอยู่บนเกาะเป็นอย่างมาก เขาศึกษาประเพณีวัฒนธรรมของเกาะรวมทั้งงานวิจัยที่ ดร.อาโซ ทำในระหว่างที่มาอาศัยอยู่บนเกาะนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากของเกาะ หรือกล้อง Obscura ก็ตาม
ทางด้านของชิเงโตะ เขาเอาแต่นั่งคิดเรื่องของพิธี Kiraigou ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเช่นกัน เขาคิดว่าการที่อุสึวะผลิบานนั้นเป็นเพราะหน้ากากจันทรคราส แต่ถ้าเป็นหน้ากากจันทรคราสที่แท้จริงที่โซวยะสร้างขึ้นมาล่ะก็อาจจะทำให้พิธีสำเร็จก็ได้ และเมื่อไหร่ที่พิธีสำเร็จ นั่นหมายความว่าการต่อสู้อันยาวนานของเขาก็ต้องจบลง ชีวิตของเขากับครอบครัวก็จะกลับมามีความสุขอีกครั้ง
ด้วยความมุ่งมั่นในการทำหน้ากากของโซยะ และการค้นคว้าการควบคุมจิตใจของหน้ากากของชิเงโตะ ในที่สุดหน้ากากของคานาเดะและหน้ากากจันทรคราสก็เสร็จเรียบร้อย โซวยะได้ส่งจดหมายไปหาชิเงโตะ ซึ่งข้อความในจดหมายได้กล่าวถึงเกี่ยวกับความรู้สึกของโซวยะตอนที่เขาทำงานร่วมกันกับชิเงโตะ โซวยะบอกว่าหน้ากากจันทรคราสใบนี้เป็นใบที่เขาทุ่มเททั้งใจและจิตวิญญาณเข้าไปเป็นเวลานานมากจนสร้างมันขึ้นมาสำเร็จ เขารู้สึกเป็นเกียรติที่ชิเงโตะให้ความช่วยเหลือเขาเกี่ยวกับข้อมูลของหน้ากาก และเขาก็มั่นใจว่าหน้ากากของเขาจะทำให้พิธีสำเร็จ เขาจะปกป้องหน้ากากเอาไว้ก่อนจนกว่าจะถึงวันทำพิธี แล้วโซวยะก็บอกอีกว่าเขาจะไม่โผล่หน้าไปที่ลานพิธีแต่เขาจะช่วยภาวนาให้พิธีสำเร็จอยู่ในห้องทำงานของเขา
เมื่อวันที่พิธี Kiraigou จะถูกจัดขึ้น เริ่มเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ยิ่งมันเข้าใกล้มากเท่าไหร่ โชจิก็กังวลมากเท่านั้น ในตอนนี้เขารับทราบและรู้เรื่องพิธีกรรม Kiraigou หมดแล้ว เขากังวลว่าทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในพิธีกรรม Kiraigou เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า อุสึวะที่เป็นนางรำจะกลายเป็นเรือที่ส่งวิญญาณไปสู่โลกหน้าจริงๆเหรอ เพราะสำหรับหมอที่มาจากแผ่นดินหลักอย่างเขาแล้ว สิ่งนี้มันดูจะเกินหลักของเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากเกินไป แต่พอหลังจากเขาได้เห็นหน้ากากจันทรคราส มันก็ทำให้เขารู้สึกถึงบางอย่าง เขารู้สึกเหมือนถูกสะกด เขามีความรู้สึกเหมือนอยากจะใส่หน้ากากใบนั้นเสียเอง
จากการคัดเลือกคานาเดะกันมานาน ในที่สุดโยและชิเงโตะก็เลือกเด็กที่จะมาเป็นคานาเดะได้ ซึ่งเด็กเหล่านั้นก็มีผู้ป่วยใน 3 คน คือ รุกะ มินะซุกิ , มิซากิ อาโซ และมาโดกะ สึกิโมริ และผู้ป่วยนอกอีก 2 คนคือ มาริเอะ ชิโนะมิยะ กับ โทโมเอะ นานะมุระ ชิเงโตะได้ออกหนังสือแจ้งเตือนให้คนที่เกี่ยวข้องทราบว่าเด็กทั้ง 5 คนนี้จะได้รับเข้าการรักษาพิเศษที่ห้องทำงานของตัวเขาเอง โดยการรักษานี้จะห้ามไม่ให้คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าเด็ดขาด
ในวันที่ 16 กันยายน ปี 1970 ซึ่งเป็นวันก่อนที่จะถึงวันงานเทศกาล คิริชิม่า โจชิโร่ อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจสายสืบ ได้มาถึงเกาะโรเงทสึ เพื่อมาตามหาไฮบาระ โยที่กำลังหนีคดี ด้วยความคิดที่คิดว่าโยอาจจะหนีมาที่เกาะโรเงทสึที่เป็นบ้านเกิดก็เป็นได้ โจชิโร่ได้เริ่มทำการสำรวจเกาะโรเงทสึเพื่อตามหาโยตั้งแต่ที่เขามาถึง โดยที่ตนเข้าทำงานร่วมกับสถานีตำรวจ อ่าวอามาโคเระ ที่อยู่บนเกาะ
ทางด้านซาคุยะ หลังจากที่ไม่ได้ยินเสียงวิญญาณของตัวเองมานาน ในที่สุดซาคุยะก็ได้ยินเสียงวิญญาณของตัวเธอเองอีกเป็นครั้งสุดท้าย เธอได้แต่รำลึกถึงวันที่เธอยังคงได้ยินเสียงวิญญาณอันสงบสุขของเธอ แต่ในตอนนี้ เสียงนั้นจะไม่มีอีกแล้ว เธอเริ่มรู้สึกได้ว่าวันแห่งการจบสิ้น เริ่มเข้ามาใกล้ทุกทีๆ แต่ถึงกระนั้นก็ดีใจที่เสียงนี้กลับมาหาเธอเป็นครั้งสุดท้าย เธอได้บอกลาอายาโกะ โย และชิเงโตะอยู่ในใจ ก่อนที่เธอจะลืมพวกเขาไป
ไม่กี่วันถัดมา มิซากิก็ได้ขึ้นไปหาซาคุยะเหมือนทุกครั้ง แต่ว่าในวันนั้นเธอกลับเห็นเหล่าหมอกำลังพยายามหยุดซาคุยะที่กำลังคลุ้มคลั่ง มิซากิที่ทำได้แค่ยืนดู ก็ทำได้แต่กอดมิยะและมองดูเท่านั้น ในที่สุดอาการคลั่งของซาคุยะก็หยุดลง เธอถูกหมอนำตัวออกไปข้างนอกห้อง ซาคุยะที่กำลังถูกนำตัวออกไปก็ได้หันมาหามิซากิ แล้วพูดคำว่าลาก่อน มิซากิที่ยืนกอดมิยะอยู่ข้างหลังก็ได้ร้องไห้ออกมา หลังจากนั้นมิซากิก็ถูกห้ามไม่ให้ขึ้นไปหาซาคุยะอีกเพื่อป้องกันไม่ให้อาการของมิซากิหนักขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นมิซากิก็ไม่ได้เสียใจอะไรมาก เพราะมิซากิมีมิยะซึ่งเหมือนเป็นตัวแทนของซาคุยะ มิยะนั้นมีผลต่อมิซากิสามารถทำให้มิซากิสงบสติได้และช่วยให้มิซากิจำได้ว่าเธอเป็นใคร มิซากิอยู่กับมิยะทุกวันนอนกับมิยะทุกคืน จนขนาดที่ว่ามิซากิคิดว่ามิยะมีตัวตนอยู่จริงๆ แม้กระทั่งเหล่าหมอก็ระบุข้อมูลว่าห้ามให้มิยะและมิซากิอยู่แยกกันเป็นอันขาด
ทางมาโดกะที่เห็นว่ามิซากิไม่สามารถขึ้นไปหาซาคุยะได้แล้วจึงไปเล่นด้วยกันเป็นปกติ แต่ว่ามิซากิก็กลับพูดถึงแต่เรื่องของมิยะ จึงทำให้มาโดกะรู้สึกว่าตัวเธอเหมือนเป็นตัวทดแทน ซึ่งนั่นทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดและน้อยใจเป็นอย่างมาก
วันเทศกาลรำบวงสรวงกำลังใกล้เข้ามา ผู้คนบนเกาะก็ได้เลือกโทโนะ สึบากิ นางพยาบาลจากหอพักโรเงทสึมาเป็นอุสึวะในพิธี เพื่อตอบแทนที่เธอทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยเหลือผู้คน สึบากิรู้สึกดีใจและตื่นเต้นมาก เธอตั้งใจที่จะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด ตั้งแต่วันนั้นสึบากิจึงเริ่มฝึกฝนกับหน้ากากเพื่อชำระล้างร่างกายของตน
ทาคาชิ ไอบะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิชาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยคุซานางิ ได้เข้ามาที่เกาะโรเงทสึเพื่อทำงานวิจัยทางประวัติศาสตร์ อีกทั้งเขาได้พาน้องสาวของตนไอบะ อิโอริ มาด้วย ระหว่างการค้นคว้า ทาคาชิได้มีความสนใจในการวิจัยของ ดร.อาโซ คุนิฮิโกะ ที่มีอยู่บนเกาะเป็นอย่างมาก เขาศึกษาประเพณีวัฒนธรรมของเกาะรวมทั้งงานวิจัยที่ ดร.อาโซ ทำในระหว่างที่มาอาศัยอยู่บนเกาะนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้ากากของเกาะ หรือกล้อง Obscura ก็ตาม
ทางด้านของชิเงโตะ เขาเอาแต่นั่งคิดเรื่องของพิธี Kiraigou ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเช่นกัน เขาคิดว่าการที่อุสึวะผลิบานนั้นเป็นเพราะหน้ากากจันทรคราส แต่ถ้าเป็นหน้ากากจันทรคราสที่แท้จริงที่โซวยะสร้างขึ้นมาล่ะก็อาจจะทำให้พิธีสำเร็จก็ได้ และเมื่อไหร่ที่พิธีสำเร็จ นั่นหมายความว่าการต่อสู้อันยาวนานของเขาก็ต้องจบลง ชีวิตของเขากับครอบครัวก็จะกลับมามีความสุขอีกครั้ง
ด้วยความมุ่งมั่นในการทำหน้ากากของโซยะ และการค้นคว้าการควบคุมจิตใจของหน้ากากของชิเงโตะ ในที่สุดหน้ากากของคานาเดะและหน้ากากจันทรคราสก็เสร็จเรียบร้อย โซวยะได้ส่งจดหมายไปหาชิเงโตะ ซึ่งข้อความในจดหมายได้กล่าวถึงเกี่ยวกับความรู้สึกของโซวยะตอนที่เขาทำงานร่วมกันกับชิเงโตะ โซวยะบอกว่าหน้ากากจันทรคราสใบนี้เป็นใบที่เขาทุ่มเททั้งใจและจิตวิญญาณเข้าไปเป็นเวลานานมากจนสร้างมันขึ้นมาสำเร็จ เขารู้สึกเป็นเกียรติที่ชิเงโตะให้ความช่วยเหลือเขาเกี่ยวกับข้อมูลของหน้ากาก และเขาก็มั่นใจว่าหน้ากากของเขาจะทำให้พิธีสำเร็จ เขาจะปกป้องหน้ากากเอาไว้ก่อนจนกว่าจะถึงวันทำพิธี แล้วโซวยะก็บอกอีกว่าเขาจะไม่โผล่หน้าไปที่ลานพิธีแต่เขาจะช่วยภาวนาให้พิธีสำเร็จอยู่ในห้องทำงานของเขา
เมื่อวันที่พิธี Kiraigou จะถูกจัดขึ้น เริ่มเข้าใกล้มาเรื่อยๆ ยิ่งมันเข้าใกล้มากเท่าไหร่ โชจิก็กังวลมากเท่านั้น ในตอนนี้เขารับทราบและรู้เรื่องพิธีกรรม Kiraigou หมดแล้ว เขากังวลว่าทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในพิธีกรรม Kiraigou เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า อุสึวะที่เป็นนางรำจะกลายเป็นเรือที่ส่งวิญญาณไปสู่โลกหน้าจริงๆเหรอ เพราะสำหรับหมอที่มาจากแผ่นดินหลักอย่างเขาแล้ว สิ่งนี้มันดูจะเกินหลักของเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากเกินไป แต่พอหลังจากเขาได้เห็นหน้ากากจันทรคราส มันก็ทำให้เขารู้สึกถึงบางอย่าง เขารู้สึกเหมือนถูกสะกด เขามีความรู้สึกเหมือนอยากจะใส่หน้ากากใบนั้นเสียเอง
จากการคัดเลือกคานาเดะกันมานาน ในที่สุดโยและชิเงโตะก็เลือกเด็กที่จะมาเป็นคานาเดะได้ ซึ่งเด็กเหล่านั้นก็มีผู้ป่วยใน 3 คน คือ รุกะ มินะซุกิ , มิซากิ อาโซ และมาโดกะ สึกิโมริ และผู้ป่วยนอกอีก 2 คนคือ มาริเอะ ชิโนะมิยะ กับ โทโมเอะ นานะมุระ ชิเงโตะได้ออกหนังสือแจ้งเตือนให้คนที่เกี่ยวข้องทราบว่าเด็กทั้ง 5 คนนี้จะได้รับเข้าการรักษาพิเศษที่ห้องทำงานของตัวเขาเอง โดยการรักษานี้จะห้ามไม่ให้คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าเด็ดขาด
ในวันที่ 16 กันยายน ปี 1970 ซึ่งเป็นวันก่อนที่จะถึงวันงานเทศกาล คิริชิม่า โจชิโร่ อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจสายสืบ ได้มาถึงเกาะโรเงทสึ เพื่อมาตามหาไฮบาระ โยที่กำลังหนีคดี ด้วยความคิดที่คิดว่าโยอาจจะหนีมาที่เกาะโรเงทสึที่เป็นบ้านเกิดก็เป็นได้ โจชิโร่ได้เริ่มทำการสำรวจเกาะโรเงทสึเพื่อตามหาโยตั้งแต่ที่เขามาถึง โดยที่ตนเข้าทำงานร่วมกับสถานีตำรวจ อ่าวอามาโคเระ ที่อยู่บนเกาะ
โจชิโร่ คิริชิม่า
โยรู้ว่าโจชิโร่มาตามหาตนที่เกาะ เขาจึงพยายามหลบซ่อนตัวไม่ให้โจชิโร่พบ โยเห็นโจชิโร่เป็นคู่ปรับของตัวเองและคิดว่ามีแค่โจวชิโร่เท่านั้นที่จะหยุดเขาได้ โยจึงเรียกการค้นหาของโจชิโร่ว่า “ซ่อนหา” เพราะโจชิโร่เปรียบเสมือนคนหา และตัวเองเปรียบเสมือนคนซ่อน
ไอบะ ทาคาชิได้ทราบข่าวว่า โจชิโร่ คิริชิม่า เพื่อนของตนสมัยที่อยู่มหาวิทยาลัยคุซานางิ ได้เข้ามาทำงานที่เกาะเหมือนกัน เขาจึงคิดที่จะเขียนจดหมายไปทักทายโจชิโร่ และชวนโจชิโร่ไปดื่มด้วยกันพร้อมกับเขาและอิโอริน้องสาวของตน ซึ่งน้องสาวของตนก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยพิธีรำบวงสรวงโรเงทสึที่เป็นเทศกาลของเกาะเป็นอย่างมาก
นอกจากนั้นทาคาชิก็ยังคิดที่จะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่เขาค้นคว้าจนเจอลงไปในจดหมาย อย่างเช่นงานวิจัยของ ดร. อาโซที่มีต่อหน้ากาก จนไปถึงข้อมูลเรื่องพิธีกรรม Kiraigou อันเก่าแก่ ข้อมูลหน้ากากจันทรคราสและข้อมูลของโศกนาฏกรรม อีกทั้งเขาก็ยังสืบทราบได้ว่าโซยะคิดที่จะทำหน้ากากจันทรคราสใบใหม่ขึ้นมา รวมทั้งตัวเขาเองก็ได้แอบไปเห็นหน้ากากจันทรคราสสีดำเช่นกัน ซึ่งหน้ากากใบนั้นก็งดงามจนทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนดูดไปสู่ความว่างเปล่า
ทางด้านรุกะ เธอรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากเพราะว่าวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเทศกาลที่เธอจะได้ไปดูการแสดงรำบวงสรวงกับทุกๆคน แต่ว่าการไปชมพิธีรำบวงสรวงนั้นจะต้องสวมหน้ากาก เมื่อรุกะคิดแบบนั้นเธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมา เพราะว่าในตอนนี้นั้นเธอจำเรื่องราวของเธอได้หมดแล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นผลมาจากการฝึกเล่นเพลงสึกิโมริและฟังเพลงบำบัดที่โรงพยาบาลเปิดให้มานั่นเอง แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เธอยังจำไม่ได้นั่นคือโซยะพ่อของเธอ เมื่อไหร่ที่เธอพยายามคิดถึงโซยะ รุกะก็จะรู้สึกกลัวขึ้นมา แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่อยากลืมเรื่องพ่อของเธอเช่นกัน เธอจึงกลัวว่าการใส่หน้ากากอีกครั้ง จะทำให้เธอลืมเรื่องราวในอดีตไปอีกโดยเฉพาะเรื่องพ่อของเธอ
วันที่ 17 กันยายน ปี 1970 เป็นคืนที่ตรงกับจันทรคราสในรอบทศวรรษ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่นักท่องเที่ยวและผู้คนบนเกาะจะรู้สึกตื่นเต้นกัน เพราะว่าในวันนี้จะมีการจัดพิธีรำบวงสรวง กลุ่มคนรับใช้ของชิเงโตะก็มารวมตัวกันที่บ้านของตระกูลโยโมะสึกิเพื่อจัดงานเลี้ยงฉลองก่อนทำพิธี
ทางด้านชิเงโตะ เขาได้พาซาคุยะมาที่ห้องทำงานของเขาเพื่อเตรียมตัวที่จะทำพิธี Kiraigou โชจิที่เห็นซาคุยะก็ถึงกับตกใจเป็นอย่างมาก เพราะครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกก็ได้ที่โชจิได้เห็นใบหน้าของซาคุยะอย่างชัดเจน เพราะที่ผ่านมาเขาจะโดนผลกระทบของโรคระบาดระยะสะท้อนของซาคุยะ ทำให้จำใบหน้าของซาคุยะไม่ได้ แต่ครั้งนี้มันชัดเจนแล้ว ซาคุยะนั่งอย่างสงบนิ่งและสง่างาม ซาคุยะมองไปหาโชจิและยิ้มให้เขา ถึงแม้ว่าโชจิจะออกจากห้องเพื่อไปทำงานต่อ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกลับไปที่ห้องของชิเงโตะ เพื่อดูใบหน้าอันงดงามของซาคุยะก่อนที่ซาคุยะจะใส่หน้ากากจันทรคราสอยู่ดี
ในช่วงกลางคืน ก่อนที่พิธีจะเริ่มขึ้น ผู้คนบนเกาะและนักท่องเที่ยวได้มารวมตัวกันที่โรงจันทรคราส เพื่อมาดูพิธีรำบวงสรวง ซึ่งรุกะ, มิซากิ, มาโดกะ, มาริเอะ, โทวโมเอะและ โจชิโร่ ก็ได้มาดูพิธีกรรมนี้ด้วย แต่ในระหว่างนั้นเด็กสาวทั้ง 5 คนก็ถูกโยลักพาตัวไป โยพาเด็กสาวทีละคนๆ ลงไปที่โรงจันทราที่อยู่ชั้นใต้ดิน ซึ่งเป็นลานที่ผู้คนบนเกาะในอดีตใช้ทำพิธี Kiraigou และชิเงโตะกับโยจะจัดพิธี Kiraigou แบบลับๆ ขึ้นกันที่นี่ หลังจากที่โยพารุกะ เด็กสาวคนสุดท้ายมาเรียบร้อยแล้ว เขาก็ให้เด็กสาวทั้ง 5 คน แต่งกายเป็นคานาเดะและสวมหน้ากากของคานาเดะ ระหว่างที่เด็กทั้ง 5 ถูกหน้ากากและดนตรีควบคุม พวกเธอจะไม่รู้สึกตัวเลย ซาคุยะและเด็กสาวทั้ง 5 ได้ประจำตำแหน่งพร้อมที่จะทำพิธี
เด็กสาวทั้ง 5 คนที่ถูกลักพาตัว
3 คนข้างหน้าจากซ้ายไปขวา คือ มาโดกะ, มิซากิและรุกะ
ส่วน 2 คนข้างหลัง คนใดคนหนึ่งน่าจะเป็นโทโมเอะและอีกคนคือมาริเอะ
โจชิโร่ได้เข้ามาในโรงจันทรคราส เขาไม่พบโยที่นั่นและในระหว่างที่พิธีกรรมกำลังดำเนินอยู่ ประตูทางเข้าและออกของโรงจันทราจะถูกล็อค ทำให้เขาคิดว่าสัญชาติญาณของเขาอาจจะผิดพลาด แต่เขาก็ยังคงคิดว่าโยอาจจะซ่อนอยู่สักที่บนเกาะโรเงทสึ
ในที่สุดพิธีรำบวงสรวงทั้ง 2 ก็ได้เริ่มขึ้น พิธีกรรมได้ดำเนินมาด้วยดี จนกระทั่ง ช่วงที่วิญญาณจำนวนมากที่กำลังเริ่มเข้ามาในตัวซาคุยะได้เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ทำให้ซาคุยะกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานก่อนที่หน้ากากของโซวยะจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ วิญญาณที่แสดงถึงตัวตนของซาคุยะได้ถูกบดขยี้ กลายเป็นวิญญาณที่ว่างเปล่า ใบหน้าของซาคุยะได้ผลิบานชั่วขณะ ก่อนที่จะล้มลงไป ส่งผลให้ รุกะ, มิซากิ, มาโดกะ, มาริเอะและโทวโมเอะล้มลง ซาคุยะอยู่ในอาการโคม่า ส่วนเด็กสาวทั้ง 5 คนได้สูญเสียความทรงจำทั้งหมด
ซาคุยะผลิบานในพิธีกรรม
เนื่องจากความล้มเหลวของพิธี Kiraigou มันได้ส่งผลให้ทางพิธีรำบวงสรวงโรเงทสึล้มเหลวเช่นกัน สึบากิและเด็กสาวทั้ง 5 ที่เป็นคานาเดะก็ได้ล้มลง พวกเธอทั้ง 6 คน เสียชีวิตหมดทุกคน ทำให้ผู้คนที่อยู่ในโรงจันทราต้องตื่นตระหนกและร้องว่า”ผลิบาน"และ"Kiraigou” โจชิโร่ที่ได้ยินคำเหล่านั้นก็งงและสงสัยว่ามันคืออะไร ซึ่งมันก็ทำให้เขาเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
ความล้มเหลวของพิธีกรรม Kiraigou ส่งผลให้คนปกติหลายคนติดโรคจันทราสะกด และส่งผลต่อคนไข้ที่ติดโรคจันทราสะกดบางคนสับสนและฆ่าตัวตาย อย่างเช่น ฮินุมะ โทโมโกะ หนึ่งในคนไข้ที่ฆ่าตัวตาย เธอตายด้วยการจมน้ำในคืนเดียวกับวันที่ทำพิธี ศพของเธอถูกพบโดยนางพยาบาลคนหนึ่งในหอพักโรเงทสึ
หลังจากพิธีล้มเหลว ซาคุยะก็อยู่ในอาการโคม่า เธอกลายเป็นคนที่มีสภาพกึ่งเป็นกึ่งตาย ร่างของซาคุยะถูกนำตัวไปที่ศาลไว้ทุกข์ซึ่งอยู่ในชั้นใต้ดินของหอพักโรเงทสึ ส่วนเด็กสาวทั้ง 5 คนก็ถูกพาตัวไปที่สถานที่ที่เรียกว่าบ่อน้ำสะท้อนจันทราเพื่อทำการเยียวยาวิญญาณและความทรงจำ ซึ่งระหว่างที่โยพาตัวมิซากิมาที่สถานที่แห่งนี้ มิซากิก็เผลอทำ”มิยะ”ตกที่ลานพิธี
ถ้ำบ่อน้ำสะท้อนจันทรา ปัจจุบันอยู่ในชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลไฮบาระ สถานที่นี้มีแสงจันทร์ส่องผ่านบ่อน้ำที่อยู่ข้างหน้าโรงพยาบาลไฮบาระลงมาถึงชั้นใต้ดิน ทำให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยแสงจันทร์ ซึ่งเหมาะสำหรับคานาเดะทั้ง 5 ที่เพิ่งจะสูญเสียความทรงจำและความเป็นตัวของตัวเองไป โยและชิเงโตะคิดว่าถ้าให้เด็กสาวทั้ง 5 มาอาบแสงจันทร์ที่นี่จะสามารถช่วยฟื้นฟูสภาพของเด็กสาวเหล่านี้ได้ ซึงในระหว่างอาบแสงจันทร์เด็กทั้ง 5 จะมีสภาพที่รู้สึกอะไรเลย ทำได้แต่ยืนนิ่งๆอาบแสงจันทร์ บางครั้งชิเงโตะและโยก็จะนำเด็กสาวมาทำการตรวจสอบสภาพเพื่อเก็บเกี่ยวข้อมูลเอาไว้ไปใช้รักษาซาคุยะ ที่ตอนนี้สภาพจิตของเธอไม่เสถียรและอยู่ในอาการโคม่า
ทางด้านโทโนะ สึบากิที่เสียชีวิต ศพของเธอได้ถูกนำไปชันสูตร มีการตั้งข้อสงสัยว่าเธออาจจะเสียชีวิตเพราะหัวใจวาย โดยที่ผลชันสูตรของเธอ ชิเงโตะก็เป็นคนบันทึกด้วยตัวเอง เขาไม่ได้ระบุว่าสาเหตุที่เธอหัวใจวายนั้นเป็นเพราะอะไร เขาจึงตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเป็นเพราะพิธี Kiraigou หรือเป็นเพราะหน้ากากที่สึบากิใส่ เขาจึงส่งข้อความไปหาโซวยะเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ส่วนการตายของสึบากิก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป ศพของเธอและเด็กๆที่ตายก็ถูกนำเข้าพิธีตัดใบหน้า แล้วใบหน้าของศพเธอก็ถูกวางทับด้วยหน้ากากเพื่อป้องกันการผลิบาน
วันเดียวกันกับวันที่ทำพิธี โจชิโร่ได้ทำการสืบเรื่องที่นางรำเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา เขาลงมาที่ห้องเก็บศพซึ่งอยู่ในชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลไฮบาระและพบกับศพของสึบากิเข้า เขาเคยได้ยินมาว่าการเปิดหน้ากากของคนที่ตายนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แต่เพื่อการยืนยันตัวตนของนางรำ เขาจึงต้องทำมัน พอเขาเปิดหน้ากากออกก็พบว่า ใบหน้าของสึบากิกลายเป็นใบหน้าที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นโจชิโร่ก็ถ่ายภาพไว้ เพื่อจะเอาฟันของสึบากิไปยืนยันตัวตนของเธอด้วยวัสดุพิมพ์ฟันนั่นเอง
ซายากะที่เห็นว่าลูกสาวของตัวเองได้หายตัวไป เธอจึงไปหาโจชิโร่ และขอร้องให้โจชิโร่ช่วยตามหารุกะ
หลังจากที่ โทโนะ สึบากิ เสียชีวิตและผู้ป่วยเด็กสาวทั้ง 5 คนหายตัวไป บรรยากาศในหอพักและโรงพยาบาลก็เริ่มหดหู่ต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง ชิเอะ โชโนซากิ เดิมทีเธอต้องอยู่ประจำตำแหน่งที่ชั้น 4 แต่หลังจากวันทำพิธี ซาคุยะถูกพาตัวมาที่ศาลไว้ทุกข์ ทำให้ชิเอะต้องย้ายลงมาประจำตำแหน่งที่ห้องจ่ายกระแสไฟซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินของหอพักเหมือนกัน โดยที่ไม่มีใครสักคนบอกชิเอะว่าเกิดอะไรขึ้นกับซาคุยะเลย อีกทั้งชิเอะยังต้องทำหน้าที่แทนสึบากิที่เสียชีวิตไป จนกว่าจะมีพยาบาลคนใหม่เข้ามาแทน
ห้องจ่ายกระแสไฟ
ทางด้านโย เขาได้แอบนำม้วนฟิล์มที่เขาตัดมา มาซ่อนไว้ในห้องลับของตน สื่งที่เขาตัดออกไปก็คือช่วงที่มีเขาติดอยู่ในวิดีโอนั่นเอง ซึ่งในตอนแรกเขาคิดจะทำลายมันทิ้ง แต่ว่าอายาโกะกลับสนใจสิ่งที่อยู่ในฟิล์มนั้น และเขาก็คิดว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่อายาโกะเลิกสนใจมัน อายาโกะก็คงจะทำลายมันไปเอง
ทางด้าน ไอบะ ทาคาชิและไอบะ อิโอริ หลังจากพิธีรำบวงสรวงเสร็จสิ้น ทาคาชิและอิโอริน้องสาวของเขาก็ได้ติดโรคจันทราสะกด อิโอริได้เข้าพักรักษาที่หอพักโรเงทสึชั้น 2 ห้อง 204(เงาของจันทรา) ซึ่งแต่เดิม ห้องนั้นเป็นห้องของผู้ป่วยฮินุมะ โทโมโกะที่เสียชีวิตไป ส่วนทาคาชิเข้ารักษาที่โรงพยาบาลไฮบาระ ถึงแม้ว่าจะติดโรคจันทราสะกด แต่ทาคาชิก็ยังยืนยันที่จะค้นคว้าเกี่ยวกับหน้ากากต่อไปเรื่อยๆ และก็ยังเขียนจดหมายถึงโจชิโร่ คิริชิม่าอยู่เหมือนเคย ซึ่งต่อมาจดหมายทุกฉบับที่เขาเขียนก็ถูกพบโดยโรงพยาบาล และถูกเผาที่เตาเผาหลังโรงพยาบาลไฮบาระเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องภายในไหลสู่โลกภายนอก
ตั้งแต่ตอนที่ทาคาชิได้แอบไปเห็นรูปร่างของหน้ากากจันทรคราสเข้า ทาคาชิที่ติดโรคจันทราสะกดก็เริ่มมองเห็นหน้ากากใบนั้นอยู่เรื่อยๆ อีกทั้งเพราะเขาติดโรคจันทราสะกด ทำให้เวลาเขาส่องกระจก เขาจะมองเห็นใบหน้าที่ไม่ใช่หน้าของตัวเขาเอง ทำให้เขากลัวจนทนทุกข์ทรมานเป็นอย่างมากและไม่อยากเห็นมันอีก ในที่สุดทาคาชิก็ทำลายดวงตาของตัวเอง เหล่าหมอกับพยาบาลจึงทำการรักษาเขาทำให้ศีรษะของเขาถูกพันไปด้วยผ้าพันแผล แต่ถึงแม้ว่าดวงตาของเขาจะถูกทำลายไปแล้วแต่เขาเองก็ยังมองเห็นหน้ากากจันทรคราสอยู่ดี
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป หลังจากที่เด็กทั้ง 5 คนถูกลักพาตัว ชิเงโตะและโยได้นำมิซากิที่ยืนอาบแสงจันทร์อยู่ในถ้ำจันทราสะท้อนมาตรวจสอบสภาพที่ห้องแลบลับ พวกเขาเพิ่มตัวกระตุ้นภายนอกเข้าไปในสมองนิดหน่อย และก็พบว่าสภาพจิตใจของมิซากินั้นมีความเสถียรเป็นอย่างมากเนื่องจากยืนอาบแสงจันทร์ แต่ว่าความทรงจำของมิซากิช่วงก่อนทำพิธีกลับได้รับความเสียหาย ซึ่งเด็กคนอื่นๆอีก 4 คนก็เป็นเหมือนกัน แต่ในระหว่างการตรวจสอบสภาพ มิซากิก็จะเอามือขึ้นมาลูบแก้มอยู่เป็นบางครั้งบางคราว นั่นทำให้พวกเขาสันนิษฐานว่าบางทีนิสัยติดตัวและความทรงจำของเธออาจจะไม่ได้หายไปจนหมดก็เป็นได้
วันที่ 25 กันยายน ด้วยความช่วยเหลือของซายากะ ทำให้โจชิโร่เข้ามาในหอพักโรเงทสึได้สำเร็จ การสำรวจภายในหอพักทำให้เขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับโรคระบาด โจชิโร่ได้เข้าไปสอบถามอามากิ คาซุโตะ เด็กผู้ชายที่ติดโรคจันทราสะกด ที่พักอยู่ที่ห้อง 206 ชั้น 2 ของหอพักโรเงทสึ (จันทราที่กระวนกระวาย) โจชิโร่ได้ถาม คาซุโตะเกี่ยวกับเด็กที่ถูกลักพาตัวไป คาซุโตะตอบกลับมาว่าเขาเห็นเด็กผู้หญิงที่ห้องของผู้ป่วย มาคากิ โจชิโร่จึงรีบมุ่งหน้าไปที่ห้องของมาคากิ
โจชิโร่ได้เข้ามาในห้องของมากาคิ แต่เขากลับไม่พบใครที่นั่นนอกจากภาพวาดของมาคากิ เขาเลยคิดว่าสิ่งที่คาซุโตะบอกน่าจะเป็นรูปผู้หญิงในภาพที่มาคากิวาดมากกว่า
โจชิโร่ได้เข้ามาสำรวจห้องของซาคุยะเป็นสถานที่สุดท้าย เขารู้ว่าซาคุยะเป็นพี่ชายของโย แต่ในตอนนี้จะถามเธอไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะตอนนี้เธอติดโรคระบาดและกำลังอยู่ในอาการโคม่า สุดท้ายก็ไม่พบเด็กที่ถูกลักพาตัวไป เขาค้นทั่วทั้งอาคารก็หาเด็กเหล่านั้นไม่เจอ ในที่สุดการค้นหาครั้งนี้ก็ถูกพักไป
ไม่กี่วันต่อมา หมอโชจิได้เดินมาที่หน้าโรงพยาบาลไฮบาระ เขาได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงมาจากบ่อน้ำที่ตั้งอยู่หน้าโรงพยาบาล ซึ่งตอนแรกเขาคิดว่าอาจจะเป็นเสียงลมไม่ก็คิดไปเอง แต่พอได้ยินไปเรื่อยๆ เขาจึงคิดว่าจะต้องเป็นเสียงของพวกเด็กสาวที่ถูกลักพาตัวแน่ๆ เขาเริ่มรู้สึกผิดและเริ่มรู้สึกทนไม่ได้กับสิ่งที่ชิเงโตะทำ เขาจึงเอาเรื่องที่เขาได้ยินเสียงเด็กไปแจ้งตำรวจ
วันที่ 29 กันยายน หลังจากที่หมอโชจินำเรื่องนี้ไปแจ้ง ทำให้โจชิโร่เริ่มสำรวจโรงพยาบาลอีกครั้ง จนในที่สุดโจชิโร่ก็พบเด็กสาวทั้ง 5 ที่ชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลไฮบาระ สภาพของเด็กสาวทั้ง 5 ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆทั้งสิ้น เขาพาเด็กสาวทั้ง 5 มาที่สถานีตำรวจอ่าวอามาโคเระเบย์ ก่อนที่จะส่งกลับไปหาครอบครัว
โจชิโร่พาตัวรุกะกลับมาหาซายากะและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ซายากะที่ได้ยินและเห็นชุดที่รุกะใส่ก็ถึงกับทรุดลง เธอไม่คิดว่าชิเงโตะและโซวยะจะทำแบบนี้ รวมถึงทั้งโยที่ตอนนั้นเป็นฆาตรกรก็มีส่วนร่วมด้วย เธอรู้สึกผิดมากที่ส่งรุกะมาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลไฮบาระ ด้วยความเสียใจเป็นอย่างมาก ซายากะจึงบังคับให้โจชิโร่พาเธอไปที่ถ้ำบ่อน้ำสะท้อนจันทรา ซึ่งเป็นสถานที่ที่โจชิโร่พบเด็ก 5 คน
เมื่อโจชิโร่พาซายากะมาถึงถ้ำบ่อน้ำสะท้อนจันทรา ทิวทัศน์ของถ้ำที่มีแสงสาดส่องลงมา พร้อมกับไออากาศอันหนาวเหน็บที่มาเกาะตัวซายากะ ทำให้เธอตัวสั่นทันทีที่มาถึงที่นี่ ซายากะร้องไห้เพราะความเสียใจที่ได้รู้ว่าลูกสาวของเธอต้องมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ ถึงซายากะจะไม่รู้ว่ารุกะมาทำอะไรที่นี่ แต่ด้วยความเป็นมิโกะสึกิโมริ เธอสัมผัสได้ว่าจิตใจของรุกะในตอนนี้บอบบางมากแล้ว หมอโชจิที่เห็นซายากะร้องไห้ก็เข้ามาปลอบใจเธอว่า ถึงแม้ว่าความทรงจำของรุกะจะหายไปแต่ว่ามีชีวิตกลับมาได้ก็ดีแล้ว แต่ถึงกระนั้นซายากะก็อยากจะมั่นใจว่าสภาพจิตของรุกะนั้นยังมีความเสถียรอยู่ โชจิจึงแนะนำไปอีกว่า หลังจากนี้ก็ควรไปใช้ชีวิตแบบปกติและค่อยพยายามฟื้นฟูสภาพจิตใจของรุกะน่าจะเป็นการดีกว่า ซายากะที่ได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกดีขึ้น
ซายากะมีความมั่นใจว่าโซยะสามีของเธอจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้แน่นอน และถ้าเป็นอย่างนั้นเธอก็คิดว่าบนเกาะนี้ก็คงไม่มีที่ที่ให้เธอกับรุกะใช้ชีวิตกันได้อย่างสงบสุขอีกแล้ว ไม่ว่าเธอจะเป็นห่วงโซยะขนาดไหนก็ตาม แต่ในตอนนี้เธอก็คิดว่าเธอไม่มีทางที่จะช่วยโซยะได้อีกแล้ว เธอจึงเริ่มคิดที่จะออกจากเกาะ ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้รุกะ ไปหาที่ๆปลอดภัยกว่าให้รุกะอยู่ และเธอก็เตือนให้รุกะลืมเรื่องราวในอดีตไปให้หมด ไม่ต้องคิดจะไปจำมัน ไม่ต้องคิดที่จะพยายามไปค้นหามัน เพราะเธอกลัวว่าถ้ารุกะดื้อดึงพยายามค้นหาความทรงจำของตัวเอง รุกะอาจจะสูญเสียจิตใจของตัวเองและผลิบานได้ เพราะสาเหตุนี้เองจึงทำให้รุกะลืมเรื่องราวในอดีตไปจนหมดรวมถึงเรื่องพ่อของเธอ ตั้งแต่นั้นมา รุกะจึงไม่ได้กลับไปหาพ่อของเธออีกเลย
วันที่ 9 กันยายน ซายากะได้พารุกะออกไปจากเกาะโรเงทสึ ไปอาศัยอยู่ที่อื่นและนำตัวรุกะไปอยู่ที่โรงพยาบาลอื่น ซึ่งก่อนออกจากเกาะไป ซายากะก็ได้ส่งจดหมายถึงโซวยะ ซึ่งจดหมายนั่นเป็นจดหมายที่ซายากะเขียนไว้ก่อนที่จะแต่งงานกับโซวยะเสียอีก ในนั้นเธอได้บอกความจริงทั้งหมดว่าเธอเป็นคนของตระกูลมิโกะสึกิโมริ รวมถึงเพลงที่เธอร้องอยู่เป็นประจำว่ามันคือเพลงสึกิโมริอีกด้วย หลังจากนั้นไม่กี่วัน โจชิโร่ก็เดินทางกลับสู่แผ่นดินหลัก เนื่องจากเขาไม่พบไฮบาระ โย ที่เกาะโรเงทสึ
ซายากะได้ทำการเปลี่ยนนามสกุลของตัวเองและรุกะ จากโยโมะสึกิเป็นมินะซุกิ ซึ่งเป็นชื่อตอนที่ซายากะยังเป็นมิโกะสึกิโมริอยู่นั่นเอง
หลังจากที่รุกะออกไปจากเกาะ เด็กคนอื่นที่ถูกลักพาตัวก็ออกไปจากเกาะเช่นกัน ชิเอะที่เข้ามาทำความสะอาดห้องของรุกะก็ได้พบไดอารี่ของซายากะอยู่ในห้องนั้น ชิเอะจึงเก็บมันไว้ในห้องทำงานของเธอที่ชั้น 3 ของหอพักโรเงทสึ เผื่อไว้สักวันหนึ่งที่รุกะและซายากะจะกลับมาแล้วเอามันไป
วันหนึ่งได้มีนางพยาบาลพบม้วนฟิล์มม้วนหนึ่งเข้า ยังไงซะเธอก็คิดจะเผามันอยู่แล้วเพราะมันเป็นม้วนฟิล์มที่อัดการแสดงพิธีรำบวงสรวงของโทโนะ สึบากิที่เสียชีวิต แต่ว่าเธอก็ลองเปิดมันดู เธอพบว่าในขณะที่วิดีโอกำลังเล่นอยู่นั้น มันจะมีภาพพิธีของซาคุยะแทรกมาแทนสลับกับพิธีของสึบากิไปเรื่อยๆ ทำให้นางพยาบาลคนนั้นเริ่มตระหนักกับสิ่งที่ตัวเองได้ดู เธอจึงแอบนำม้วนฟิล์มนี้ไปทำลายที่เตาเผาหลังโรงพยาบาลไฮบาระ โดยไม่รอคำสั่งจากชิเงโตะที่เป็น ผอ.
ถึงแม้ว่าพิธีกรรมจะล้มเหลว แต่ชิเงโตะกับโย ก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะช่วยซาคุยะ เขาได้ทดลองการผ่าตัดสมองขึ้นอีกครั้งเพื่อหาทางรักษาโรคจันทราสะกด โดยผู้ป่วยที่ได้เข้ารับการผ่าตัดครั้งนี้ก็คือ คิริกายะ ฮิมิโกะ ซึ่งเธอเป็นผู้ป่วยที่ติดโรคจันทราสะกดหลังจากที่พิธีกรรมล้มเหลว การผ่าตัดดำเนินไปเรื่อยๆ จนเสร็จสิ้น แต่ทว่าในระหว่างที่กำลังสอบถามเรื่องอาการของเธอยู่นั้น อยู่ดีๆ ฮิมิโกะก็เกิดอาการคลุ้มคลั่ง โรคจันทราสะกดของเธอรุนแรงขึ้นจนทำให้เธอเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา
ตั้งแต่ที่ซาคุยะถูกนำมาอยู่ที่ศาลไว้ทุกข์ คนที่รับใช้ตระกูลไฮบาระ ก็จะนำอาหารมาให้ซาคุยะ เนื่องจากพวกเขาเหล่านั้นสวมหน้ากากและไม่ใช่คนของโรงพยาบาล มันจึงทำให้ชิเอะเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก ชิเอะจึงเอาเรื่องนี้ไปถามโชจิ แต่ดูเหมือนว่าโชจิจะไม่ได้พูดอะไรกลับมา ชิเอะจึงรู้ได้ว่าสิ่งนี้คงจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูดถึง เธอควรเฝ้าดูประตูอย่างเงียบๆ ตามหน้าที่ของเธอ
คืนหนึ่งหลังจากที่ชิเอะปิดไฟเพื่อให้คนไข้พักผ่อนตามปกติ อยู่ดีๆ ยูโก มาคากิก็ได้ส่งเสียงดังอีกครั้ง ทำให้ชิเอะรีบวิ่งไปตรวจดูอาการของมาคากิ เมื่อชิเอะไปถึง มาคากิก็จับแขนเธอแล้วพูดคำแปลกๆออกมาอย่างคำว่า กำจัดและทำลาย ชิเอะเริ่มสังเกตพฤติกรรมของมาคากิและเห็นว่าตอนนี้การวาดภาพของเขาจะเปลี่ยนไป เขาเอาแต่วาดรูปผู้หญิงในชุดแดง ซึ่งชิเอะดูก็รู้เลยว่านี่คือซาคุยะ แต่นั่นก็ทำให้เกิดคำถามในหัวชิเอะว่าทำไมเขาถึงเอาแต่วาดผู้หญิงคนนี้ หรือว่าจะเป็นลางบอกว่าซาคุยะจะตื่นขึ้นมา
คืนหนึ่งชิเอะได้นอนหลับพักผ่อนในห้องจ่ายกระแสไฟ ชิเอะได้ฝันแปลกๆ ว่า ”เธอยืนอยู่ข้างหน้าประตูที่มีซาคุยะที่อยู่ในสภาพโคม่านอนอยู่ข้างใน แต่ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงประหลาดๆ เธอคิดว่าเป็นเสียงลมหรือไม่ก็อาจจะเป็นเสียงลมหายใจ แต่มันกลับไม่ใช่ทั้ง 2 อย่าง มันเป็นเสียงซาคุยะร้องเพลงกับตัวเอง และทันใดนั้นเธอก็สังเกตเห็นถึงสีหมองคล้ำของประตู เสียงเปิดที่ดังเอี๊ยดออกมาราวกับเสียงกรีดร้อง เสียงนั่นดังมากขึ้น ในตอนนั้นเธอก็ได้เห็นดวงตาสีแดงฉานอันเย็นชามาจากช่องว่างของประตู ดวงตาและใบหน้านั้นมันทำให้เธอแทบคลั่ง” จากฝันนี้ ทำให้ชิเอะมีอาการกลัวมากขึ้นและมันก็อาจจะเป็นลางบอกได้ว่าซาคุยะอาจจะตื่นขึ้นมาก็ได้
ทางด้านซาคุยะที่ยังคงหลับใหลในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายที่แทบจะไม่มีลมหายใจแล้ว บรรยากาศที่อยู่รอบตัวเธอนั้นเย็นยะเยือกไปหมด มีข้อห้ามว่าไม่ให้ใครแตะต้องตัวเธอหรือแม้แต่จะเรียกชื่อของเธอ ผู้คนที่ดูแลเธอก็ต่างพากันสงสัยว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือตายกันแน่ จึงทำให้ผู้ที่ดูแลปกป้องศาลเจ้าไว้ทุกข์ที่ชั้นใต้ดินรู้สึกกลัวขึ้นมาว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้ใบหน้าของซาคุยะอาจจะผลิบานเข้าสักวัน เขาจึงเตรียมการและได้ทำการยื่นคำร้องไปยังชิเงโตะเพื่อที่จะทำพิธีกรรมตัดใบหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้ใบหน้าของซาคุยะผลิบาน แต่สุดท้ายชิเงโตะก็ไม่อนุมัติคำร้องของเขา
หลายวันผ่านไป ชิเอะที่เฝ้าดูซาคุยะในห้องจ่ายกระแสไฟก็ไม่พบการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่เธอเริ่มสงสัยขึ้นมาเรื่อยๆ ว่าซาคุยะที่นอนอยู่นั้นเสียชีวิตแล้วหรือไม่ เธอมีความรู้สึกมั่นใจว่าซาคุยะยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ แต่พอเธอดูตัวเลขคลื่นสมอง การเต้นของหัวใจและปอดที่วางไว้บนโต๊ะหมอ เธอก็รู้สึกว่าบางทีอาจจะไม่เป็นแบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกของเธอมันก็ฟ้องว่าซาคุยะยังมีชีวิตอยู่ ทั้งที่เธอควรดีใจแท้ๆ ที่สภาพของผู้ป่วยฟื้นฟู แต่เธอกลับรู้สึกกังวลจนตัวสั่น ว่าสักวัน วันที่ซาคุยะจะเปิดประตูบานนั้นออกมาและโลกที่ชิเอะรู้จักจะหายไป
หลังจากที่ซาคุยะโคม่าเป็นเวลานาน โยได้ขึ้นไปดูภาพวาดของมาคากิ ภาพต่างๆของมาคากิมันทำให้รู้สึกว่ามันน่ากลัวและดูเหมือนจะเป็นลางร้าย แต่พอโยได้มองภาพวาดผู้หญิงในชุดแดงของมาคากิแล้ว มันก็ทำให้โยรู้สึกถึงอดีต เขารู้สึกเหมือนมีความหวัง เขารู้สึกว่าสักวันหนึ่งพี่สาวของเขาจะตื่นขึ้นมา
.
.
.
ผ่านมาในปี 1972 ผ่านมา 2 ปีจากพิธีรำบวงสรวง วันแห่งโศกนาฏกรรมได้เกิดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อร่างกายอันว่างเปล่าของซาคุยะได้ถูกเสียงเพลงจันทราของวิญญาณจำนวนมากสิงสู่ จนเสียงจันทราที่แสดงถึงตัวตนของเธอถูกทำลายจนหมดสิ้นไป เธอได้ตื่นจากการหลับใหลอันยาวนานพร้อมกับใบหน้าแห่งความหายนะ ใบหน้าที่หมองมัวราวกับดอกไม้ที่”ผลิบาน”ในยามราตรี
ซาคุยะหลังจากที่ตื่นขึ้นมาพร้อมใบหน้าที่”ผลิบาน”
โจชิโร่ได้ลาออกจากการเป็นตำรวจและกลับมาที่เกาะเพื่อตามหาโยอีกครั้ง เขาได้เข้าไปตรวจสอบในสวนดอกไม้จันทรา ของหอพักโรเงทสึแต่กลับไม่พบโย แต่แล้วเขาก็เกิดอาการปวดหัวที่เหมือนจะเป็นลางอะไรสักอย่างก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงของวิญญาณอันมากมายมาจากชั้นใต้ดิน เขาสังเกตเห็นซาคุยะที่กำลังเดินขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน แต่ด้วยอาการปวดหัวจึงทำให้เขาใช้มือมาจับหัวและบังใบหน้าของซาคุยะ โจชิโร่ปฏิเสธที่จะมองใบหน้าของซาคุยะ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเดินหนีออกจากสวนไป
ถือว่าเป็นโชคดีของโจชิโร่ ที่ไม่ได้เห็นใบหน้าของซาคุยะ และในเวลาเดียวกันที่เขาออกไปนั้น ซาคุยะที่มีใบหน้าผลิบานก็เดินขึ้นบันไดมาถึงสวนพอดี ซาคุยะมองไปหาชายคนหนึ่งที่อยู่ในสวน ผู้ชายคนนั้นก็มองหน้าเธอราวกับถูกโดนใบหน้าของซาคุยะสะกดให้มอง สุดท้ายใบหน้าของคนๆนั้นก็มีสภาพหมองมัวไม่เป็นใบหน้าคนอีกต่อไป ซาคุยะทำให้ใบหน้าของผู้ชายคนนั้นผลิบาน
ในตอนนั้นเองเซนโด คาเงริ ที่ได้พาตุ๊กตาวาตาชิเข้าไปเดินเล่นในสวนดอกไม้จันทราเหมือนปกติก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่ซาคุยะทำให้คนผลิบานเช่นกัน แต่สำหรับคนที่อยากจะมีความรู้สึกที่เหมือนตายในขณะที่มีชีวิตอย่างคาเงิริ สิ่งนี้มันทำให้เธอมีความสุขที่สุดแล้ว ดังนั้นเธอจึงพาวาตาชิหนีไปที่ชายหาดสึคุโยมิพร้อมกับคนอื่นๆ เพื่อที่เธอจะได้ใช้วาระสุดท้ายของเธอที่นั่น หลังจากที่ซาคุยะทำให้คนในสวนผลิบานจนหมด เธอก็เดินเข้าไปในหอพักและทำให้ใบหน้าของคนอื่นผลิบานกันต่อไป
โจชิโร่ได้เข้าไปสำรวจในชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลไฮบาระ เขาก็ได้พบกับโยโดยบังเอิญ โยได้วิ่งหนีไปที่ชั้นดาดฟ้าของโรงพยาบาล โจชิโร่ที่วิ่งตามมาก็วิ่งไล่โยมาถึงชั้นดาดฟ้าเช่นกัน แต่โจชิโร่ดันพลาดท่าโดนโยใช้มีดลอบแทง ทำให้โจชิโร่ใช้แรงเฮือกสุดท้ายวิ่งพุ่งเข้าชนโยที่ยืนอยู่ตรงระเบียงตกจากชั้นดาดฟ้าและเสียชีวิตทั้งคู่
ทางด้านอายาโกะที่อยู่ในห้องพักของตัวเอง เธอเดินออกมาข้างนอกห้องแล้วพบกับผู้ชายคนหนึ่ง ใบหน้าของชายคนนั้นผลิบาน ทำให้อายาโกะรู้สึกกลัวมากและรีบกลับเข้าห้อง เธอเข้าไปในห้องลับของตัวเองและร้องขอให้คนมาช่วย แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครช่วยเธอ อายาโกะเกิดอาการคลุ้มคลั่งเพราะวิญญาณของเธอถูกแทรกแซงจนผลิบานอยู่ในห้องนั้น
ทางด้านโซวยะ เขาคิดมาตลอดว่าอะไรที่ทำให้พิธีกรรมล้มเหลว เขาคิดว่าบางทีอาจจะไม่ใช่เป็นเพราะหน้ากากของเขาก็ได้ โศกนาฏกรรมในครั้งนี้มันรุนแรงกว่าครั้งแรกเสียอีก และถ้ามันเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดจันทรคราสอีกครั้งในอีก 8 ปีข้างหน้า การผลิบานของซาคุยะก็จะรุนแรงขึ้นกว่าเดิมและอาจจะรุนแรงจนออกนอกเกาะไป เขาคิดไว้ว่าทางเดียวที่จะแก้เหตุการณ์นี้ได้นั่นก็คือจะต้องทำพิธี Kiraigou อีกรอบหนึ่งและใช้หน้ากากจันทรคราสใบเดิม ใบที่เขาทำ สวมใส่ลงไปบนใบหน้าของซาคุยะ พร้อมทั้งใช้สิ่งๆหนึ่งที่พิธีกรรมของเขาขาดหายไป มันคือสิ่งที่เขาเคยเอะใจมาก่อน แต่ในตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่ามันคืออะไรหลังจากที่เขาได้อ่านจดหมายลาของซายากะ มันทำให้เขารู้ความจริงว่าสิ่งที่พิธีกรรมของเขาขาดไปนั้นมันก็คือ สิ่งที่ใช้ปลอบประโลมวิญญาณไม่ให้วิญญาณคลุ้มคลั่ง เสียงเพลงที่คอยช่วยปลอบประโลมวิญญาณ เพลงสึกิโมริที่แท้จริง....
แต่ถึงเขาจะคิดแบบนั้น แต่ยังไงซะถ้าขาดเพลงสึกิโมริไปก็ทำอะไรไม่ได้ เขาคิดว่านี่คงเป็นชะตากรรมของเขา เพราะเขาเดินตามรอยโซเอทสึ ทำให้สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องพบจุดจบแบบเดียวโซเอทสึ ในตอนนี้เขาก็ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างเพราะเขาคิดว่าในไม่ช้านี้ซาคุยะก็คงจะมาหาเขา สุดท้ายเขาก็คงผลิบานเหมือนทุกๆคน โซวยะจึงใช้เวลาสุดท้ายของเขาให้มีความสุขไปกับความเงียบสงบอยู่ที่ศาลเจ้าแห่งจิตสำนึกในถ้ำ ซึ่งเป็นถ้ำลับที่อยู่หลังแท่นบูชาในห้องทำหน้ากาก
ชายหาดสึคุโยมิ
.
.
.
.
.
.
เวลาผ่านมา ในปีเดียวกัน เวลา 16.30 นาฬิกา เรือโอโบโระ-มารุ ได้มาถึงท่าเรือของเกาะโรเงทสึ กัปตันของเรือพบผู้คนบนเกาะมากมายเสียชีวิตจึงนำเรื่องนี้ไปแจ้งตำรวจ
ในวันถัดมาตำรวจก็มาถึงที่เกาะ พวกเขาได้พบว่ามีคนหลายคนได้หายสาบสูญและเสียชีวิตแต่ไม่พบร่องรอยของอุบัติเหตุและการต่อสู้กัน ศพของผู้คนอยู่ในสภาพที่เอามือปิดใบหน้าของตัวเอง จึงคาดว่าผู้คนบนเกาะอาจจะเสียชีวิตจากโรคระบาดที่ระบาดบนเกาะ หลังจากนั้นก็ได้มีการค้นหาผู้รอดชีวิตบนเกาะและในเวลาเดียวกันร่างกายของผู้เสียชีวิตบนเกาะบางคนก็ถูกตำรวจเอาไปชันสูตร
สองสัปดาห์ผ่านไป ตำรวจก็ยังไม่พบร่องรอยของผู้รอดชีวิต จากการชันสูตรศพทางตำรวจก็ยืนยันได้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพราะโรคระบาดและสาเหตุการตายก็ยังไม่ทราบแน่ชัด
ในที่สุดตำรวจก็พบเด็กผู้หญิงซึ่งเป็นผู้รอดชีวิตคนเดียวบนเกาะ เด็กคนนั้นถูกนำตัวเข้าส่งโรงพยาบาลเธอเอาแต่เรียกหาแม่ของเธอ แต่สุดท้ายไม่กี่วันหลังจากนั้น ช่วง 10 โมงเช้า เด็กคนนั้นก็เสียชีวิตจากอาการช็อคและความอ่อนแอทางด้านร่างกาย**
**(มีทฤษฎีที่ว่า เด็กสาวที่รอดชีวิตคนนี้อาจจะเป็นอายาโกะ เนื่องจากเด็กคนนี้เอาแต่เรียกหาแม่ของเธอ ซึ่งคำสุดท้ายในโน๊ตที่อายาโกะเขียนเอาไว้ตอนเกิดโศกนาฏกรรม ก็เป็นการเรียกหาแม่เช่นกัน แต่ภาพ spirit list ของเกมมีภาพที่อายาโกะนอนผลิบานอยู่ในห้อง จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าเธอรอดชีวิตแล้วมาตายตอนหลังหรือเปล่า แต่ถ้าเด็กสาวที่รอดชีวิตเป็นอายาโกะจริงๆ แสดงว่าเธออาจจะกำลังผลิบาน แต่ซาคุยะไว้ชีวิตให้เพราะเป็นลูกที่ตนรัก ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าเธอจะตายที่ไหน สุดท้ายแล้วเธอก็ตายในปีเดียวกันและสิงอยู่ที่ห้องนอนของเธออยู่ดี)
การสำรวจดำเนินไปเป็นเวลานาน แต่ตำรวจก็ยังไม่พบอะไรที่คาดว่าจะเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้คนบนเกาะและผู้คนที่หายสาบสูญไป เวลาผ่านไปครึ่งปี ในที่สุดการค้นหาและการตรวจสอบก็ถูกยกเลิกไป.....
ถึงการสำรวจจะถูกยกเลิกไป แต่ก็มีกลุ่มที่สำนักพิมพ์นิตยสารมาสำรวจต่อ แต่พวกเขาก็ไม่พบอะไรนอกจากเรื่องของโรคจันทราสะกดและเรื่องเทศกาลบนเกาะ....
สุดท้ายแล้วเกาะโรเงทสึก็กลายเป็นเกาะร้างที่เต็มไปด้วยปริศนาและไม่มีใครค้นพบถึงความจริงของมัน วิญญาณของผู้คนที่ล้มตายก็ยังคงติดอยู่บนเกาะนั้นไปตลอดกาล จนกว่าจะมีใครสักคนมาทำพิธี Kiraigou อีกครั้ง คนที่สามารถเล่นเพลงสึกิโมริเพื่อปลอบประโลมความคลุ้มคลั่งของเหล่าวิญญาณ และส่งดวงวิญญาณเหล่านั้นไปโลกหลังความตายได้......
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
8 ปีต่อมา
Fatal Frame 4 Mask of the Lunar
Eclipse
To be continued
-------------------------------------------------------------------------------
สาเหตุที่พิธีกรรมล้มเหลว
สาเหตุที่พิธีกรรมล้มเหลวของภาค 4 นั้นมาจากที่องค์ประกอบหลายๆ อย่างไม่สมบูรณ์และขาดหายไป ยกเว้นหน้ากากของโซวยะ เพราะหน้ากากของโซวยะนั้นสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว ไม่งั้นเราก็คงจะไม่เห็นฉากจบของเกมกัน เนื่องจากมันมีหลายอย่างจนผมไม่สามารถแทรกเข้าไปในเนื้อเรื่องได้เลยมาทำแยกไว้ตรงนี้ มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่เข้าข่ายทำให้พิธีล้มเหลว
1. ความบกพร่องในการเลือกอุสึวะและคานาเดะ ในอดีตคนที่เลือกคานาเดะจะเป็นมิโกะสึกิโมริ ซึ่งเคร่งครัดในการเลือกมากเพราะต้องการเด็กที่มีเสียงเพลงจันทราที่ชักเจน แต่โยกลับเลือกเด็กที่มีใช้เท่านั้น และเด็กที่เขาเลือกก็ล้วนเป็นเด็กที่ติดโรคจันทราสะกดด้วยอีก ซึ่งโรคนี้จะรบกวนเสียงเพลงจันทราในตัวของแต่ละคนทำให้เด็กทั้ง 5 ที่โยเลือกมามีเสียงเพลงจันทราที่ไม่สมบูรณ์ ส่วนซาคุยะที่ถูกเลือกให้เป็นอุสึวะก็เป็นโรคจันทราสะกดระยะสะท้อน ซึ่งเป็นขั้นรุนแรง ทำให้ในระหว่างพิธีกรรมอาจจะเกิดการสะท้อนในเหล่าคนที่ทำพิธีแต่ละคน ซาคุยะเคยเป็นอุสึวะมาแล้วหนึ่งครั้ง ซึ่งครั้งนั้นก็ทำให้โรคของซาคุยะรุนแรงขึ้นสู่ระยะสะท้อน การที่ให้ซาคุยะที่เป็นโรคในระยะรุนแรงมาเป็นอุสึวะใน Kiraigou อีกครั้ง อาจจะเป็นการทำให้โรคของซาคุยะรุนแรงขึ้นจนผลิบานได้
2. บทเพลงสึกิโมริ เป็นหนึ่งบทเพลงที่ในอดีตใช้ประกอบพิธีกรรม Kiraigou และช่วยปกป้องผู้คนเมื่อพิธีล้มเหลว แต่ต่อมา เมื่อประเพณีของมิโกะสึกิโมริเริ่มหายไป บทเพลงก็เริ่มหายไปเช่นกัน แต่บทเพลงนี้ก็ยังถูกสืบทอดมารุ่นสู่รุ่นโดยสายเลือดของมิโกะสึกิโมริ เพราะฉะนั้นจึงมีแค่คนที่เป็นมิโกะสึกิโมริเท่านั้นที่จะรู้เพลงนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งตัวละครใน Fatal Frame 4 ที่รู้จักเพลงนี้อย่างแท้จริงก็มีแค่ซายากะแม่ของรุกะเท่านั้น ซึ่งเธอก็สอนให้รุกะเล่นเพลงนี้ประจำ แต่ในปี 1970 โย ไฮบาระ ก็รื้อฟื้นเพลงนี้ขึ้นมา แต่กลับเป็นแค่บทเพลงที่ใช้เปิดประตูสู่ลานจันทรา และเยียวยาโรคจันทราสะกด ซึ่งบทเพลงสองบทนี้ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของบทเพลงสึกิโมริเท่านั้น จึงทำให้เพลงนี้ไม่สมบูรณ์ และเป็นสาเหตุที่ทำให้วิญญาณคลุ้มคลั่งและนำไปสู่ความล้มเหลวของพิธีกรรม
3. คานาเดะทุกคนที่ทำพิธีไม่ได้นั่งสมาธิ การนั่งสมาธินั้นสำคัญมาก เพราะมันทำให้คนที่สวมใส่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับหน้ากากและเข้าถึงแก่นแท้ของเพลงสึกิโมริ แต่เนื่องจาก การประกอบพิธีนี้จัดเป็นความลับ รู้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น จึงทำให้พิธีกรรมบกพร่อง เพราะพิธี Kiraigou เป็นพิธีที่เคร่งครัดและต้องถูกต้องทุกขั้นตอน ขาดไม่ได้แม้แต่ขั้นตอนเดียว
สาเหตุที่พิธีกรรมล้มเหลวของภาค 4 นั้นมาจากที่องค์ประกอบหลายๆ อย่างไม่สมบูรณ์และขาดหายไป ยกเว้นหน้ากากของโซวยะ เพราะหน้ากากของโซวยะนั้นสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว ไม่งั้นเราก็คงจะไม่เห็นฉากจบของเกมกัน เนื่องจากมันมีหลายอย่างจนผมไม่สามารถแทรกเข้าไปในเนื้อเรื่องได้เลยมาทำแยกไว้ตรงนี้ มาดูกันว่ามีอะไรบ้างที่เข้าข่ายทำให้พิธีล้มเหลว
1. ความบกพร่องในการเลือกอุสึวะและคานาเดะ ในอดีตคนที่เลือกคานาเดะจะเป็นมิโกะสึกิโมริ ซึ่งเคร่งครัดในการเลือกมากเพราะต้องการเด็กที่มีเสียงเพลงจันทราที่ชักเจน แต่โยกลับเลือกเด็กที่มีใช้เท่านั้น และเด็กที่เขาเลือกก็ล้วนเป็นเด็กที่ติดโรคจันทราสะกดด้วยอีก ซึ่งโรคนี้จะรบกวนเสียงเพลงจันทราในตัวของแต่ละคนทำให้เด็กทั้ง 5 ที่โยเลือกมามีเสียงเพลงจันทราที่ไม่สมบูรณ์ ส่วนซาคุยะที่ถูกเลือกให้เป็นอุสึวะก็เป็นโรคจันทราสะกดระยะสะท้อน ซึ่งเป็นขั้นรุนแรง ทำให้ในระหว่างพิธีกรรมอาจจะเกิดการสะท้อนในเหล่าคนที่ทำพิธีแต่ละคน ซาคุยะเคยเป็นอุสึวะมาแล้วหนึ่งครั้ง ซึ่งครั้งนั้นก็ทำให้โรคของซาคุยะรุนแรงขึ้นสู่ระยะสะท้อน การที่ให้ซาคุยะที่เป็นโรคในระยะรุนแรงมาเป็นอุสึวะใน Kiraigou อีกครั้ง อาจจะเป็นการทำให้โรคของซาคุยะรุนแรงขึ้นจนผลิบานได้
2. บทเพลงสึกิโมริ เป็นหนึ่งบทเพลงที่ในอดีตใช้ประกอบพิธีกรรม Kiraigou และช่วยปกป้องผู้คนเมื่อพิธีล้มเหลว แต่ต่อมา เมื่อประเพณีของมิโกะสึกิโมริเริ่มหายไป บทเพลงก็เริ่มหายไปเช่นกัน แต่บทเพลงนี้ก็ยังถูกสืบทอดมารุ่นสู่รุ่นโดยสายเลือดของมิโกะสึกิโมริ เพราะฉะนั้นจึงมีแค่คนที่เป็นมิโกะสึกิโมริเท่านั้นที่จะรู้เพลงนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งตัวละครใน Fatal Frame 4 ที่รู้จักเพลงนี้อย่างแท้จริงก็มีแค่ซายากะแม่ของรุกะเท่านั้น ซึ่งเธอก็สอนให้รุกะเล่นเพลงนี้ประจำ แต่ในปี 1970 โย ไฮบาระ ก็รื้อฟื้นเพลงนี้ขึ้นมา แต่กลับเป็นแค่บทเพลงที่ใช้เปิดประตูสู่ลานจันทรา และเยียวยาโรคจันทราสะกด ซึ่งบทเพลงสองบทนี้ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของบทเพลงสึกิโมริเท่านั้น จึงทำให้เพลงนี้ไม่สมบูรณ์ และเป็นสาเหตุที่ทำให้วิญญาณคลุ้มคลั่งและนำไปสู่ความล้มเหลวของพิธีกรรม
3. คานาเดะทุกคนที่ทำพิธีไม่ได้นั่งสมาธิ การนั่งสมาธินั้นสำคัญมาก เพราะมันทำให้คนที่สวมใส่ได้เป็นหนึ่งเดียวกับหน้ากากและเข้าถึงแก่นแท้ของเพลงสึกิโมริ แต่เนื่องจาก การประกอบพิธีนี้จัดเป็นความลับ รู้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น จึงทำให้พิธีกรรมบกพร่อง เพราะพิธี Kiraigou เป็นพิธีที่เคร่งครัดและต้องถูกต้องทุกขั้นตอน ขาดไม่ได้แม้แต่ขั้นตอนเดียว
เกร็ดเล็กๆน้อยๆ 10 ข้อแรกของ Fatal Frame 4
- ผู้คนบนเกาะโรเงทสึไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์- ชื่อของห้องพักของผู้ป่วยในหอพักโรเงทสึจะมีคำว่าดวงจันทร์ทุกห้อง
- ในขณะที่ห้องสำนักงานของนางพยาบาลในทุกๆชั้นของหอจะมีชื่อเกี่ยวกับฤดูกาลแทน
- สีธีมประจำภาค 4 คือ สีเหลือง
- ซาคุยะเป็นบอสตัวเดียวที่ได้สู้ก่อนที่จะไปเจออีกครั้งในด่านสุดท้าย
- ซาคุยะไม่ใช่บอสประเภท One-Touch Kill เหมือนซาเอะและคิริเอะ
- เกมนี้ไม่มีภาคภาษาอังกฤษ แต่มีแพทช์อังกฤษโดยแฟนเกมทำขึ้นมาเอง
- โจชิโร่ ที่เห็นในเกมที่จริงแล้วเป็นวิญญาณ
- สาเหตุที่โจชิโร่ไม่เหมือนวิญญาณตัวอื่นๆ ก็เพราะโจชิโร่ไม่ได้ตายเพราะผลิบานและไม่ติดโรคจันทราสะกดด้วย
- คนที่เข้าสู่ระยะผลิบานหมายถึง"ตายแล้ว"นั่นเอง
แนะนำวิญญาณของเกมก่อนขึ้นเนื้อเรื่องส่วนที่ 2 => คลิก
ปล. ถ้าจะเอาไปแปะที่อื่นก็ต้องขออนุญาตก่อน และให้เครดิตเป็นลิงค์ต้นฉบับด้วย :D
ปล. 2 แต่สามารถ Copy ลิงค์ไปแชร์ให้เพื่ออ่านได้นะ
ปล. 3 ที่จริงงานนี้เขียนขึ้นมาก่อน Spirit Camera ซะอีก แต่ดองไว้นานเพราะกว่าจะปะติดประต่อเนื้อเรื่องกับไทม์ไลน์ได้ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน
(Comment ได้นะ ผมไม่ทำให้คุณผลิบานหรอก)
รูปภาพจากเว็บ
อ่านเนื้อเรื่อง Fatal Frame ภาคอื่นๆได้ที่หน้าหลัก(กลับสู่หน้าหลักโดยการกดลิงค์ด้านล่างหรือชื่อของบล็อก)
กลับสู่หน้าหลัก
กลับสู่หน้าหลัก
--------------------------------------------
Update History
Update History
- 20/02/2562 เรียงลำดับเนื้อเรื่องของโยใหม่ ในช่วงหลังซาคุยะมอบตุ๊กตาให้มิซากิ และก่อนเข้าสู่บทของมาโดกะ
- 25/11/2561 ปรับปรุงเนื้อเรื่องใหม่เป็น Fatal Frame 4 ver. 2.0
- 2/4/2561 เพิ่มเนื้อเรื่องของซาคุยะให้มากขึ้น
- 25/11/2561 ปรับปรุงเนื้อเรื่องใหม่เป็น Fatal Frame 4 ver. 2.0
- 2/4/2561 เพิ่มเนื้อเรื่องของซาคุยะให้มากขึ้น
โอ้วววว สุดยอด!!! นี้มัานนน The Best!!! เยื่ยมจิงๆคับบ ทำออกมาได้ดีมาก เขียนได้เขาใจง่าย ไม่ได้มีการอ้อมหรือทำให้ งง แต่อย่างใด ผมว่าโอเคแล้ว มันเยื่ยมมาก ผมยกนิ้วให้คุณ เล้ยย คุณนี้เยื่ยมมากยังไงก็ทำต่อไปนะคับ
ตอบลบขอบคุณครับ = ="
ลบขอบคุณค่า อ่านแล้วเข้าใจเนื้อเรื่องขึ้นเยอะเลย
ตอบลบขอบคุณครับ เขียนได้เข้าใจง่ายดี คนเขียนท่าทางจะหล่อ
ตอบลบดะ...เดี๋ยว...เดี๋ยวนะ.. = =
ลบภาคนี้นี่ บอสซากุยะ ง่ายมากเรยอ่ะ ว่าภาค 3 ยากสุดล่ะ เรกะ ถ้าโดนตีทีเดียวตาย
ตอบลบเขียนได้ดีมากเลยค่ะ อ่านแล้วเข้าใจง่ายมาก จากที่งงๆ ในเนื้อหา เพราะไม่กล้าเล่น T^T ขอบคุณนะคะ // อยากให้ทำแบบนี้ทุกภาคจังเลย ><
ตอบลบขอบคุณค่ะ อ่านแล้วเข้าใจเยอะเลย
ตอบลบขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ
ลบ