วันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2560

[เนื้อเรื่อง]Fatal Frame 2 ผีเสื้อสีเลือด – จุดเริ่มต้นความมืดอันนิรันดร์ โศกนาฏกรรมชำระบาปแห่งความแค้น

[SPOILER  ALERT!!] ระวังสปอยล์ บทความนี้เหมาะกับผู้เล่นที่เล่นจบแล้วและผู้เล่นที่สนใจแต่กลัวเกินกว่าจะเล่นได้ อ้างอิงมาจาก เอกสาร ไฟล์ในเกม บันทึกของมิโอะ รวมถึง Spirit List และแปลมาจากเกมอังกฤษ บางคำศัพท์อาจคลาดเคลื่อนจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นนะครับ....

Fatal Frame II

Fatal Frame 2 Crimson Butterfly (Ps2)

Project Zero 2 Deep Crimson Butterfly (Wii)

*ถ้าใครไม่อยากอ่านเรื่องของผม อยากอ่านเนื้อเรื่องเกมอย่างเดียว เชิญข้ามส่วนนี้ได้เลยครับ*
ถ้าถามว่าผมรู้จักและชอบเกม Fatal Frame ได้ยังไง ผมคงตอบได้อย่างเต็มปากว่าเป็นเพราะภาค 2

ตอนนั้นสมัย Ps2 ผมมีเกมสยองขวัญอย่าง Silent Hill ที่พ่อซื้อมา ซึ่งตอนนั้นผมยังเด็กไม่กล้าเล่นเพราะกลัวผีมาก เพื่อนที่โรงเรียนบอกผมมาว่าเกมผีต้องยกให้เกมถ่ายรูปผีมันน่ากลัวจริง ผมซึ่งจำชื่อเกมได้แค่ เฟรมๆ อะไรสักอย่าง แค่รู้ว่าเป็นเกมผีผมก็แทบหันหน้าหนีละ เพราะแค่ เริ่มเกม Silent Hill แปปเดียว(แปปเดียวจริงๆ) ผมก็นอนไม่หลับละ

แต่พอช่วง ม.ปลายมา ความกลัวผีก็ลดลงแต่ถามว่ายังกลัวมั้ย? ก็กลัวอยู่ ตอนนั้นผมได้อ่านนิตยสารเกมของเพื่อน(จำชื่อนิตยสารไม่ได้ละ) ผมก็กลับมาพบกับเกม Fatal Frame อีกครั้งภายใต้ชื่อของทางยุโรป Project Zero 2 ซึ่งเนื้อเรื่องย่อที่เขียนในนั้นก็น่าสนใจมากเลยทีเดียว

           ผมกลับมาบ้านค้นหาชื่อเกมและก็พบว่า Project Zero 2 และ Fatal Frame 2 เป็นเกมเดียวกัน ผมเกิดความอยากเล่นเพราะผมเป็นผู้ชายนี่เนอะ เห็นนางเอกในฉบับรีเมคสวยมาก ฮ่าๆๆๆๆ เดี๋ยว!

         แต่พอลองคิดๆดูมันก็น่ากลัวเหมือนกันนะ แล้วเผอิญ หลังจากนั้น ก็ได้เปิด Youtube ฟัง OST ของเกมต่างๆ ไปเรื่อยๆ จนไปได้ฟังเพลงของเกมนี้ซึ่งเป็นเพลง Zero no Chouritsu  ซึ่งผมติดมาก ติดจนขนาดฟังเพลงนั้นทั้งวัน  เมื่อความอยากและความกลัวในใจมันตีกันจนทำให้เกิดอารมณ์คลั่ง(ไม่ได้บ้านะ) มันทำให้ผมท้าทายกับความกลัว มีความรู้สึกว่าอยากเล่นมาก แต่ติดตรงที่ว่าผมหาแผ่นใน Ps2 ก็ไม่ได้ อย่าว่าแต่หาแผ่นเลย Ps2 ของผมในตอนนั้นก็คงใกล้จะเข้าโลงแล้ว Wii ก็ไม่มีด้วยน่ะสิ งั้นเอาเป็นว่าลองเล่นภาคล่าสุดที่เขากล่าวกันว่าน่ากลัวน้อยสุดละกันอย่างภาค 4 (นี่น่ากลัวน้อยสุดจริงเหรอ?) โดยการโหลดอีมูมาเล่น (พอดีมันมีแต่เวอร์ชั่นญี่ปุ่นอย่างเดียวเลยต้องหาตัวแพทช์อังกฤษ) ก็ตามนั้นล่ะครับเตะอายาโกะ หลบคานาเดะเรนเจอร์ กระโดดถีบซาคุยะ และเล่นเปียโนนั่นผ่านมาได้(เอาจริงๆก็ไม่ได้ยากมากหรอก แต่บรรยากาศมันน่ากลัวสุดๆ) ถ้าถามอีกว่าแล้วตอนนั้นกลัวมั้ย ก็ตอบเหมือนเดิม กลัว แต่จากกลัวเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น ความตื่นเต้นเปลี่ยนเป็นความสนุก..... และก็กลายเป็นทั้งสนุกทั้งกลัว

แต่เพราะว่ามันไม่ใช่ภาค 2 ไง ผมเลยมีความอยากเล่นอยู่ ผ่านไปหลายเดือนจนสุดท้ายในที่สุดผมก็ได้แตะภาค 2 ที่รู้จักมานานแต่ไม่เคยเห็นตัวจริงสักที ผมบอกตรงๆ มันสนุกกว่าภาค 4 อีก ทั้งด้านเกมเพลย์ เนื้อเรื่อง (ยกเว้นด้านดนตรีให้เท่าภาค 4  โดยเฉพาะที่ประภาคารสึคุโยมิน่ะ) การออกแบบบ้านเรือน ธีมของภาค ความน่ากลัวของวิญญาณในภาคนี้และความผูกพันธ์ของสองสาวมิโอะกับมายุ มันทำให้ผมอินและผูกพันธ์กับภาคนี้เข้าให้แล้ว รวมถึงตัวซาเอะอีกด้วย พอเล่นจบเท่านั้นแหละ...... เอาเป็นว่าฉากจบยังตรึงอยู่ในใจผมจนถึงตอนนี้ก็แล้วกัน (ตอนแรกว่าจะเขียนเนื้อเรื่องภาค 2 ก่อนแต่มันมีเยอะละ เลยเขียนภาค 4 ก่อนแทน ฮ่าๆๆ)

ในตอนนี้ผมก็ได้ซื้อ 3 ภาคแรกฉบับ Ps2 มาอยู่ใน Ps3 เป็นเรียบร้อยละ เอาเป็นว่าพอผมเขียนภาคนี้เสร็จจะพักผ่อนสักหน่อย จากนั้นก็ไปลุยคฤหาสน์แห่งการหลับไหลที่เขาว่ากันว่าน่ากลัวสุดๆ แล้วกันนะ....


ตัวอักษรสีน้ำเงินมีความเกี่ยวข้องกับภาค3




 ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------






คุณเคยได้ยินข่าวลือในแถวมินาคามิมาบ้างรึเปล่า...  ว่าเมื่อคุณเดินผ่านหินเทพารักษ์ที่มีรูปสลักฝาแฝดไป คุณจะถูกดึงไปในอีกมิตินึง เป็นมิติที่ไร้ซึ่งแสงสว่าง.... ไร้ซึ่งดวงอาทิตย์.... มีแค่ความมืดของค่ำคืนอันนิรันดร์ที่ปกคลุมอยู่เหนือท้องนภา  มิติที่มีแต่ความตาย เบื้องหลังของประตูโทริอิจะมีแค่หมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่ง ที่มีเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งของหญิงสาวที่มีความแค้นต่อผู้ที่ทอดทิ้งเธอ ดังก้องกังวาลออกมาจากทางเดินในหมู่บ้านนั้น.............



แม้พวกเราจะเกิดมาด้วยกัน......

                                        แต่พวกเราต่างก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ และตายจากกันอยู่ดี.....
                                                        
   มายุ อามาคุระ ถึง มิโอะ อามาคุระ      

ในอดีตกาลจวบจนปัจจุบัน ผู้คนในทุกพื้นที่มักจะมีความเชื่อเรื่องศักสิทธิ์ การขอขมาให้ได้มาเพื่อผลผลิตที่ดี ผู้คนมักอยู่กับความเชื่อควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตของตน ดั่งเช่นโลกคนเป็นก็จะอยู่ควบคู่ไปกับโลกคนตาย... ในพื้นที่หลายพื้นที่มีสิ่งซ่อนเร้นที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่คนในพื้นที่ละแวกนั้นจะรู้กันดีว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เชื่อมไปยังโลกของคนตาย...
.
.
.
ในหมู่บ้านมินาคามิ ที่ตั้งอยู่ในเขตภูเขามินาคามิ ได้มีสิ่งๆ หนึ่งตั้งอยู่ในชั้นใต้ดินของหมู่บ้านที่ชาวบ้านรู้กันว่าเป็นเรื่องต้องห้าม ห้ามแม้แต่จะเรียกและเอ่ยถึงนามของมันแม้แต่ในบันทึกก็ตาม ชาวบ้านมักจะใช้สัญลักษณ์ แทนตัวของมัน แทนตัวของหลุมขนาดใหญ่ที่รู้กันว่าเป็นทางที่เชื่อมต่อไปยังนรก หลุมนรกอเวจี!  และถ้าผู้ใดมองลงไปใน ผู้นั้นก็จะเสียการมองเห็นไปตลอดกาล มีบันทึกกล่าวไว้ว่าเมื่อ คลุ้มคลั่งถึงขีดสุดความอาฆาตพยาบาทจะพรั่งพรูออกมาและความมืดมิดจะมาเยือน


เนื่องจากหลุมนรกอเวจีอยู่ด้านล่างใต้ช่องหลุมขนาดใหญ่บนเนินเขามิโซโนะอีกทีหนึ่ง จึงทำให้มีแสงสาดส่องเข้ามาในพืนที่บริเวณ ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันสร้างแท่นหินบูชาที่เรียกกันว่าหินสังเวย ซึ่งจะมีเสาหินขนาดใหญ่ทั้งสี่ตั้งอยู่โดยรอบ และใช้เชือกศักสิทธิ์ชิเมนาวะผูกรอบเสาหินนั้น เพื่อปิดปกคลุมหลุมนรกด้านล่าง ไม่ให้ใครก็แล้วแต่ได้มองลงมาเห็นหลุมนรกด้านล่าง



หลุมนรกอเวจี


ในหมู่บ้านมินาคามิมีตระกูลที่มีอำนาจของหมู่บ้านอยู่ 5 ตระกูลนั่นคือ 

- ตระกูลสึจิฮาระที่มีหน้าที่ดูแลเรือนเก็บของที่ใช้ขังผู้กระทำผิดและพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับพิธีเช่นเนินเขามิโซโนะ หรือศาลเจ้าคุเรฮะ  กล่าวกันว่าตระกูลสึจิฮาระได้รับอนุญาตให้ลงโทษผู้กระทำผิดได้เลย

 - ตระกูลโอซากะที่ดูแลมอบหมายเป็นประตูของหมู่บ้าน มีหน้าที่ดูแลเส้นทางจากเนินเขามิโซโนะ การที่คนนอกจะเข้ามาในหมู่บ้านได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับตระกูลโอซากะ

- ตระกูลคิริวและทาจิบานะ มีหน้าที่ร่วมในพิธีและบ้านของทั้งสองยังเป็นบ้านแฝดอีกด้วย

แต่ตระกูลที่มีอำนาจทั้ง 4 และหมู่บ้านทั้งหมด จะอยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลผู้มีมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวในหมู่บ้านนั่นคือ คุโรซาวะ

นับวันๆ ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งมากขึ้น ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของคนในหมู่บ้าน ทำให้พวกเขาเป็นทุกข์อย่างมาก คณะหัวหน้าหมู่บ้านก็กังวลอย่างมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นและสงสัยเป็นอย่างมากกว่าทำไม ถึงได้คลุ้มคลั่งเพียงนี้ ในสมัยนั้นมีความเชื่อที่ว่าความเจ็บปวดจะสามารถปลอบประโลม ให้ประตูนรกปิดได้ผู้นำหมู่บ้านคนแรกที่ใจกล้าจึงได้ทำให้ตนเองบาดเจ็บให้ได้มากที่สุด และกระโดดลงไปใน ……..   ผลปรากฎว่า ได้สงบลง และเป็นที่ยอมรับกันในหมู่บ้านว่าวิธีนี้ได้ผล....
               
หลังจากนั้นชาวบ้านก็ปกปิดเรื่องพิธีกรรมคุซาบิจากคนนอกหมู่บ้าน  แล้ววางแผนกันจับคนนอกหมู่บ้านหรือแขกที่เข้ามาเยือนหมู่บ้านในวันที่นรกคลุ้มคลั่งมาประกอบพิธีกรรมเฉือนร่างที่ห้องทำพิธี  โดยจะใช้เชือกมัดพวกเขาแล้วตรึงพวกเขาไว้บนกลางอากาศกลางห้อง ทำร้ายให้ได้รับความเจ็บปวด  ก่อนที่จะไปที่หลุมนรกอเวจี แล้วโยนคนที่เป็นคุซาบิลงไปในหลุม เพื่อปลอบประโลมให้หลุมนรกสงบสุขจนมันถูกเรียกว่าพิธีกรรมซ่อนเร้น

ห้องที่ทำพิธีคุซาบิ จะอยู่ภายในบ้านของตระกูลคุโรซาวะ แต่ทางเข้าที่ไปสู่ประตูนรกจะเชื่อมต่อกับทางเดินชั้นใต้ของหมู่บ้าน และทางเดินใต้ดินนั้นก็เชื่อมต่อกับบ้านต่างๆ และหลายๆที่ที่สำคัญในหมู่บ้านเช่นกัน นอกจากนี้ในทางเดินใต้ดินนั้นก็เป็นสถานที่ไว้เก็บของมีค่าของหมู่บ้านด้วย

ด้วยการที่มันเชื่อมต่อกับหลายๆที่ ทำให้ชาวบ้านได้เพิ่มผู้เฝ้าทางเดินใต้ดินไว้ เพื่อป้องกันความปลอดภัย ไม่ให้คนเข้าไปในบริเวณหลุมนรกโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจับคนที่กระทำผิดของหมู่บ้านหรือผู้ที่เคยมองหลุมนรก มาเป็นผู้ป้องกัน โดยป้องกัน โดยผู้ป้องกันเหล่านั้นก็จะเดินป้วนเปี้ยนอยู่ภายในทางเดินใต้ดิน ชาวบ้านเรียกผู้ป้องกันเหล่านี้ว่า ผู้อาลัย



 พิธีคุซาบิ

           แต่ว่าผ่านไปไม่กี่ปีระยะเวลาที่หลุมนรกสงบลงด้วยคุซาบิก็สั้นลง ไม่นานหลุมนรกก็คลุ้มคลั่งอีกครั้ง ชาวบ้านที่เห็นก็หารือกันว่าทำไมการใช้พิธีกรรมคุซาบิเริ่มไม่ค่อยจะได้ผลราวกับว่ามันต้องการอะไรบางอย่างที่มากกว่านี้

ในตอนนั้นพวกเขาก็สังเกตเห็นสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นในหมู่บ้าน เมื่อชาวบ้านในหมู่บ้านให้กำเนิดบุตร มักจะเป็นฝาแฝดอยู่บ่อยครั้ง ชาวบ้านเลยเชื่อกันว่า ฝาแฝดที่เกิดมาคือคนๆ เดียวกัน แต่แยกกันเป็นสองคน ในสมัยนั้นไม่มีกฎหมายระบุไว้ว่าคนที่เกิดก่อนจะเป็นพี่และคนที่เกิดหลังเป็นน้อง ชาวบ้านเลยเชื่อกันว่าคนที่เกิดก่อนเป็นน้อง และคนที่เกิดหลังเป็นพี่ คนที่เป็นน้องคือส่วนเกินและจะต้องไปรวมกับคนที่เป็นพี่ สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งที่หลุมนรกต้องการจริงๆ ก็ได้

ชาวบ้านเลยคิดจะประกอบพิธีกรรม โดยให้ฝาแฝดคนที่เชื่อว่าเป็นพี่ฆ่าคนน้องโดยการบีบคอ เมื่อคนน้องเสียชีวิตจะมีผีเสื้อสีชาดปรากฎอยู่ที่คอคนน้อง ก่อนที่พวกเขาจะให้ผู้อาลัยโยนร่างที่ไร้วิญญาณของคนน้องลงไปในหลุมนรก

พอวันพิธีกรรมใกล้เข้ามา เหล่าผู้อาลัยจะถูกเย็บตาทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อาลัยมองเข้าไปในหลุมนรก ในระหว่างที่โยนร่างของแฝดลงไป

เมื่อฝาแฝดโตขึ้นราวๆ 15 ปี  ก็จะถูกรับเลือกให้เป็นผู้ประกอบพิธีกรรม และจะถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในบ้านของตระกูลคิริวและทาจิบานะเพื่อชำระล้างมลทิน  โดยฝาแฝดที่ประกอบพิธีจะใส่ชุดกิโมโนสีขาวผูกเชือกสีแดงไว้ที่ลำตัว เป็นการใส่ชุดกิโมโนแบบขวาทับซ้าย(ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นการใส่ของคนตาย)



          

การใส่กิโมโนแบบปกติ(ซ้าย)การใส่กิโมโนของมิโกะแฝด(ขวา) แตกต่างกันส่วนลำตัวด้านบน
                      

ชาวบ้านมักจะเลือกฝาแฝดที่เป็นเพศหญิงมาประกอบพิธีกรรมเสมอและเรียกแฝดคู่นั้นว่ามิโกะแฝด แต่เมื่อปีไหนไม่มีฝาแฝดหญิงหรือฝาแฝดหญิงไม่พร้อม ชาวบ้านจะเลือกแฝดชายมาทำหน้าที่แทน โดยแฝดชายที่นำมาประกอบพิธีจะถูกเรียกว่า ชายหนุ่มผู้ทำพิธี

เมื่อถึงคืนวันพิธีสังเวยสีชาด ประตูของบ้านคิริว คุโรซาวะและทาจิบานะจะถูกล็อคอย่างแน่นหนา ส่วนชาวบ้านทั้งหมดจะเดินขึ้นไปที่แท่นเสาหินขนาดใหญ่ที่ชาวบ้านสร้างไว้เพื่อปกคลุมประตูนรกบนเนินเขามิโซโนะ ชาวบ้านจะคลายหินสังเวยที่ปิดประตูหลุมออก และจุดไฟรอบๆ ด้วยคบเพลิงเพื่อให้สว่าง แสงจันทร์จากด้านบนจะสาดส่องผ่านช่องบนเนินเขา เข้ามาในบริเวณชั้นใต้ดินที่หลุมนรกตั้งอยู่

ส่วนนักบวชจะพาฝาแฝดคู่นั้นลงไปยังหลุมนรกด้านล่างซึ่งมีผู้อาลัยเฝ้าอยู่ นักบวชทุกคนที่ทำพิธีข้างล่างจะต้องใช้ยันต์ปิดใบหน้าของตน เนื่องจากพิธีไม่ได้รับอนุญาตให้ใครก็แล้วแต่มองดู

           ฝาแฝดคนที่เชื่อว่าเป็นน้องจะนอนหงายบนแท่นหินและคนที่เชื่อว่าเป็นพี่จะนอนคร่อมคนน้อง หลังจากนั้นนักบวชจะเริ่มสวดมนต์และร้องเพลงของพิธีก่อนที่จะใช้คฑากระแทกกับพื้นเป็นจังหวะ เป็นสัญญาณที่บอกให้คนคนพี่บีบคอคนน้อง เมื่อคนน้องเสียชีวิต จะมีผีเสื้อปรากฎบนคอของคนน้อง ผู้อาลัยก็จะโยนร่างของคนน้องลงไปในหลุมนรก

เมื่อพิธีสำเร็จ วิญญาณของคนน้องได้กลายเป็นผีเสื้อสีชาด บินขึ้นสู่ท้องนภาผ่านช่องหลุมบนเนินเขามิโซโนะที่อยู่หน้าหมู่บ้าน ชาวบ้านทั้งหมดที่ไปรวมตัวกันบนเนินเขามิโซโนะก็จะร้องเพลงและสวดมนต์ให้วิญญาณของแฝดที่ตายไป เพื่อส่งแฝดคนนั้นไปยังโลกหน้า ชาวบ้านเลยตั้งชื่อพิธีนี้ว่า "การสังเวยสีชาด"

ส่วนคนพี่ที่ยังมีชีวิตจะถูกเรียกว่า ผู้หลงเหลือ เชื่อกันว่าเป็นผู้ที่ดูแลโลกคนเป็น เมื่อพิธีสำเร็จจะมีสัญลักษณ์ผีเสื้อสีแดงอยู่ตรงคอเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า คนๆนั้นและแฝดของเขาเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว แต่หากคนที่เชื่อกันว่าเป็นคนพี่รู้สึกบาป สีผมของเขาจะเปลี่ยนสีกลายเป็นสีขาว หลังพิธีสำเร็จชาวบ้านก็พบว่าหลุมนรกถูกทำให้สงบไปอีก 10 ปี ด้วยสาเหตุที่ทำให้นรกสงบสุขได้นานนับสิบปี ชาวบ้านจึงเคารพมิโกะแฝดเปรียบดั่งเทพเจ้า

เมื่อบูชายัญฝาแฝดสำเร็จหนึ่งคู่ ชาวบ้านจะสลักหินเทพารักษ์เป็นรูปฝาแฝดขึ้นมาหนึ่งอัน แล้วนำไปตั้งในที่ใดที่หนึ่งในหมู่บ้านเพื่อปกป้องหมู่บ้าน ว่ากันว่ารูปสลักฝาแฝดนั้นคนนึงจะมีหัวและอีกคนนึงจะไม่มีหัว ดั่งคนพี่ที่ยังมีชิวิตและคนน้องที่เสียชีวิตในพิธีนั่นเอง

ชาวบ้านได้แอบประกอบพิธีอันโหดร้ายนี้มาทุกๆ 10 ปี และแอบจับคนนอกมาทำพิธีคุซาบิเมื่อฝาแฝดของหมู่บ้านไม่พร้อมอยู่เรื่อยไป....

ถึงหมู่บ้านจะมีแต่เรื่องเครียดๆ แต่ในหมู่บ้านก็ยังมีงานเทศกาลที่ทำให้ชาวบ้านรู้สึกสนุกสนาน นั่นคือเทศกาลแห่งเงา เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นบริเวณศาลเจ้าคุเรฮะ เวลาเดียวกันกับพิธีสังเวยสีชาด แต่เดิมเทศกาลนี้ถูกดูแลโดยคุเรฮะที่เป็นมิโกะอยู่ในศาลเจ้า และศาลเจ้านี้ถูกตั้งชื่อตามเธอหลังเธอเสียชีวิต กล่าวกันว่าคุเรฮะมีผมสีขาวตั้งแต่กำเนิด เนื่องจากแฝดของเธอตายตั้งแต่คลอดและเธอก็ยังมีพลังในการอ่านใจคนได้ ทำให้เธอรู้สึกถึงความโศกเศร้าของผู้คนมากมาย


                                       
คุเรฮะ


เทศกาลแห่งเงานี้เป็นเทศกาลที่ชาวบ้านจะปล่อยโคมลอยนับพัน เพื่อระลึกถึงวิญญาณของแฝดที่กลายเป็นผีเสื้อสีแดง เทศกาลนี้ยังแพร่หลายไปยังพื้นที่และหมู่บ้านระแวกใกล้เคียงอีกด้วย 

 
ภาพเทศกาล

                                                       
ผ่านมาหลายสิบปี จนถึงยุคหนึ่งได้มีสองฝาแฝดคู่หนึ่งได้พยายามหนีออกจากหมู่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงชะตากรรมของพวกตน โดยใช้ทางใต้ศาลเจ้าคุเรฮะ แต่ก็ถูกชาวบ้านจับได้และฆ่าทิ้ง

ผู้นำในการทำพิธีโกรธมากจึงสร้างประตูกลไกปิดทางออกไว้ในต้นไม้เก่าแก่ เพื่อไม่ให้ฝาแฝดคู่ไหนหนีออกจากหมู่บ้านอีก และมอบแผ่นหมุนที่ใช้ในการเปิดประตู ให้ตระกูลที่มีอำนาจทั้งสี่และสืบทอดกันต่อลงมา และยังหลอกคนรุ่นหลังถึงสองฝาแฝดคู่นั้นว่าสองฝาแฝดนั้นโดนหินในถ้ำถล่มทับตาย
          


            ผ่านมาเป็นเวลานานตระกูลสึจิฮาระได้หมดสิ้นไป บ้านของตระกูลนั้นถูกปล่อยให้ร้างและไม่มีคนเข้าไปอยู่ ในช่วงของฝาแฝดตระกูลคิริวที่ชื่อว่าอาซามิ(คนน้องตามความเชื่อ) และอาคาเนะ(คนพี่ตามความเชื่อ) ที่อายุยังไม่ถึง 15 แต่ในตอนนั้นไม่มีฝาแฝดอยู่เลย ชาวบ้านจึงจำเป็นต้องนำทั้งสองมาประกอบพิธีกรรมสังเวยสีชาด


ฝาแฝดตระกูลคิริว

ด้วยความที่ยังเด็กมากทำให้อาคาเนะไม่มีแรงพอที่จะบีบคออาซามิให้ตายได้ นักบวชเลยพยายามมาช่วย แต่อาซามิปฏิเสธเพราะเธออยากตายด้วยมือพี่สาวคนเดียว


พิธีกรรมของทั้งคู่สำเร็จ อาซามิกลายเป็นผีเสื้อสีชาด อาคาเนะได้รับตราผีเสื้อที่คอ เหตุการณ์นั้นทำให้อาคาเนะรู้สึกจิตตกเป็นอย่างมาก เธอรู้สึกเหงาที่ไม่มีอาซามิอยู่คุยด้วยแล้ว  คิริว โยชิทัทสึ ช่างทำตุ๊กตาผู้เป็นพ่อ เห็นลูกสาวของตนเป็นแบบนั้น ด้วยความที่ไม่อยากให้ลูกสาวของตัวเองรู้สึกโดดเดี่ยว เขาจึงได้สร้างตุ๊กตาอาซามิมาเป็นตัวแทนของอาซามิ


อาคาเนะเริ่มกลับมาเป็นปกติ เธอเล่นและพูดคุยกับตุ๊กตาอาซามิอย่างสนุกสนาน แต่เวลาผ่านไปโยชิทัทสึก็พบกับเรื่องราวแปลกประหลาดเมื่อคืนหนึ่งเขาพบว่าลูกสาวของตนออกมาเดินเล่นในบ้าน ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไรจนกระทั่ง....



เสียงของไม้ดังมาจากเท้าของลูกสาวเขา ทำให้เขารู้ทันทีว่านั่นไม่ใช่อาคาเนะแต่เป็นตุ๊กตาอาซามิ!


โยชิทัทสึเห็นดังนั้น จึงคิดว่าวิญญาณชั่วร้ายอาจจะมาสิงตุ๊กตาอาซามิ รวมทั้งมีความเชื่อที่กล่าวว่าวิญญาณที่มาสิงตุ๊กตา มันจะขโมยวิญญาณของคนเป็น


โยชิทัทสึเห็นว่าตุ๊กตาอาซามิเริ่มควบคุมลูกสาวของเขา ทำให้อาคาเนะเริ่มกลายเป็นตุ๊กตาทีละนิดๆ เลยวางแผนที่จะแขวนคอตุ๊กตาอาซามิ และโยนมันลงสู่หลุมนรก


แต่ตุ๊กตาอาซามิรู้ทันและกระซิบบอกอาคาเนะ อาคาเนะที่แน่นอนว่าไม่อยากเสียอาซามิไปอีกครั้ง จึงได้จัดการพังกลไกที่ไปสู่ทางเดินใต้ดิน


โยชิทัทสึรู้ว่าอาคาเนะได้พังกลไกแล้วเอาชิ้นส่วนกลไกไปซ่อน แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ วิญญาณของอาซามิตัวจริงจึงมาหาโยชิทัทสึผู้เป็นพ่อ และบอกเขาว่า เธอไม่ต้องการตัวแทน เพราะตอนนี้เธอเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับอาคาเนะตลอด


โยชิทัทสึรู้สึกผิดที่สร้างตุ๊กตาขึ้นมาในทันที แต่วิญญาณอาซามิได้บอกโยชิทัทสึให้ช่วยฆ่าตุ๊กตาที่เป็นตัวแทนของเธอ รวมถึงบอกที่ซ่อนของชิ้นส่วนที่อาคาเนะเอาไปซ่อน


แต่ในระหว่างที่โยชิทัทสึกำลังจะหาชิ้นส่วน เขาก็ถูกอาคาเนะที่ถูกควบคุมโดยวิญญาณร้ายในตุ๊กตาอาซามิฆ่าตาย และในที่สุดวิญญาณของอาคาเนะก็โดนวิญญาณชั่วร้ายดูดกลืน


(มีทฤษฎีที่ว่า ชาวบ้านที่รู้เรื่องในตอนหลัง ได้จับตุ๊กตาอาซามิและอาคาเนะมาแขวนคอเป็นการลงโทษ เนื่องจากฆ่าพ่อของตน)

เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ตระกูลคิริวหมดสิ้นไป แต่เนื่องจากเป็นตระกูลที่อยู่ในบ้านแฝดที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมฝาแฝดเป็นอย่างมาก คนในตระกูลคุโรซาวะจึงยึดชื่อของตระกูลคิริวมา และสืบเชื้อสายเสียเอง




ผ่านมาถึงคราฝาแฝดของตระกูลโอซากะ มุสุบิ(เชื่อกันว่าเป็นคนน้อง)และ สึซุริ(เชื่อกันว่าเป็นคนพี่) ทั้งสองเป็นที่เขาเคารพต่อคนในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก เวลาพูดคุย ชาวบ้านจะพูดกับพวกเธอด้วยความเกรงใจเสมอ โดยที่ทั้งสองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองมีความสามารถพิเศษที่สามารถแบ่งปันความเจ็บปวดร่วมกันได้


มุสุบิ(ซ้าย)และสุซุริ(ขวา)กำลังเล่นกันในสวนดอกไม้

เมื่อโตขึ้นพวกเธอมักจะเดินตามผีเสื้อสีแดงไปในสวนดออกไม้ โดยที่สงสัยว่าทำไมหมู่บ้านถึงมีสีแดงมากมายเช่นนี้

มุสุบิแอบหลงรักผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า คิอิจิ วันหนึ่งเธอได้ไปสารภาพรักกับคิอิจิ แต่ก็ถูกปฏิเสธมาด้วยเหตุผลที่ชาวบ้านรู้กันว่า ไม่นานทั้งสองก็ต้องกลายเป็นหนึ่งเดียว มุสุบิที่เสียใจอย่างมาก ได้เข้ามากอดสึซุริผู้เป็นฝาแฝด แต่ด้วยเหตุผลนั้นจึงทำให้มุสุบิเหลือแค่สึซุริคนเดียวแล้ว

เมื่ออายุถึงวัย พวกเธอก็ถูกย้ายมาอยู่บ้านทาจิบาน่าและคิริว ในวันประกอบพิธีกรรม พ่อของทั้งคู่ได้มาบอกมาว่าทั้งคู่ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้มุสึบิและสึซุริตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้น

นักบวชพาทั้งคู่ลงไปในที่หลุมนรก ทั้งคู่ตกใจมากที่มีหลุมขนาดใหญ่อยู่ในหมู่บ้านด้วย นักบวชเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทั้งคู่ฟัง มุสุบิเห็นว่ามันเป็นชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และบอกให้สึซุริฆ่าเธอ

สึซุริต้องจำใจฆ่ามุสึบิทั้งน้ำตา ด้วยพลังที่พวกเธอสองคนมีร่วมกัน ทำให้ผมของสึซุริเป็นสีขาวในทันที มุสุบิกลายเป็นผีเสื้อ พิธีของทั้งคู่สำเร็จไปด้วยดี


สึซูริที่มีผมสีขาวและมีสัญลักษณืผีเสื้อตรงคอ


ความรู้สึกเสียใจและรู้สึกบาปของสึซุริที่ได้ฆ่าแฝดของตนส่งผลให้สึซุริฝันประหลาด ฝันถึงคฤหาสน์หลังหนึ่งที่มีหิมะตก.... คฤหาสน์แห่งการหลับไหล...

อ่านเนื้อเรื่องของสึซุริและมุสุบิแบบเต็มๆได้ที่ => คลิก

(*ในที่นี้ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเหตุการณ์ของใครเกิดก่อนระหว่างคิริวและโอซากะ โอซากะอาจจะเกิดก่อนคิริวก็ได้ )







            ผ่านมาถึงยุคของฝาแฝดคุโรซาวะ  คุโรซาวะ เรียวคัง (ผู้เชื่อว่าเป็นพี่)และฝาแฝดผู้ไม่เอ่ยนาม(ผู้เชื่อว่าเป็นน้อง) ได้ทำพิธีกรรมสำเร็จ ส่งผลให้สีผมของเรียวคังกลายเป็นสีขาว


พอเข้าสู่ยุคเมจิได้มีกฎหมายฝาแฝดขึ้นมาว่าคนที่เกิดมาคนแรกเป็นพี่ แต่คนที่เกิดมาตอนหลังเป็นน้องเกิดขึ้น ซึ่งขัดกับประเพณีในหมู่บ้านมินาคามิ แต่เนื่องจากเป็นธรรมเนียมที่สืบกันมาอย่างยาวนาน ผู้คนในหมู่บ้านจึงไม่เปลี่ยนแปลงประเพณีของตนตามกฎหมาย

ในสมัยนั้น เรียวคังได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของตระกูลคุโรซาวะ นั่นหมายถึงเขาต้องเป็นผู้นำในการทำพิธีกรรมและเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือทุกคนในหมู่บ้าน เขาแต่งงานกับภรรยาและมีลูกสาวฝาแฝดอยู่สองคน โดยผู้ที่เกิดก่อนมีนามว่า ซาเอะ(ผู้เชื่อว่าเป็นคนน้อง) และผู้ที่เกิดมาทีหลังมีนามว่า ยาเอะ(ผู้เชื่อว่าเป็นคนพี่) ด้วยความโศกเศร้าของแม่ที่รู้ว่าชะตากรรมของลูกสาวทั้งสองคนจะเป็นเช่นไร เธอจึงคิดสั้นฆ่าตัวตายโดยการกระโดดลงไปในหลุมนรกอเวจี ทำให้เรียวคังต้องดูแลเลี้ยงดูแฝดทั้งสองแต่เพียงผู้เดียว 
ซาเอะ(ซ้าย)และยาเอะ(ขวา)

ด้วยการที่ตนรู้ถึงชะตาของทั้งสอง เรียวคังจึงเลี้ยงซาเอะและยาเอะแบบปล่อยให้มีอิสระ ในตอนเด็ก ทั้งสองคนได้ไปเล่นที่แม่น้ำแถวหมู่บ้าน ทั้งสองสัญญากันว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป

ซาเอะและยาเอะมีความสนิทสนมกับ ทาจิบานะ  อิทสึกิ(ผู้เชื่อว่าเป็นคนพี่) และ  ทาจิบานะ มุทสึกิ (ผู้เชื่อว่าเป็นคนน้อง) สองฝาแฝดหนุ่มจากตระกูลทาจิบานะซึ่งโตกว่าซาเอะและยาเอะ 1 ปี

แฝดหนุ่มทั้งสองคนมีน้องสาวหนึ่งคนที่ชื่อว่า ทาจิบานะ จิโตเสะ  จิโตเสะเป็นคนที่สายตาไม่ค่อยดี จึงทำให้เธอมองไม่เห็นและหลงไปเดินในที่อันตรายอยู่เรื่อย อิทสึกิเลยแก้ปัญหาด้วยการมอบกระดิ่งให้จิโตะเสะ ไว้ว่าวันไหนที่จิโตเสะตกที่นั่งลำบาก เธอจะได้สั่นกระดิ่งเพื่อเรียกให้อิทสึกิมาช่วยได้

สามพี่น้องตระกูลทาจิบานะ

อิทสึกิได้มีเพื่อนสนิทที่เป็นคนนอกหมู่บ้าน นามว่ามุนาคาตะ เรียวโซ  ทั้งสองรู้จักกันและสนิทกันตั้งแต่เด็ก หลังจากที่เรียวโซออกจากหมู่บ้านไป พวกเขาทั้งสองก็ส่งจดหมายถึงกันตลอด 

แต่เมื่อวันพิธีกรรมซึ่งอิทสึกิและมุทสึกิ จะต้องเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมใกล้เข้ามา ก็ทำให้เขากังวลมากขึ้น เพราะอิทสึกิกับมุทสึกิเป็นฝาแฝดที่รักกันมาก อิทสึกิไม่อยากจะฆ่าแฝดของตน เขาเขียนความกังวลของตนไปให้เรียวโซอ่าน

อิทสึกิได้วางแผนหนีออกจากหมู่บ้านไปพร้อมกับมุทสึกิโดยใช้ทางลับใต้ศาลเจ้าของคุเรฮะ เพื่อที่ตนและมุทสึกิจะได้ไม่ต้องตกอยู่กับชะตากรรมอันโหดร้าย แต่มุทสึกิที่มีร่างกายอ่อนแอบอกว่าเขาจะไม่หนี เขาจะยอมกลายเป็นหนึ่งเดียวกับอิทสึกิ อีกทั้งซาเอะกับยาเอะจะได้ไม่ต้องฆ่ากันเองด้วย อิทสึกิจึงต้องยอมมุทสึกิไป

เมื่อถึงวันพิธีอิทสึกิได้ใช้มือบีบคอฆ่ามุทสึกิ แต่ด้วยการที่อิทสึกินั้นรักมุทสึกิมากเกินไปจึงทำให้พิธีกรรมของทั้งสองล้มเหลว

ด้วยความล้มเหลวของทาจิบานะ ส่งผลให้มุทสึกิที่เสียชีวิตไม่ได้กลายเป็นผีเสื้อสีชาด ความคลุ้มคลั่งของนรกอเวจีเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้พืชผักทางการเกษตรของชาวบ้านตายไปด้วย

เนื่องจากพิธีล้มเหลว ชาวบ้านจึงต้องหาฝาแฝดมาทำพิธีกรรมให้สำเร็จภายในหนึ่งปี เพื่อแก้สถานการณ์

เรียวคังที่พยายามหาสาเหตุของการคลุ้มคลั่งของนรก ได้รู้ว่าการคลุ้มคลั่งครั้งนี้มีความรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์หมู่บ้าน เขาจึงได้ใช้อำนาจหาฝาแฝดจากหมู่บ้านระแวกใกล้เคียงมาประกอบพิธีกรรม แต่ก็ไม่มีสักคู่ ตอนนี้ฝาแฝดที่เหลืออยู่มีแค่ลูกสาวทั้งสองของเขา ซาเอะและยาเอะเขาจึงตัดสินใจจะส่งทั้งสองไปอยู่ที่บ้านทาจิบาน่าเพื่อที่จะชำระล้างมลทิน แต่ว่ากว่าทั้งสองจะชำระล้างมลทินจนเสร็จสิ้น คงไม่ทันการแน่!

อิทสึกิที่เสียใจและรู้สึกผิดต่อมุทสึกิที่ทำให้มุทสึกิกลายเป็นผีเสื้อไม่ได้ และต้องทำให้ซาเอะและยาเอะเป็นเหยื่อรายต่อไป ทำให้สีผมสีดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาว อิทสึกิได้เขียนจดหมายถึงเรียวโซให้มาช่วยซาเอะและยาเอะไป ในวันพิธีกรรม จิโตเสะที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถึงการมองเห็นจะไม่ค่อยดีแต่เธอก็เห็นสีผมของพี่ชายเธอได้ เธอรู้สึกสงสัยว่าทำไมผมของอิทสึกิเป็นสีขาว และมุทสึกิหายไปไหนทำไมยังไม่กลับมา


อิทสึกิผมสีขาว

อิทสึกิได้มอบกุญแจห้องของเขาให้จิโตเสะและกำชับจิโตเสะไว้ว่า ห้ามมอบกุญแจห้องของตนให้คนอื่น ยกเว้นเพื่อนของตน จิโตเสะที่รู้สึกดีใจเพราะได้รับงานสำคัญจากพี่ชายของตนก็รับปาก

อิทสึกิได้ย้ายไปอยู่อาศัยในเรือนเก็บของ ในฐานะของผู้หลงเหลือ ในระหว่างนั้นอิทสึกิได้วางแผนบอกให้ซาเอะและยาเอะเตรียมตัวหนีออกจากหมู่บ้านในวันพิธีกรรมไปซะ เพราะตนไม่อยากให้ทั้งสองต้องเจอชะตากรรมแบบเดียวกับเขาและมุทสึกิ

เรียวโซที่ตอนนั้นได้เป็นลูกศิษย์ของมาคาเบะ เซอิจิโร่  ได้รับจดหมายจากอิทสึกิ ก็เป็นห่วงเพื่อนสนิทของตนขึ้นมา จึงอยากจะไปหาเพื่อนที่หมู่บ้านมินาคามิ แต่ไม่มีกำลังทรัพย์และของที่ใช้เดินทางมากพอ เขาจึงไปปรึกษากับอาจารย์ของเขา

เซอิจิโร่ที่ได้รับคำขอมาจากลูกศิษย์ของตน จึงศึกษาข้อมูลของหมู่บ้านมินาคามิ และพบว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีพิธีกรรมลับซ่อนอยู่ จึงสนใจเป็นอย่างมาก

เซอิจิโร่นำเรื่องนี้ไปบอก ดร.อาโซ เพื่อนของเขาที่กำลังจะวางแผนไปสำรวจที่อื่น และขอยืมกล้อง Obscura กับโปรเจคเตอร์มา เมื่อได้ฟังคำขอของเพื่อน ดร.อาโซ จึงมอบสิ่งประดิษฐ์ของตนให้เซอิจิโร่



มุนาคาตะ เรียวโซ (ซ้าย)และมาคาเบะ เซอิจิโร่(ขวา)

เซอิจิโร่และเรียวโซเดินทางมาถึงหมู่บ้านระแวกใกล้เคียง แต่เห็นว่าจะไปหมู่บ้านมินาคามิคงใช้เวลาอีกนาน จึงพักอยู่ที่นั่นก่อน 

เขาถามชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นเกี่ยวกับหมู่บ้านมินาคามิ แต่ทุกคนก็เงียบและไม่พูดถึงใดๆเกี่ยวกับหมู่บ้านนั้น

           หญิงชราที่อยู่ในบ้านที่เขาพัก ต้อนรับทั้งสองด้วยน้ำชา และถามเซอิจิโร่ว่า"จะไปที่หมู่บ้านนั้นจริงๆ เหรอ?" แถมยังเตือนพวกเขาให้ยกเลิกความคิดนั่นซะ เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง เซอิจิโร่ขอบคุณหญิงชรา ก่อนที่จะออกจากบ้านหลังนั้นไป

           หลังจากที่ออกมาจากหมู่บ้านนั้น พวกเขาทั้งสองก็รู้สึกว่าชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นมองเขาอย่างไม่พอใจ เรียวโซได้สังเกตเห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งเดินตามเขามา 

           เซอิจิโร่ถามเด็กคนนั้นว่า "จะไปที่ภูเขางั้นเหรอ?" เด็กคนนั้นก็ตอบว่า"ไม่" แล้วถามคำถามเดียวกันกลับมา เซอิจิโร่บอกเด็กคนนั้นว่า "เขาจะไปที่ภูเขา" คำตอบนั่นทำให้เด็กหน้าซีดทันที เด็กคนนั้นยังเตือนทั้งสองอีกว่า "คุณไม่ควรไปที่ภูเขาในปีที่มีพิธีสังเวยสีชาดนะ ไม่งั้นปีศาจจะจับตัวคุณไป" ก่อนที่จะหนีกลับหมู่บ้านไป

             ในที่สุดเซอิจิโร่และเรียวโซก็ได้เดินทางมาถึงหมู่บ้านมินาคามิ เขาเดินมาถึงเนินเขามิโซโนะ และมองมายังหมู่บ้าน เขาพบว่าทั้งหมู่บ้านนั้น ถูกปกคลุมด้วยหมอก

             ทั้งสองเดินมายังหน้าบ้านหลังใหญ่ของตระกูลโอซากะ ที่อยู่หน้าสุดของหมู่บ้าน เรียวโซได้ตะโกนเรียกบอกคนในบ้านว่าเขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กของอิทสึกิ และจะมาหาอิทสึกิ

             มีชายชรา ออกมาจากบ้านโอซากะและมองดูทั้งสองอย่างเงียบๆ ก่อนจะบอกให้รออยู่ที่นี่ เพราะเขาจะไปถามผู้นำหมู่บ้านตระกูลคุโรซาวะ

             ในตอนนั้นเรียวคังที่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนเหยื่อสังเวยในพิธีกรรมก็คิดอะไรบางอย่างออก เขาคิดจะให้คนนอกที่มาเยี่ยมผู้นี้กลายเป็นคุซาบิเพื่อปลอบประโลมนรก ในระหว่างที่ซาเอะและยาเอะกำลังชำระล้างมลทินอยู่


เรียวคังได้ออกมาต้อนรับเซอิจิโร่และเรียวโซอย่างอบอุ่นด้วยตัวเอง รวมถึงพาไปยังบ้านของตัวเอง ที่นั่นเรียวคังให้ซาเอะและยาเอะมาแนะนำตัวต่อทั้งสองด้วย ทั้งสองได้สบตากับเรียวโซก็เขินอายนิดหน่อย เพราะทั้งซาเอะ ยาเอะและเรียวโซก็รู้จักกันมาก่อนแต่ไม่ได้พบกันมานาน

เซอิจิโร่ใช้กล้อง Obscura ถ่ายรูปซาเอะและยาเอะไว้ และมอบให้แฝดทั้งสอง ซาเอะและยาเอะตกใจมากที่กล่องประหลาดๆ สามารถสร้างรูปภาพของตนได้ แต่หน้าของซาเอะในรูปนั้นดูเบลอๆ หน่อย (เหมือนเป็นลางของผู้ที่จะถูกฆ่าในพิธี) แต่ซาเอะก็คิดว่าสิ่งนี้มันน่าเก็บไว้ดูจริงๆ



ภาพถ่ายของยาเอะและซาเอะ

เรียวคังที่เห็นว่ามีโอกาสทองลอยมาอยู่ในกำมือแล้ว จะทำให้เล็ดลอดหนีออกไปไม่ได้ จึงให้เซอิจิโร่ได้เข้าพักที่บ้านของโอซากะ และบอกเขาว่าจะสำรวจหมู่บ้านตามใจชอบแค่ไหนก็ได้ อีกทั้งยังบอกว่าในบ้านคุโรซาวะของเขานั้น มีหนังสือตำนานเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านจำนวนมากพอ ซึ่งจะทำให้เขาอยู่เก็บเกี่ยวเรื่องราวของหมู่บ้านนี้ได้นานพอดู


เซอิจิโร่ได้ใช้กล้อง Obscura ถ่ายรูปสถานที่ต่างๆ ในหมู่บ้านและก็พบกับสิ่งลึกลับเข้ามาโจมตีเขา ทำให้เขารู้ว่ากล้องที่เขาเอามามันอันตรายเกินไป

เขาได้ทำการสำรวจหมู่บ้านและพบกับเรือนเก็บของที่อยู่ข้างๆ บ้านร้างของตระกูลสึจิฮาระ เขารู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ในนั้นจึงจะเข้าไปดู แต่ชายที่ดูเหมือนจะเป็นคนเฝ้ามาบอกเขาว่าที่นี่ไม่ได้ใช้นานแล้ว ทำให้เซอิจิโร่ต้องกลับไป(เพราะคนในหมู่บ้านไม่อยากให้เรียวโซและเซอิจิโร่พบกับอิทสึกิที่อยู่ข้างในเรือนเก็บของ)

เซอิจิโร่ได้เข้าไปศึกษาหาข้อมูลในบ้านของคุโรซาวะ เขาพบทางแยกที่หลังห้องอัญเชิญของตระกูลคุโรซาวะและพบว่ามันพูกล็อคด้วยกลไกบางอย่าง แต่ตอนนั้นเอง สาวรับใช้ของตระกูลคุโรซาวะก็มาเตือนเขาว่า ที่นั่นเป็นที่ศักสิทธิ์ ถึงแม้จะเป็นแขกคนสำคัญ แต่ก็ไม่ให้เข้าใกล้สถานที่นั้น อีกทั้งผู้นำหมู่บ้านจะไม่พอใจอีกด้วย เซอิจิโร่กล่าวคำขอโทษแล้วรีบออกมา

วันต่อมาเซอิจิโร่ ถูกเชิญให้เข้าพักที่บ้านใหญ่คุโรซาวะ แต่เขาก็สงสัยว่าทำไมถึงให้เขามาพักที่บ้านใหญ่คนเดียว แต่ไม่ชวนเรียวโซมาด้วย

ในตอนนั้น เรียวโซได้ออกตามหาอิทสึกิแต่ก็ไม่พบ พอเอาไปถามชาวบ้าน ชาวบ้านก็โกหกบอกว่าอิทสึกิป่วยตายไปนานแล้ว แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เรียวโซสงสัยขึ้นไปอีกเพราะอิทสึกิเพิ่งจะส่งจดหมายหาเขาก่อนที่เขาจะออกเดินทางมา เรียวโซได้พบบันทึกของอิทสึกิและรู้ว่าอิทสึกิกำลังหาทางหนีออกจากหมู่บ้าน ในระหว่างนั้นเขาก็พบกับจิโตเสะน้องสาวของอิทสึกิ ดูเหมือนว่าจิโตเสะอยากจะให้อะไรบางอย่างแก่เรียวโซ แต่เธอดันไม่กล้าและหนีไป


วันถัดมา ซาเอะและยาเอะรู้ว่าพ่อของตนจะทำให้เซอิจิโร่เป็นคุซาบิ ทั้งสองที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้สึกเสียใครไป เหมือนที่พวกตนเสียมุทสึกิ ก็รีบเอาแผนที่ทางหนีและกุญแจประตูของบ้านคุโรซาวะมาให้เซอิจิโร่ หลังจากที่มอบให้ พวกเธอเตือนเซอิจิโร่ว่าพิธีกรรมซ่อนเร้นกำลังใกล้เข้ามา จงรีบหนีออกไปตอนกลางคืน และก็วิ่งหนีออกมาจากห้องโดยไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะถูกพ่อกำชับไว้ว่าห้ามบอกเรื่องของหมู่บ้านแก่คนนอก เซอิจิโร่ที่รับแผนที่มาก็ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรเช่นกัน แต่เขาไม่คิดจะออกไปหมู่บ้านอยู่แล้ว 

เซอิจิโร่ได้เข้าไปหาข้อมูลในห้องของเรียวคัง เขากลับค้นพบความจริงอันน่าสะพรึงกลัว ว่าเขาจะถูกทำให้กลายเป็นคุซาบิ ทำให้เขารู้ถึงสาเหตุของเรียวคังและชาวบ้านว่าทำไมเขาถึงต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น รวมถึงที่ซาเอะและยาเอะอยากให้เขาหนี เพื่อความปลอดภัยของเรียวโซ เขาจึงได้เขียนจดหมายไปถึงเรียวโซที่อยู่ด้านนอก บอกให้เรียวโซออกจากหมู่บ้านไปก่อน หลังจากที่เขาเขียนเสร็จ เขาก็ขอร้องยาเอะและซาเอะให้นำจดหมายที่เขาเขียนไปส่งให้เรียวโซ

ซาเอะและยาเอะนำจดหมายไปให้เรียวโซตามคำขอ หลังจากที่เรียวโซได้อ่านข้อความในจดหมาย เขาจึงเตรียมตัวออกจากหมู่บ้านในทันที แต่ก่อนที่เรียวโซจะออกจากหมู่บ้านไป เขาได้เขียนจดหมายถึงอิทสึกิว่าเขาจะมารับฝาแฝดหลังจากที่หนีออกมาได้แล้ว และเมื่อฝาแฝดปลอดภัย เขาก็จะกลับมารับอิทสึกิ เขาได้กระซิบบอกยาเอะว่าจะมารับในคืนพิธีอีกด้วย ซึ่งทำให้ยาเอะที่ได้ยินก็รู้สึกเกร็งขึ้นมานิดหน่อย

           ซาเอะที่รู้สึกไม่อยากจะวิ่งหนีออกจากหมู่บ้านสักเท่าไหร่ เพราะร่างกายของตนอ่อนแอ และถ้าตนเองไม่ทำพิธีกรรมก็จะทำให้มีคนเดือดร้อนมากขึ้นไปอีก แต่ว่ายาเอะบอกอย่างมั่นใจว่าจะหนีไปด้วยกันและถ้าออกไปได้พวกเธอก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไป



.
.
วันต่อมาเซอิจิโร่ได้ถูกย้ายมาอยู่ในห้องกรง ที่นั่นมีข้อมูลหลายอย่างเกี่ยวกับหมู่บ้านเช่นกัน แต่อารมณ์ความสุขที่มีต่อการต้อนรับอย่างอบอุ่นของหมู่บ้านได้หายไปแล้ว เขาได้แต่หวังว่าเรียวโซจะออกจากหมู่บ้านไปอย่างปลอดภัย

ในที่สุดวันที่เซอิจิโร่จะถูกจับมาทำพิธีคุซาบิก็มาถึง เขาถูกมัดและตรึงแขวนไว้ด้านบนของห้องพิธีเชือก ถึงแม้จะเจ็บปวดทรมานเพราะเชือกบาด แต่เขาก็ตื่นเต้นที่จะได้เห็นโลกหลังความตาย

เซอิจิโร่ที่ยังมีชีวิตอยู่ถูกโยนลงไปหลุมนรกอเวจี ส่งผลให้นรกสงบลงในชั่วระยะเวลาอันสั้นพอที่จะทำให้ยาเอะและซาเอะชำระล้างมลทินเสร็จสิ้น

ผ่านมาจนถึงคืนพิธีกรรมสังเวยสีชาดที่นัดตามแผนเอาไว้ อิทสึกิแอบออกมาจากเรือนเก็บของ เปิดทางหนีให้ซาเอะและยาเอะ เขาบอกทั้งคู่ว่าให้วิ่งไปอย่างสุดชีวิตอย่าหันกลับมา แล้วเขาจะเป็นตัวล่อให้

ทั้งคู่ได้วิ่งออกไป ยาเอะวิ่งนำซาเอะไปก่อน ซาเอะที่วิ่งตามไปก็หันมามองอิทสึกิครั้งสุดท้ายก่อนที่จะวิ่งตามยาเอะไป

ยาเอะ... เดี๋ยวก่อน!
อย่าทิ้งฉันไว้นะ! ซาเอะตะโกนบอกยาเอะที่วิ่งนำอยู่
ซาเอะเร็วๆเข้าสิ! ยาเอะตะโกนตอบ

ฟึ่บ

กรี๊ดดดดดดดดดดด!

เสียงกรี๊ดของซาเอะที่ก้าวเท้าพลาดตกลงไปในภูเขาทำให้ยาเอะลังเล แต่เธอก็กลัวว่าพวกชาวบ้านที่รู้ตัวว่าพวกเธอหนีออกมานั้น จะวิ่งตามมาทันพวกเธอ ยาเอะจึงไม่มีทางเลือกจึงทิ้งซาเอะและหนีไป


               





(บางข้อมูลได้อ้างว่าซาเอะแกล้งลื่นตกลงไปเพราะว่าอยากจะเป็นหนึ่งเดียวกับยาเอะ เพราะเธอรู้ว่าเมื่อโตขึ้น สุดท้ายต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตอยู่และตายจากกันอยู่ดี)

สุดท้ายแล้วชาวบ้านก็จับอิทสึกิได้ แล้วนำเขากลับมาที่เรือนเก็บของพร้อมทั้งขังเขาไว้ในนั้นเพื่อเป็นการลงโทษ และพวกเขาก็ได้ออกตามหาฝาแฝดจนพบกับซาเอะที่นอนหมดสติอยู่และจับเธอกลับมายังหมู่บ้าน 

เหล่าชาวบ้านที่จับซาเอะได้แค่คนเดียวก็กังวลกันมากเพราะหายาเอะไม่เจอ ถ้าไม่มีมิโกะแฝดครบสองคน ก็ทำพิธีไม่ได้ ซาเอะเชื่อว่ายังไงซะยาเอะก็ต้องกลับมาหาเธอ....



เมื่อถึงเวลาพิธีกรรมยาเอะก็ไม่กลับมา เรียวคังคงคิดว่ายาเอะอาจจะหลงทางในป่าแล้วก็ได้ จึงคิดจะลองใช้ซาเอะทำพิธีคนเดียวเพราะไม่มีทางเลือก

ก่อนจะทำพิธี ซาเอะได้ร้องขออย่างหนึ่งว่า เธอขอเข้าไปพบอิทสึกิที่ถูกขังอยู่ในเรือนเก็บของ ซาเอะได้เข้าไปในเรือนเก็บของ แต่สิ่งที่เธอเห็นก็คือร่างอันไร้วิญญาณของอิทสึกิที่ผูกคอตายอยู่ในเรือนเก็บของ ซาเอะรู้สึกตกใจและเสียใจกับสิ่งที่เห็นเป็นอย่างมาก






รู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับอิทสึกิ... มันเป็นความผิดของพวกเรา... เราสัญญากันแล้วนี่ยาเอะ... ทำไมเธอถึงไม่กลับมา?!

นักบวชได้พาซาเอะลงไปที่หลุมนรก พวกเขาจับซาเอะแขวนคอกับประตูโทริอิ และให้ผู้ป้องกันโยนร่างอันไร้วิญญาณของซาเอะลงไปในหลุมนรกอเวจี

ฉันจะรอเธอตลอดไป...

ทันใดนั้นเอง ก็เกิดแผ่นดินไหวอันรุนแรงขึ้น ราวกับพื้นดินได้เกรี้ยวโกรธอย่างบ้าคลั่งเนื่องจากพิธีกรรมไม่ถูกต้องถึงสองครั้ง นักบวชก็พากันตกใจหวาดกลัวกับสิ่งที่เขาเห็น ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า.... ซาเอะที่น่าจะถูกโยนลงไปข้างล่างแล้ว กลับขึ้นมาอยู่เหนือหลุม

           ความมืด ความอาฆาตพยาบาทพรั่งพรูออกมา พร้อมกับวิญญาณของซาเอะที่กลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายผู้บ้าคลั่งและอำมหิตที่สุด หลังจากนั้นความมืดก็ได้เข้าปกคลุมปิดบังท้องนภาเหนือผืนป่าและหมู่บ้านภายในชั่วพริบตา....






 ซาเอะได้ขึ้นมาจากนรกพร้อมกับเซอิจิโร่ในร่างคุซาบิ เธอและคุซาบิเดินขึ้นมายังผืนดิน ฆ่าทุกคนในหมู่บ้านที่เธอเห็นจนหมดสิ้น เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งของซาเอะดังก้องออกมาด้วยความแค้นและความโกรธเกรี้ยวที่ยาเอะได้ทิ้งเธอไป แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงรอให้ยาเอะกลับมาหาเธอตามที่สัญญากันไว้


คุซาบิ


ซาเอะหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในคืนโศกนาฏกรรม จากฉาก Frozen Butterfly


จิโตเสะที่ไม่รู้ว่าพี่ชายของเธอได้ตายไปแล้วก็เอาแต่สั่นกระดิ่งเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากพี่ชายของเธอ แต่ไม่ว่าจะสั่นสักแค่ไหนก็ไม่มีใครมาหา จิโตเสะรู้แค่ว่าเป็นเพราะยาเอะที่ทำให้พี่ชายของเธอต้องถูกขัง สุดท้ายแล้วจิโตเสะก็ได้ตายอยู่ในตู้ที่เธอเข้าไปแอบเพราะถูกความมืดกลืนกิน


หลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในครั้งนั้นหมู่บ้านมินาคามิก็ไม่มีกลางวันอีกเลย และคืนที่สุดแสนอำมหิตนี้ก็เกิดขึ้นวนเวียนซ้ำอย่างนั้นทุกๆวันตลอดกาล....


           ยาเอะที่ออกมาจากป่าได้ ก็ได้ตัดสินใจที่จะกลับไปช่วยซาเอะแต่ก็พบว่า หมู่บ้านของเธอนั้นหายไปแล้ว ยาเอะร้องไห้คร่ำครวญถึงซาเอะ ที่ไม่สามารถช่วยซาเอะได้ทันเวลา เธอเอาแต่ขอโทษและขอให้ซาเอะให้อภัยเธอ

          เรียวโซที่เข้ามาตามสัญญาที่ได้ตกลงกันกับอิทสึกิ ก็พบกับผู้ที่มีชีวิตรอดเพียงหนึ่งเดียวจากหมู่บ้านกำลังคร่ำครวญถึงการจากไปของฝาแฝดเธอ ยาเอะ คุโรซาวะ กำลังร้องไห้อยู่ที่หน้าประตูโทริอิทางเข้าของหมู่บ้าน...
.
.
.
.

          เรียวโซได้พายาเอะกลับไปที่บ้านของตน เขาช่วยปลอบใจยาเอะให้รู้สึกดีขึ้น จากนั้นทั้งสองก็ตกหลุมรักกันและแต่งงานกัน ยาเอะเปลี่ยนนามสกุลจากคุโรซาวะ เป็นมุนาคาตะ ทั้งสองมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อว่า มิโคโตะ (เนื้อเรื่องของเรียวโซและยาเอะจะไปต่อที่ Fatal Frame ภาค 1)

.
.
.
.
.
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่คนก็หายตัวหลงเข้าไปในหมู่บ้านมินาคามิมากขึ้นเท่านั้น ข่าวลือของมันก็เริ่มแพร่กระจายกันไปทั่ว


อาโซ มิซาโอะ ลูกหลานสายเลือดโดยตรงจาก ดร.อาโซ คุนิฮิโกะ  ได้แต่งงานกับอามาคุระ ชิซุ มิซาโอะได้เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของภรรยาโดยไม่ทราบสาเหตุ(คาดว่าเพื่อหลบอาถรรพ์ของตระกูลอาโซ) ทั้งสองให้กำเนิดบุตรสาวฝาแฝดสองคน ชื่อว่าอามาคุระ มายุ  ซึ่งเป็นผู้พี่ และอามาคุระ มิโอะ  ผู้ซึ่งเป็นน้อง ทั้งสองคนมีความสามารถพิเศษที่เรียกว่าซิกส์เซนส์ อีกทั้งมิโอะยังสามารถมองเห็นในสิ่งที่มายุเห็นได้อีกด้วย


ครอบครัวอามาคุระอาศัยแถวๆ เขต มินาคามิ ชิซุมักจะเตือนกำชับลูกสาวทั้งสองว่าห้ามไปเล่นในป่าตอนๆมืดๆ มิฉะนั้นจะถูกลักซ่อนไปตลอด


แต่ไม่ทันไรมิซาโอะสามีของชิซุก็หายตัวไปในป่าแล้วไม่กลับมาอีกเลย ชิซุบอกมายุและมิโอะว่าพ่อของทั้งสองได้เสียชีวิตไปแล้ว และเธอก็ไม่พูดถึงอีกเลย





มิโอะ(ซ้าย)และมายุ(ขวา)ในวัยเด็ก

ทุกๆวัน มิโอะกับมายุจะออกไปวิ่งเล่นกันที่สถานที่ลับของพวกเธอในป่าแถบภูเขามินาคามิ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักและเป็นที่ที่สวยงามมาก แต่วันหนึ่ง มิโอะได้แกล้งมายุโดยการปล่อยมือให้มายุวิ่งตามหลัง

เร็วสิ อย่าชักช้า

“พี่คงไม่อยากถูกฉันทิ้งไว้ที่นี่หรอกนะ... มิโอะพูดแกล้งมายุ

           มิโอะ...รอฉันด้วย!มายุตะโกน

           ก็เร็วๆ สิพี่มายุมิโอะพูดด้วยน้ำเสียงกลั่นแกล้ง

           มิโอะ! ได้โปรด อย่าทิ้งฉัน!มายุตะโกน


                ฟึ่บ


กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด!!!!


เสียงร้องของมายุดังขึ้นหลังจากที่ก้าวเท้าพลาดและลื่นตกเขาไป


“พี่มายุ.....พี่มายุ?” มิโอะเรียกชื่อมายุพลางก้าวเท้าไปหามายุที่ตกลงไปพลาง


ฉันขอโทษ...ฉันขอโทษ...


มิโอะเห็นมายุที่ขาหักนอนบาดเจ็บสาหัสอยู่ข้างล่าง ทำให้เกิดเป็นปมอยู่ในใจเธอว่า เธอทิ้งพี่สาวของตนทำให้พี่สาวได้รับบาดเจ็บ ตั้งแต่นั้นมามิโอะเลยสัญญากับมายุว่าเธอจะไม่ทิ้งมายุไปไหนอีก



มายุหลังตกจากเขา



หลังจากเกิดอุบัติเหตุชิซุจึงพามิโอะและมายุออกมาจากเขตมินาคามิ
.
.
.
.
ผ่านไปหลายปี ทางรัฐได้มีการวางแผนที่จะสร้างเขื่อนบริเวณภูเขามินาคามิจึงได้ส่ง มาคิมุระ มาสุมิ  นักธรณีวิทยามาสำรวจพื้นที่ แต่ว่า...


มาสุมิกลับหายสาปสูญไปในป่า เขามาโผล่อยู่ที่เนินเขามิโซโนะในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ไม่ได้อยู่บนแผนที่ เป็นหมู่บ้านในข่าวลือที่แพร่กันว่ามีแต่ความมืดมิดอันนิรันดร์ มาสุมิพยายามหาทางออกที่เขาเข้ามา เขาก็พบว่าทางเข้านั้นมันฝังอยู่ในดินไปเรียบร้อยแล้ว มาสุมิจึงเข้าไปในหมู่บ้านมินาคามิที่หายสาปสูญเพื่อหาเส้นทางหนี เขาเชื่อว่ามันต้องมีทางหนีอื่น


หลายวันผ่านมาได้มีข่าวที่มาสุมิหายตัวไปแพร่กระจายออกไป แฟนสาวของมาสุมิ  สุโด มิยาโกะ และคณะนักสำรวจได้ออกตามหามาสุมิในป่ามินาคามิ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จนในที่สุดก็ต้องยกเลิกการหาไป



มิยาโกะ(ซ้าย) มาสุมิ(ขวา)

มิยาโกะที่ไม่ยอมแพ้ก็พยายามหามาสุมิ จนเธอได้เดินผ่านหินเทพารักษ์และติดเข้ามาอยู่ในอีกห้วงมิตินึง เธอเดินมาจนถึงเนินเขามิโซโนะ และพบกับหมู่บ้านที่หายสาปสูญ มิยาโกะรู้สึกได้ว่ามาสุมิต้องอยู่ที่แน่ๆ


มิยาโกะเดินเข้าไปในบ้านของตระกูลโอซากะ เธอพยายามหามาสุมิและทิ้งบันทึกไว้ให้มาสุมิ มิยาโกะพบกับสิ่งผิดปกติบางอย่าง เธอได้ยินเสียงเพลงสวดมนต์มาจากที่ไกลออกไป แต่ทันใดนั้นเสียงของผู้หญิงที่หัวเราะอันน่าสะพรึงกลัวอย่างบ้าคลั่งก็ดังออกมาจากส่วนลึกของหมู่บ้าน ทำให้มิยาโกะถึงกับกลัวจนสติแทบแตก


แต่ด้วยบันทึกที่มิยาโกะทิ้งไว้ให้มาสุมิ ทำให้มาสุมิกับมิยาโกะมาเจอกันในบ้านโอซากะ มาสุมิกับมิยาโกะจึงพยายามหาทางออกจากหมู่บ้าน


แต่ว่าตอนนี้ทั้งคู่ไม่รู้ว่าผ่านมากี่วันที่มาอยู่ที่นี่ เพราะที่นี่ไม่มีกลางวัน มิยาโกะมีอาการเหนื่อยและเจ็บขาอย่างเห็นได้ชัด มาสุมิจึงให้เธอนอนพักในบ้านของโอซากะ แต่กว่ามิยาโกะจะนอนพักได้ก็ใช้เวลานานพอดู เพราะความมืด และเสียงหัวเราะของผู้หญิงอันบ้าคลั่งแทบจะทำให้เธอหลอนจนเสียสติ


มาสุมิที่คิดว่าทางออกน่าจะถูกเก็บไว้ที่บ้านใหญ่ของตระกูลคุโรซาวะ เขาจึงปล่อยให้มิยาโกะนอนอยู่ที่บ้านโอซากะและออกไปหากุญแจที่บ้านโอซากะคนเดียว แต่ว่าโชคร้าย...

เขาได้เผอิญไปพบกับคุซาบิ และถูกคุซาบิฆ่าตายในตู้ที่เขาหนีเข้าไปซ่อนตัว

วิญญาณของมาสุมิที่ตายก็ถูกความมืดอันชั่วร้ายของหมู่บ้านกลืนกินกลายเป็นวิญญาณร้าย แต่ว่าในใจของมาสุมิยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้ทำ นั่นคือการให้แหวนกับมิยาโกะ


มิยาโกะที่ตื่นขึ้นมาเธอพบว่ามาสุมิไม่อยู่แล้ว มิยาโกะแทบคลั่งหนักกว่าเก่าเพราะเธอฝันเห็นถึงภาพหลอนในอดีต ภาพของโศกนาฏกรรมและความตายที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน เธอจึงเอาแต่ภาวนาว่ามาสุมิคงจะกลับมาพร้อมกับทางออกไปจากหมู่บ้าน


และมาสุมิก็กลับมาจริงๆ แต่กลับมาในร่างที่ไม่ใช่คน! วิญญาณมาสุมิที่โดนความมืดกลืนกินจัดการบีบคอฆ่ามิยาโกะด้วยมือของเขาเอง ทำให้วิญญาณอันชั่วร้ายของทั้งคู่ยังคงวนเวียนอยู่ในบ้านของตระกูลโอซากะ
.
.
มิโอะและมายุในภาคปกติ 


 

      มิโอะและมายุใน Deep Crimson Butterfly

            
            ผ่านมาหลายปีจนมายุและมิโอะอายุ 15 (ใน Deep Crimson Butterfly อายุ 17) เมื่อได้ยินข่าวการสร้างเขื่อนที่มินาคามิ ชิซุที่มีความคิดถึงสามีและอยากจะไว้อาลัยก็คิดที่จะพาลูกสาวทั้งสองกลับไปที่ภูเขามินาคามิซึ่งเป็นบ้านเกิดอีกครั้งหนึ่ง

             ในคืนก่อนที่พวกเธอทั้ง 3 คนจะกลับไป มายุได้ฝันถึงเรื่องราวอันแปลกประหลาด เธอฝันถึงพ่อของเธอ ซึ่งเธอและมิโอะสามารถจำหน้าตาของพ่อได้จากรูปถ่ายเท่านั้น เพราะพ่อของทั้งสองตายไปตั้งแต่ที่ทั้งสองยังเล็กๆ ในฝันนั้น มายุฝันว่าพ่อของพวกเธอกำลังห้ามเธอและมิโอะ ไม่ให้เข้าไปในภูเขา แต่ทั้งสองก็ไม่ฟังและวิ่งเข้าไปเรื่อยๆ จนทันใดนั้นผีเสื้อสีชาดก็บินออกมารอบๆตัวเธอ หลังจากนั้นมายุก็รู้สึกตัวแล้วตื่นขึ้นมา มายุคิดว่าฝันนี้เป็นฝันที่แปลกเอามากๆ มันทำให้เธอคุ้นเคยและรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก

            วันรุ่งขึ้น ทั้ง 3 คนได้ออกเดินทาง กลับมาที่ภูเขามินาคามิอีกครั้ง เมื่อมาถึง ทั้งสองคนได้บอกแม่ของพวกตนว่าจะออกไปเล่นในป่า ซึ่งชิสุก็ยังคงกำชับห้ามลูกๆ ทั้งสองว่า อย่าวิ่งเข้าไปลึกๆในป่าล่ะ ไม่งั้นจะหลงเข้าไปในหมู่บ้านที่หายสาปสูญได้นะ 

            หลังจากที่ฟังแม่เตือนเสร็จ มิโอะและมายุก็มุ่งหน้ากลับมาในสถานที่ลับของตนที่ไม่ได้มานาน และนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองจะได้มาที่แห่งนี้ เพราะอีกไม่นานที่นี่จะกลายเป็นเขื่อนไปแล้ว ทั้งสองจึงได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันข้างๆ ลำธารเล็กๆแถวๆนั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่า ฝันร้ายอันน่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาของทั้งสอง และฝังลึกลงไปในจิตใจจนมิอาจจะลืมได้ กำลังคืบคลานเข้ามา....




“พี่มายุ... พี่ยังจำคำสัญญาของพวกเราได้หรือเปล่า?”

                                                                                  “ที่ฉันบอกว่า... ฉันจะไม่ทิ้งพี่น่ะ

                                                                                                มิโอะ อามาคุระ ถึง มายุ อามาคุระ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To be continued




-------------------------------------------------------------------------------------------------------

เกร็ดเล็กๆน้อยๆ

- มิโอะและมายุมีสายเลือดโดยตรงจาก ดร. คุนิฮิโกะ อาโซ (ตระกูลนี้ก็พอๆกับคุโรซาวะ)

- ธีมสีของภาค 2 คือสีแดง

- ถ้าเอาเฉพาะแบบออริจินัลมิโอะและมายุเป็นตัวหลักของภาคที่เด็กที่สุด (15 ปี)

- ถ้าเรามีเกมฉบับ Wii เราจะสามารถใช้โค้ดด้านหลังเพื่อปลดล็อคมิโอะและมายุในเกม Spirit Camera ได้ด้วย (เฉพาะญี่ปุ่นและยุโรปเท่านั้นนะ)

- ซาเอะเป็นหนึ่งในวิญญาณที่จับทีเดียวตาย (สงสัยมือหนักโดนตบทีคงหัวหลุด)

- ตระกูลคุโรซาวะเอามาจากนามสกุลของผู้กำกับที่ คุณเคย์สุเกะ คิคุจิผู้กำกับเกม Fatal Frame ชอบ
- ถ้าเคยเล่นภาคหนึ่งมาแล้วจะรู้ว่าแฝดยาเอะซาเอะตายด้วยวิธีการผูกคอเหมือนกัน

- ใน Fatal Frame 2 บน Ps2 ซาเอะจะสู้ได้ในเฉพาะระดับ Hard หรือ Nightmare เท่านั้น แต่ภาค remake ใน wii สู้ได้ทุกระดับความยากแต่แค่ต้องทำตามเงื่อนไขให้ครบ

            - ในภาครีเมคเครื่อง wii ถึงมายุจะขาเจ็บแต่เธอก็สามารถวิ่งได้ โดยการกดปุ่ม C บน Nunchuck ค้าง (เป็นปุ่มที่ใช้เดินแบบ Lateral movement หรือ Side-Step เป็นการเดินไปด้านข้าง) แล้วเดินไปข้างหน้า พร้อมกับกดปุ่ม Z(ปุ่มวิ่ง) ค้าง เธอก็จะวิ่ง แต่ถ้าจะเลี้ยวต้องปล่อย แล้วเดินเลี้ยวธรรมดา เพราะมายุไม่สามารถวิ่งเลี้ยวได้(ใช้ร่นระยะเวลาได้มากถ้าบังคับเป็นเธอ)

ปล. ถ้าจะ Copy เนื้อหาไปแปะที่อื่นก็ต้องขออนุญาตก่อน และให้เครดิตเป็นลิงค์ต้นฉบับด้วย :D

ปล.2 แต่สามารถ Copy ลิงค์ไปให้เพื่อนๆอ่านได้นะครับ


(Comment กันได้นะ ผมไม่บีบคอคุณหรอก :D)

อ่านเนื้อเรื่อง Fatal Frame ภาคอื่นๆได้ที่หน้าหลัก

กลับสู่หน้าหลัก

--------------------------------------------
Update History
- 7/8/2561 อัพเดทเนื้อเรื่องของมิโอะและมายุในช่วงสุดท้าย
- 13/3/2561 อัพเดทลิงค์เพิ่มเติมไปยัง บทความ Fatal Frame 3 Anthology Comic: Crimson Dream ช่วงเนื้อเรื่องของแฝดสาวตระกูลโอซากะ
- 11/6/2560 อัพเดทข้อมูลของผู้หลงเหลือ และเนื้อเรื่องของเซอิจิโร่ มาคาเบะ และ เรียวโซมุนาคาตะจาก Tamashizume
- 7/6/2560 อัพเดทเนื้อเรื่องให้แน่นขึ้นและเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ข้อใหม่




4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ได้เข้ามานานมาก นึกว่าไม่ได้เขียนอะไรแล้ว ขอบคุณที่ยังทำออกมาเรื่อยๆนะครับ ^^

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณเช่นกันครับ ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเหมือนกัน ฮา

      ลบ
  2. สนุกมากเลยครับ เป็นสาวกของเกมส์นี้เพราะเริ่มจากภาค 2 นี่ล่ะ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณครับ ผมก็ภาคนี้เหมือนกัน ^ ^

      ลบ