[SPOILER ALERT!!] ระวังสปอยล์ บทความนี้เหมาะกับผู้เล่นที่เล่นจบแล้วและผู้เล่นที่สนใจแต่กลัวเกินกว่าจะเล่นได้ อ้างอิงมาจาก เอกสาร ไฟล์ในเกม บันทึกของมิโอะ รวมถึง Spirit List และแปลมาจากเกมอังกฤษ บางคำศัพท์อาจคลาดเคลื่อนจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นนะครับ....
Fatal Frame II
Fatal Frame 2 Crimson Butterfly (Ps2)
Project Zero 2 Deep Crimson Butterfly (Wii)
*ถ้าใครไม่อยากอ่านเรื่องของผม อยากอ่านเนื้อเรื่องเกมอย่างเดียว เชิญข้ามส่วนนี้ได้เลยครับ*
ถ้าถามว่าผมรู้จักและชอบเกม Fatal Frame ได้ยังไง ผมคงตอบได้อย่างเต็มปากว่าเป็นเพราะภาค 2
ถ้าถามว่าผมรู้จักและชอบเกม Fatal Frame ได้ยังไง ผมคงตอบได้อย่างเต็มปากว่าเป็นเพราะภาค 2
ตอนนั้นสมัย Ps2 ผมมีเกมสยองขวัญอย่าง Silent Hill ที่พ่อซื้อมา
ซึ่งตอนนั้นผมยังเด็กไม่กล้าเล่นเพราะกลัวผีมาก
เพื่อนที่โรงเรียนบอกผมมาว่าเกมผีต้องยกให้เกมถ่ายรูปผีมันน่ากลัวจริง
ผมซึ่งจำชื่อเกมได้แค่ เฟรมๆ อะไรสักอย่าง แค่รู้ว่าเป็นเกมผีผมก็แทบหันหน้าหนีละ
เพราะแค่ เริ่มเกม Silent Hill แปปเดียว(แปปเดียวจริงๆ)
ผมก็นอนไม่หลับละ
แต่พอช่วง ม.ปลายมา ความกลัวผีก็ลดลงแต่ถามว่ายังกลัวมั้ย? ก็กลัวอยู่ ตอนนั้นผมได้อ่านนิตยสารเกมของเพื่อน(จำชื่อนิตยสารไม่ได้ละ)
ผมก็กลับมาพบกับเกม Fatal Frame อีกครั้งภายใต้ชื่อของทางยุโรป
Project Zero 2 ซึ่งเนื้อเรื่องย่อที่เขียนในนั้นก็น่าสนใจมากเลยทีเดียว
แต่พอลองคิดๆดูมันก็น่ากลัวเหมือนกันนะ แล้วเผอิญ หลังจากนั้น ก็ได้เปิด Youtube ฟัง OST ของเกมต่างๆ ไปเรื่อยๆ จนไปได้ฟังเพลงของเกมนี้ซึ่งเป็นเพลง Zero no Chouritsu ซึ่งผมติดมาก ติดจนขนาดฟังเพลงนั้นทั้งวัน เมื่อความอยากและความกลัวในใจมันตีกันจนทำให้เกิดอารมณ์คลั่ง(ไม่ได้บ้านะ) มันทำให้ผมท้าทายกับความกลัว มีความรู้สึกว่าอยากเล่นมาก แต่ติดตรงที่ว่าผมหาแผ่นใน Ps2 ก็ไม่ได้ อย่าว่าแต่หาแผ่นเลย Ps2 ของผมในตอนนั้นก็คงใกล้จะเข้าโลงแล้ว Wii ก็ไม่มีด้วยน่ะสิ งั้นเอาเป็นว่าลองเล่นภาคล่าสุดที่เขากล่าวกันว่าน่ากลัวน้อยสุดละกันอย่างภาค 4 (นี่น่ากลัวน้อยสุดจริงเหรอ?) โดยการโหลดอีมูมาเล่น (พอดีมันมีแต่เวอร์ชั่นญี่ปุ่นอย่างเดียวเลยต้องหาตัวแพทช์อังกฤษ) ก็ตามนั้นล่ะครับเตะอายาโกะ หลบคานาเดะเรนเจอร์ กระโดดถีบซาคุยะ และเล่นเปียโนนั่นผ่านมาได้(เอาจริงๆก็ไม่ได้ยากมากหรอก แต่บรรยากาศมันน่ากลัวสุดๆ) ถ้าถามอีกว่าแล้วตอนนั้นกลัวมั้ย ก็ตอบเหมือนเดิม กลัว แต่จากกลัวเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น ความตื่นเต้นเปลี่ยนเป็นความสนุก..... และก็กลายเป็นทั้งสนุกทั้งกลัว
แต่เพราะว่ามันไม่ใช่ภาค 2 ไง
ผมเลยมีความอยากเล่นอยู่ ผ่านไปหลายเดือนจนสุดท้ายในที่สุดผมก็ได้แตะภาค 2
ที่รู้จักมานานแต่ไม่เคยเห็นตัวจริงสักที ผมบอกตรงๆ มันสนุกกว่าภาค 4 อีก
ทั้งด้านเกมเพลย์ เนื้อเรื่อง (ยกเว้นด้านดนตรีให้เท่าภาค 4 โดยเฉพาะที่ประภาคารสึคุโยมิน่ะ)
การออกแบบบ้านเรือน ธีมของภาค ความน่ากลัวของวิญญาณในภาคนี้และความผูกพันธ์ของสองสาวมิโอะกับมายุ
มันทำให้ผมอินและผูกพันธ์กับภาคนี้เข้าให้แล้ว รวมถึงตัวซาเอะอีกด้วย
พอเล่นจบเท่านั้นแหละ...... เอาเป็นว่าฉากจบยังตรึงอยู่ในใจผมจนถึงตอนนี้ก็แล้วกัน
(ตอนแรกว่าจะเขียนเนื้อเรื่องภาค 2 ก่อนแต่มันมีเยอะละ เลยเขียนภาค 4 ก่อนแทน ฮ่าๆๆ)
ในตอนนี้ผมก็ได้ซื้อ 3 ภาคแรกฉบับ Ps2 มาอยู่ใน Ps3 เป็นเรียบร้อยละ
เอาเป็นว่าพอผมเขียนภาคนี้เสร็จจะพักผ่อนสักหน่อย จากนั้นก็ไปลุยคฤหาสน์แห่งการหลับไหลที่เขาว่ากันว่าน่ากลัวสุดๆ แล้วกันนะ....
ตัวอักษรสีน้ำเงินมีความเกี่ยวข้องกับภาค3
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คุณเคยได้ยินข่าวลือในแถวมินาคามิมาบ้างรึเปล่า... ว่าเมื่อคุณเดินผ่านหินเทพารักษ์ที่มีรูปสลักฝาแฝดไป คุณจะถูกดึงไปในอีกมิตินึง
เป็นมิติที่ไร้ซึ่งแสงสว่าง.... ไร้ซึ่งดวงอาทิตย์....
มีแค่ความมืดของค่ำคืนอันนิรันดร์ที่ปกคลุมอยู่เหนือท้องนภา มิติที่มีแต่ความตาย เบื้องหลังของประตูโทริอิจะมีแค่หมู่บ้าน
หมู่บ้านหนึ่ง ที่มีเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งของหญิงสาวที่มีความแค้นต่อผู้ที่ทอดทิ้งเธอ
ดังก้องกังวาลออกมาจากทางเดินในหมู่บ้านนั้น.............
“แม้พวกเราจะเกิดมาด้วยกัน......
แต่พวกเราต่างก็ต้องใช้ชีวิตอยู่
และตายจากกันอยู่ดี.....”
มายุ อามาคุระ ถึง มิโอะ อามาคุระ
ในอดีตกาลจวบจนปัจจุบัน ผู้คนในทุกพื้นที่มักจะมีความเชื่อเรื่องศักสิทธิ์
การขอขมาให้ได้มาเพื่อผลผลิตที่ดี
ผู้คนมักอยู่กับความเชื่อควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตของตน
ดั่งเช่นโลกคนเป็นก็จะอยู่ควบคู่ไปกับโลกคนตาย...
ในพื้นที่หลายพื้นที่มีสิ่งซ่อนเร้นที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้
แต่คนในพื้นที่ละแวกนั้นจะรู้กันดีว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เชื่อมไปยังโลกของคนตาย...
.
.
.
ในหมู่บ้านมินาคามิ
ที่ตั้งอยู่ในเขตภูเขามินาคามิ ได้มีสิ่งๆ หนึ่งตั้งอยู่ในชั้นใต้ดินของหมู่บ้านที่ชาวบ้านรู้กันว่าเป็นเรื่องต้องห้าม ห้ามแม้แต่จะเรียกและเอ่ยถึงนามของมันแม้แต่ในบันทึกก็ตาม
ชาวบ้านมักจะใช้สัญลักษณ์ ✻ แทนตัวของมัน แทนตัวของหลุมขนาดใหญ่ที่รู้กันว่าเป็นทางที่เชื่อมต่อไปยังนรก
“หลุมนรกอเวจี!” และถ้าผู้ใดมองลงไปใน ✻ ผู้นั้นก็จะเสียการมองเห็นไปตลอดกาล
มีบันทึกกล่าวไว้ว่าเมื่อ ✻ คลุ้มคลั่งถึงขีดสุดความอาฆาตพยาบาทจะพรั่งพรูออกมาและความมืดมิดจะมาเยือน
แต่ว่าผ่านไปไม่กี่ปีระยะเวลาที่หลุมนรกสงบลงด้วยคุซาบิก็สั้นลง
ไม่นานหลุมนรกก็คลุ้มคลั่งอีกครั้ง
ชาวบ้านที่เห็นก็หารือกันว่าทำไมการใช้พิธีกรรมคุซาบิเริ่มไม่ค่อยจะได้ผลราวกับว่ามันต้องการอะไรบางอย่างที่มากกว่านี้
ฝาแฝดคนที่เชื่อว่าเป็นน้องจะนอนหงายบนแท่นหินและคนที่เชื่อว่าเป็นพี่จะนอนคร่อมคนน้อง หลังจากนั้นนักบวชจะเริ่มสวดมนต์และร้องเพลงของพิธีก่อนที่จะใช้คฑากระแทกกับพื้นเป็นจังหวะ เป็นสัญญาณที่บอกให้คนคนพี่บีบคอคนน้อง เมื่อคนน้องเสียชีวิต จะมีผีเสื้อปรากฎบนคอของคนน้อง ผู้อาลัยก็จะโยนร่างของคนน้องลงไปในหลุมนรก
เนื่องจากหลุมนรกอเวจีอยู่ด้านล่างใต้ช่องหลุมขนาดใหญ่บนเนินเขามิโซโนะอีกทีหนึ่ง
จึงทำให้มีแสงสาดส่องเข้ามาในพืนที่บริเวณ ชาวบ้านจึงได้ช่วยกันสร้างแท่นหินบูชาที่เรียกกันว่า”หินสังเวย” ซึ่งจะมีเสาหินขนาดใหญ่ทั้งสี่ตั้งอยู่โดยรอบ
และใช้เชือกศักสิทธิ์ชิเมนาวะผูกรอบเสาหินนั้น เพื่อปิดปกคลุมหลุมนรกด้านล่าง
ไม่ให้ใครก็แล้วแต่ได้มองลงมาเห็นหลุมนรกด้านล่าง
หลุมนรกอเวจี
ในหมู่บ้านมินาคามิมีตระกูลที่มีอำนาจของหมู่บ้านอยู่
5 ตระกูลนั่นคือ
- ตระกูลสึจิฮาระที่มีหน้าที่ดูแลเรือนเก็บของที่ใช้ขังผู้กระทำผิดและพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับพิธีเช่นเนินเขามิโซโนะ
หรือศาลเจ้าคุเรฮะ
กล่าวกันว่าตระกูลสึจิฮาระได้รับอนุญาตให้ลงโทษผู้กระทำผิดได้เลย
-
ตระกูลโอซากะที่ดูแลมอบหมายเป็นประตูของหมู่บ้าน มีหน้าที่ดูแลเส้นทางจากเนินเขามิโซโนะ
การที่คนนอกจะเข้ามาในหมู่บ้านได้หรือไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับตระกูลโอซากะ
- ตระกูลคิริวและทาจิบานะ
มีหน้าที่ร่วมในพิธีและบ้านของทั้งสองยังเป็นบ้านแฝดอีกด้วย
แต่ตระกูลที่มีอำนาจทั้ง 4 และหมู่บ้านทั้งหมด
จะอยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลผู้มีมหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวในหมู่บ้านนั่นคือ “คุโรซาวะ”
นับวันๆ ✻ ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งมากขึ้น
ส่งผลต่อการใช้ชีวิตของคนในหมู่บ้าน ทำให้พวกเขาเป็นทุกข์อย่างมาก
คณะหัวหน้าหมู่บ้านก็กังวลอย่างมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นและสงสัยเป็นอย่างมากกว่าทำไม
✻ ถึงได้คลุ้มคลั่งเพียงนี้ ในสมัยนั้นมีความเชื่อที่ว่าความเจ็บปวดจะสามารถปลอบประโลม
ให้ประตูนรกปิดได้ผู้นำหมู่บ้านคนแรกที่ใจกล้าจึงได้ทำให้ตนเองบาดเจ็บให้ได้มากที่สุด
และกระโดดลงไปใน ✻ …….. ผลปรากฎว่า
✻ ได้สงบลง
และเป็นที่ยอมรับกันในหมู่บ้านว่าวิธีนี้ได้ผล....
หลังจากนั้นชาวบ้านก็ปกปิดเรื่องพิธีกรรมคุซาบิจากคนนอกหมู่บ้าน แล้ววางแผนกันจับคนนอกหมู่บ้านหรือแขกที่เข้ามาเยือนหมู่บ้านในวันที่นรกคลุ้มคลั่งมาประกอบพิธีกรรมเฉือนร่างที่ห้องทำพิธี โดยจะใช้เชือกมัดพวกเขาแล้วตรึงพวกเขาไว้บนกลางอากาศกลางห้อง ทำร้ายให้ได้รับความเจ็บปวด
ก่อนที่จะไปที่หลุมนรกอเวจี แล้วโยนคนที่เป็นคุซาบิลงไปในหลุม
เพื่อปลอบประโลมให้หลุมนรกสงบสุขจนมันถูกเรียกว่าพิธีกรรมซ่อนเร้น
ห้องที่ทำพิธีคุซาบิ จะอยู่ภายในบ้านของตระกูลคุโรซาวะ
แต่ทางเข้าที่ไปสู่ประตูนรกจะเชื่อมต่อกับทางเดินชั้นใต้ของหมู่บ้าน
และทางเดินใต้ดินนั้นก็เชื่อมต่อกับบ้านต่างๆ
และหลายๆที่ที่สำคัญในหมู่บ้านเช่นกัน
นอกจากนี้ในทางเดินใต้ดินนั้นก็เป็นสถานที่ไว้เก็บของมีค่าของหมู่บ้านด้วย
ด้วยการที่มันเชื่อมต่อกับหลายๆที่
ทำให้ชาวบ้านได้เพิ่มผู้เฝ้าทางเดินใต้ดินไว้ เพื่อป้องกันความปลอดภัย
ไม่ให้คนเข้าไปในบริเวณหลุมนรกโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยจับคนที่กระทำผิดของหมู่บ้านหรือผู้ที่เคยมองหลุมนรก มาเป็นผู้ป้องกัน
โดยป้องกัน
โดยผู้ป้องกันเหล่านั้นก็จะเดินป้วนเปี้ยนอยู่ภายในทางเดินใต้ดิน ชาวบ้านเรียกผู้ป้องกันเหล่านี้ว่า
“ผู้อาลัย”
พิธีคุซาบิ
ในตอนนั้นพวกเขาก็สังเกตเห็นสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นในหมู่บ้าน
เมื่อชาวบ้านในหมู่บ้านให้กำเนิดบุตร มักจะเป็นฝาแฝดอยู่บ่อยครั้ง
ชาวบ้านเลยเชื่อกันว่า ฝาแฝดที่เกิดมาคือคนๆ เดียวกัน แต่แยกกันเป็นสองคน
ในสมัยนั้นไม่มีกฎหมายระบุไว้ว่าคนที่เกิดก่อนจะเป็นพี่และคนที่เกิดหลังเป็นน้อง
ชาวบ้านเลยเชื่อกันว่าคนที่เกิดก่อนเป็นน้อง และคนที่เกิดหลังเป็นพี่ คนที่เป็นน้องคือส่วนเกินและจะต้องไปรวมกับคนที่เป็นพี่ สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นสิ่งที่หลุมนรกต้องการจริงๆ
ก็ได้
ชาวบ้านเลยคิดจะประกอบพิธีกรรม โดยให้ฝาแฝดคนที่เชื่อว่าเป็นพี่ฆ่าคนน้องโดยการบีบคอ
เมื่อคนน้องเสียชีวิตจะมีผีเสื้อสีชาดปรากฎอยู่ที่คอคนน้อง ก่อนที่พวกเขาจะให้ผู้อาลัยโยนร่างที่ไร้วิญญาณของคนน้องลงไปในหลุมนรก
พอวันพิธีกรรมใกล้เข้ามา
เหล่าผู้อาลัยจะถูกเย็บตาทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรได้
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อาลัยมองเข้าไปในหลุมนรก ในระหว่างที่โยนร่างของแฝดลงไป
เมื่อฝาแฝดโตขึ้นราวๆ 15 ปี
ก็จะถูกรับเลือกให้เป็นผู้ประกอบพิธีกรรม
และจะถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในบ้านของตระกูลคิริวและทาจิบานะเพื่อชำระล้างมลทิน
โดยฝาแฝดที่ประกอบพิธีจะใส่ชุดกิโมโนสีขาวผูกเชือกสีแดงไว้ที่ลำตัว
เป็นการใส่ชุดกิโมโนแบบขวาทับซ้าย(ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นการใส่ของคนตาย)
การใส่กิโมโนแบบปกติ(ซ้าย)การใส่กิโมโนของมิโกะแฝด(ขวา) แตกต่างกันส่วนลำตัวด้านบน
ชาวบ้านมักจะเลือกฝาแฝดที่เป็นเพศหญิงมาประกอบพิธีกรรมเสมอและเรียกแฝดคู่นั้นว่ามิโกะแฝด
แต่เมื่อปีไหนไม่มีฝาแฝดหญิงหรือฝาแฝดหญิงไม่พร้อม
ชาวบ้านจะเลือกแฝดชายมาทำหน้าที่แทน โดยแฝดชายที่นำมาประกอบพิธีจะถูกเรียกว่า ชายหนุ่มผู้ทำพิธี
เมื่อถึงคืนวันพิธีสังเวยสีชาด ประตูของบ้านคิริว
คุโรซาวะและทาจิบานะจะถูกล็อคอย่างแน่นหนา ส่วนชาวบ้านทั้งหมดจะเดินขึ้นไปที่แท่นเสาหินขนาดใหญ่ที่ชาวบ้านสร้างไว้เพื่อปกคลุมประตูนรกบนเนินเขามิโซโนะ
ชาวบ้านจะคลายหินสังเวยที่ปิดประตูหลุมออก
และจุดไฟรอบๆ ด้วยคบเพลิงเพื่อให้สว่าง แสงจันทร์จากด้านบนจะสาดส่องผ่านช่องบนเนินเขา
เข้ามาในบริเวณชั้นใต้ดินที่หลุมนรกตั้งอยู่
ส่วนนักบวชจะพาฝาแฝดคู่นั้นลงไปยังหลุมนรกด้านล่างซึ่งมีผู้อาลัยเฝ้าอยู่
นักบวชทุกคนที่ทำพิธีข้างล่างจะต้องใช้ยันต์ปิดใบหน้าของตน เนื่องจากพิธีไม่ได้รับอนุญาตให้ใครก็แล้วแต่มองดู
ฝาแฝดคนที่เชื่อว่าเป็นน้องจะนอนหงายบนแท่นหินและคนที่เชื่อว่าเป็นพี่จะนอนคร่อมคนน้อง หลังจากนั้นนักบวชจะเริ่มสวดมนต์และร้องเพลงของพิธีก่อนที่จะใช้คฑากระแทกกับพื้นเป็นจังหวะ เป็นสัญญาณที่บอกให้คนคนพี่บีบคอคนน้อง เมื่อคนน้องเสียชีวิต จะมีผีเสื้อปรากฎบนคอของคนน้อง ผู้อาลัยก็จะโยนร่างของคนน้องลงไปในหลุมนรก
เมื่อพิธีสำเร็จ วิญญาณของคนน้องได้กลายเป็นผีเสื้อสีชาด
บินขึ้นสู่ท้องนภาผ่านช่องหลุมบนเนินเขามิโซโนะที่อยู่หน้าหมู่บ้าน ชาวบ้านทั้งหมดที่ไปรวมตัวกันบนเนินเขามิโซโนะก็จะร้องเพลงและสวดมนต์ให้วิญญาณของแฝดที่ตายไป
เพื่อส่งแฝดคนนั้นไปยังโลกหน้า ชาวบ้านเลยตั้งชื่อพิธีนี้ว่า "การสังเวยสีชาด"
ส่วนคนพี่ที่ยังมีชีวิตจะถูกเรียกว่า “ผู้หลงเหลือ” เชื่อกันว่าเป็นผู้ที่ดูแลโลกคนเป็น เมื่อพิธีสำเร็จจะมีสัญลักษณ์ผีเสื้อสีแดงอยู่ตรงคอเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า
คนๆนั้นและแฝดของเขาเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว
แต่หากคนที่เชื่อกันว่าเป็นคนพี่รู้สึกบาป สีผมของเขาจะเปลี่ยนสีกลายเป็นสีขาว หลังพิธีสำเร็จชาวบ้านก็พบว่าหลุมนรกถูกทำให้สงบไปอีก
10 ปี ด้วยสาเหตุที่ทำให้นรกสงบสุขได้นานนับสิบปี
ชาวบ้านจึงเคารพมิโกะแฝดเปรียบดั่งเทพเจ้า
เมื่อบูชายัญฝาแฝดสำเร็จหนึ่งคู่
ชาวบ้านจะสลักหินเทพารักษ์เป็นรูปฝาแฝดขึ้นมาหนึ่งอัน
แล้วนำไปตั้งในที่ใดที่หนึ่งในหมู่บ้านเพื่อปกป้องหมู่บ้าน
ว่ากันว่ารูปสลักฝาแฝดนั้นคนนึงจะมีหัวและอีกคนนึงจะไม่มีหัว
ดั่งคนพี่ที่ยังมีชิวิตและคนน้องที่เสียชีวิตในพิธีนั่นเอง
ชาวบ้านได้แอบประกอบพิธีอันโหดร้ายนี้มาทุกๆ 10 ปี
และแอบจับคนนอกมาทำพิธีคุซาบิเมื่อฝาแฝดของหมู่บ้านไม่พร้อมอยู่เรื่อยไป....
ถึงหมู่บ้านจะมีแต่เรื่องเครียดๆ แต่ในหมู่บ้านก็ยังมีงานเทศกาลที่ทำให้ชาวบ้านรู้สึกสนุกสนาน
นั่นคือเทศกาลแห่งเงา เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นบริเวณศาลเจ้าคุเรฮะ
เวลาเดียวกันกับพิธีสังเวยสีชาด แต่เดิมเทศกาลนี้ถูกดูแลโดยคุเรฮะที่เป็นมิโกะอยู่ในศาลเจ้า
และศาลเจ้านี้ถูกตั้งชื่อตามเธอหลังเธอเสียชีวิต กล่าวกันว่าคุเรฮะมีผมสีขาวตั้งแต่กำเนิด
เนื่องจากแฝดของเธอตายตั้งแต่คลอดและเธอก็ยังมีพลังในการอ่านใจคนได้ ทำให้เธอรู้สึกถึงความโศกเศร้าของผู้คนมากมาย
คุเรฮะ
เทศกาลแห่งเงานี้เป็นเทศกาลที่ชาวบ้านจะปล่อยโคมลอยนับพัน
เพื่อระลึกถึงวิญญาณของแฝดที่กลายเป็นผีเสื้อสีแดง เทศกาลนี้ยังแพร่หลายไปยังพื้นที่และหมู่บ้านระแวกใกล้เคียงอีกด้วย
ภาพเทศกาล
ผ่านมาหลายสิบปี
จนถึงยุคหนึ่งได้มีสองฝาแฝดคู่หนึ่งได้พยายามหนีออกจากหมู่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงชะตากรรมของพวกตน
โดยใช้ทางใต้ศาลเจ้าคุเรฮะ แต่ก็ถูกชาวบ้านจับได้และฆ่าทิ้ง
ผู้นำในการทำพิธีโกรธมากจึงสร้างประตูกลไกปิดทางออกไว้ในต้นไม้เก่าแก่ เพื่อไม่ให้ฝาแฝดคู่ไหนหนีออกจากหมู่บ้านอีก และมอบแผ่นหมุนที่ใช้ในการเปิดประตู ให้ตระกูลที่มีอำนาจทั้งสี่และสืบทอดกันต่อลงมา และยังหลอกคนรุ่นหลังถึงสองฝาแฝดคู่นั้นว่าสองฝาแฝดนั้นโดนหินในถ้ำถล่มทับตาย
ผ่านมาเป็นเวลานานตระกูลสึจิฮาระได้หมดสิ้นไป บ้านของตระกูลนั้นถูกปล่อยให้ร้างและไม่มีคนเข้าไปอยู่ ในช่วงของฝาแฝดตระกูลคิริวที่ชื่อว่าอาซามิ(คนน้องตามความเชื่อ) และอาคาเนะ(คนพี่ตามความเชื่อ) ที่อายุยังไม่ถึง 15 แต่ในตอนนั้นไม่มีฝาแฝดอยู่เลย ชาวบ้านจึงจำเป็นต้องนำทั้งสองมาประกอบพิธีกรรมสังเวยสีชาด
ฝาแฝดตระกูลคิริว
ด้วยความที่ยังเด็กมากทำให้อาคาเนะไม่มีแรงพอที่จะบีบคออาซามิให้ตายได้
นักบวชเลยพยายามมาช่วย แต่อาซามิปฏิเสธเพราะเธออยากตายด้วยมือพี่สาวคนเดียว
พิธีกรรมของทั้งคู่สำเร็จ
อาซามิกลายเป็นผีเสื้อสีชาด อาคาเนะได้รับตราผีเสื้อที่คอ
เหตุการณ์นั้นทำให้อาคาเนะรู้สึกจิตตกเป็นอย่างมาก
เธอรู้สึกเหงาที่ไม่มีอาซามิอยู่คุยด้วยแล้ว คิริว โยชิทัทสึ ช่างทำตุ๊กตาผู้เป็นพ่อ
เห็นลูกสาวของตนเป็นแบบนั้น ด้วยความที่ไม่อยากให้ลูกสาวของตัวเองรู้สึกโดดเดี่ยว
เขาจึงได้สร้างตุ๊กตาอาซามิมาเป็นตัวแทนของอาซามิ
อาคาเนะเริ่มกลับมาเป็นปกติ
เธอเล่นและพูดคุยกับตุ๊กตาอาซามิอย่างสนุกสนาน
แต่เวลาผ่านไปโยชิทัทสึก็พบกับเรื่องราวแปลกประหลาดเมื่อคืนหนึ่งเขาพบว่าลูกสาวของตนออกมาเดินเล่นในบ้าน
ในตอนแรกเขาไม่ได้คิดอะไรจนกระทั่ง....
เสียงของไม้ดังมาจากเท้าของลูกสาวเขา
ทำให้เขารู้ทันทีว่านั่นไม่ใช่อาคาเนะแต่เป็นตุ๊กตาอาซามิ!
โยชิทัทสึเห็นดังนั้น
จึงคิดว่าวิญญาณชั่วร้ายอาจจะมาสิงตุ๊กตาอาซามิ
รวมทั้งมีความเชื่อที่กล่าวว่าวิญญาณที่มาสิงตุ๊กตา มันจะขโมยวิญญาณของคนเป็น
โยชิทัทสึเห็นว่าตุ๊กตาอาซามิเริ่มควบคุมลูกสาวของเขา
ทำให้อาคาเนะเริ่มกลายเป็นตุ๊กตาทีละนิดๆ เลยวางแผนที่จะแขวนคอตุ๊กตาอาซามิ
และโยนมันลงสู่หลุมนรก
แต่ตุ๊กตาอาซามิรู้ทันและกระซิบบอกอาคาเนะ
อาคาเนะที่แน่นอนว่าไม่อยากเสียอาซามิไปอีกครั้ง จึงได้จัดการพังกลไกที่ไปสู่ทางเดินใต้ดิน
โยชิทัทสึรู้ว่าอาคาเนะได้พังกลไกแล้วเอาชิ้นส่วนกลไกไปซ่อน
แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ วิญญาณของอาซามิตัวจริงจึงมาหาโยชิทัทสึผู้เป็นพ่อ
และบอกเขาว่า เธอไม่ต้องการตัวแทน เพราะตอนนี้เธอเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับอาคาเนะตลอด
โยชิทัทสึรู้สึกผิดที่สร้างตุ๊กตาขึ้นมาในทันที
แต่วิญญาณอาซามิได้บอกโยชิทัทสึให้ช่วยฆ่าตุ๊กตาที่เป็นตัวแทนของเธอ
รวมถึงบอกที่ซ่อนของชิ้นส่วนที่อาคาเนะเอาไปซ่อน
แต่ในระหว่างที่โยชิทัทสึกำลังจะหาชิ้นส่วน
เขาก็ถูกอาคาเนะที่ถูกควบคุมโดยวิญญาณร้ายในตุ๊กตาอาซามิฆ่าตาย และในที่สุดวิญญาณของอาคาเนะก็โดนวิญญาณชั่วร้ายดูดกลืน
(มีทฤษฎีที่ว่า ชาวบ้านที่รู้เรื่องในตอนหลัง ได้จับตุ๊กตาอาซามิและอาคาเนะมาแขวนคอเป็นการลงโทษ เนื่องจากฆ่าพ่อของตน)
เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ตระกูลคิริวหมดสิ้นไป แต่เนื่องจากเป็นตระกูลที่อยู่ในบ้านแฝดที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมฝาแฝดเป็นอย่างมาก คนในตระกูลคุโรซาวะจึงยึดชื่อของตระกูลคิริวมา และสืบเชื้อสายเสียเอง
เนื่องจากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ตระกูลคิริวหมดสิ้นไป แต่เนื่องจากเป็นตระกูลที่อยู่ในบ้านแฝดที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมฝาแฝดเป็นอย่างมาก คนในตระกูลคุโรซาวะจึงยึดชื่อของตระกูลคิริวมา และสืบเชื้อสายเสียเอง
ผ่านมาถึงคราฝาแฝดของตระกูลโอซากะ มุสุบิ(เชื่อกันว่าเป็นคนน้อง)และ
สึซุริ(เชื่อกันว่าเป็นคนพี่) ทั้งสองเป็นที่เขาเคารพต่อคนในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก
เวลาพูดคุย ชาวบ้านจะพูดกับพวกเธอด้วยความเกรงใจเสมอ
โดยที่ทั้งสองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองมีความสามารถพิเศษที่สามารถแบ่งปันความเจ็บปวดร่วมกันได้
มุสุบิ(ซ้าย)และสุซุริ(ขวา)กำลังเล่นกันในสวนดอกไม้
เมื่อโตขึ้นพวกเธอมักจะเดินตามผีเสื้อสีแดงไปในสวนดออกไม้
โดยที่สงสัยว่าทำไมหมู่บ้านถึงมีสีแดงมากมายเช่นนี้
มุสุบิแอบหลงรักผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า
คิอิจิ วันหนึ่งเธอได้ไปสารภาพรักกับคิอิจิ
แต่ก็ถูกปฏิเสธมาด้วยเหตุผลที่ชาวบ้านรู้กันว่า
ไม่นานทั้งสองก็ต้องกลายเป็นหนึ่งเดียว มุสุบิที่เสียใจอย่างมาก ได้เข้ามากอดสึซุริผู้เป็นฝาแฝด
แต่ด้วยเหตุผลนั้นจึงทำให้มุสุบิเหลือแค่สึซุริคนเดียวแล้ว
เมื่ออายุถึงวัย
พวกเธอก็ถูกย้ายมาอยู่บ้านทาจิบาน่าและคิริว ในวันประกอบพิธีกรรม
พ่อของทั้งคู่ได้มาบอกมาว่าทั้งคู่ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำให้มุสึบิและสึซุริตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้น
นักบวชพาทั้งคู่ลงไปในที่หลุมนรก
ทั้งคู่ตกใจมากที่มีหลุมขนาดใหญ่อยู่ในหมู่บ้านด้วย
นักบวชเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทั้งคู่ฟัง
มุสุบิเห็นว่ามันเป็นชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และบอกให้สึซุริฆ่าเธอ
สึซุริต้องจำใจฆ่ามุสึบิทั้งน้ำตา
ด้วยพลังที่พวกเธอสองคนมีร่วมกัน ทำให้ผมของสึซุริเป็นสีขาวในทันที
มุสุบิกลายเป็นผีเสื้อ พิธีของทั้งคู่สำเร็จไปด้วยดี
สึซูริที่มีผมสีขาวและมีสัญลักษณืผีเสื้อตรงคอ
ความรู้สึกเสียใจและรู้สึกบาปของสึซุริที่ได้ฆ่าแฝดของตนส่งผลให้สึซุริฝันประหลาด
ฝันถึงคฤหาสน์หลังหนึ่งที่มีหิมะตก.... คฤหาสน์แห่งการหลับไหล...
อ่านเนื้อเรื่องของสึซุริและมุสุบิแบบเต็มๆได้ที่ => คลิก
อ่านเนื้อเรื่องของสึซุริและมุสุบิแบบเต็มๆได้ที่ => คลิก
(*ในที่นี้ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเหตุการณ์ของใครเกิดก่อนระหว่างคิริวและโอซากะ โอซากะอาจจะเกิดก่อนคิริวก็ได้ )
ผ่านมาถึงยุคของฝาแฝดคุโรซาวะ คุโรซาวะ เรียวคัง (ผู้เชื่อว่าเป็นพี่)และฝาแฝดผู้ไม่เอ่ยนาม(ผู้เชื่อว่าเป็นน้อง) ได้ทำพิธีกรรมสำเร็จ ส่งผลให้สีผมของเรียวคังกลายเป็นสีขาว
ผ่านมาถึงยุคของฝาแฝดคุโรซาวะ คุโรซาวะ เรียวคัง (ผู้เชื่อว่าเป็นพี่)และฝาแฝดผู้ไม่เอ่ยนาม(ผู้เชื่อว่าเป็นน้อง) ได้ทำพิธีกรรมสำเร็จ ส่งผลให้สีผมของเรียวคังกลายเป็นสีขาว
พอเข้าสู่ยุคเมจิได้มีกฎหมายฝาแฝดขึ้นมาว่าคนที่เกิดมาคนแรกเป็นพี่
แต่คนที่เกิดมาตอนหลังเป็นน้องเกิดขึ้น ซึ่งขัดกับประเพณีในหมู่บ้านมินาคามิ
แต่เนื่องจากเป็นธรรมเนียมที่สืบกันมาอย่างยาวนาน
ผู้คนในหมู่บ้านจึงไม่เปลี่ยนแปลงประเพณีของตนตามกฎหมาย
ในสมัยนั้น
เรียวคังได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของตระกูลคุโรซาวะ นั่นหมายถึงเขาต้องเป็นผู้นำในการทำพิธีกรรมและเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดเหนือทุกคนในหมู่บ้าน
เขาแต่งงานกับภรรยาและมีลูกสาวฝาแฝดอยู่สองคน โดยผู้ที่เกิดก่อนมีนามว่า
ซาเอะ(ผู้เชื่อว่าเป็นคนน้อง) และผู้ที่เกิดมาทีหลังมีนามว่า
ยาเอะ(ผู้เชื่อว่าเป็นคนพี่) ด้วยความโศกเศร้าของแม่ที่รู้ว่าชะตากรรมของลูกสาวทั้งสองคนจะเป็นเช่นไร
เธอจึงคิดสั้นฆ่าตัวตายโดยการกระโดดลงไปในหลุมนรกอเวจี ทำให้เรียวคังต้องดูแลเลี้ยงดูแฝดทั้งสองแต่เพียงผู้เดียว
ซาเอะ(ซ้าย)และยาเอะ(ขวา)
ด้วยการที่ตนรู้ถึงชะตาของทั้งสอง
เรียวคังจึงเลี้ยงซาเอะและยาเอะแบบปล่อยให้มีอิสระ ในตอนเด็ก ทั้งสองคนได้ไปเล่นที่แม่น้ำแถวหมู่บ้าน ทั้งสองสัญญากันว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
ซาเอะและยาเอะมีความสนิทสนมกับ ทาจิบานะ อิทสึกิ(ผู้เชื่อว่าเป็นคนพี่) และ ทาจิบานะ มุทสึกิ (ผู้เชื่อว่าเป็นคนน้อง) สองฝาแฝดหนุ่มจากตระกูลทาจิบานะซึ่งโตกว่าซาเอะและยาเอะ 1 ปี
ซาเอะและยาเอะมีความสนิทสนมกับ ทาจิบานะ อิทสึกิ(ผู้เชื่อว่าเป็นคนพี่) และ ทาจิบานะ มุทสึกิ (ผู้เชื่อว่าเป็นคนน้อง) สองฝาแฝดหนุ่มจากตระกูลทาจิบานะซึ่งโตกว่าซาเอะและยาเอะ 1 ปี
แฝดหนุ่มทั้งสองคนมีน้องสาวหนึ่งคนที่ชื่อว่า ทาจิบานะ จิโตเสะ จิโตเสะเป็นคนที่สายตาไม่ค่อยดี จึงทำให้เธอมองไม่เห็นและหลงไปเดินในที่อันตรายอยู่เรื่อย
อิทสึกิเลยแก้ปัญหาด้วยการมอบกระดิ่งให้จิโตะเสะ
ไว้ว่าวันไหนที่จิโตเสะตกที่นั่งลำบาก
เธอจะได้สั่นกระดิ่งเพื่อเรียกให้อิทสึกิมาช่วยได้
สามพี่น้องตระกูลทาจิบานะ
อิทสึกิได้มีเพื่อนสนิทที่เป็นคนนอกหมู่บ้าน
นามว่ามุนาคาตะ เรียวโซ ทั้งสองรู้จักกันและสนิทกันตั้งแต่เด็ก
หลังจากที่เรียวโซออกจากหมู่บ้านไป พวกเขาทั้งสองก็ส่งจดหมายถึงกันตลอด
แต่เมื่อวันพิธีกรรมซึ่งอิทสึกิและมุทสึกิ จะต้องเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมใกล้เข้ามา
ก็ทำให้เขากังวลมากขึ้น เพราะอิทสึกิกับมุทสึกิเป็นฝาแฝดที่รักกันมาก
อิทสึกิไม่อยากจะฆ่าแฝดของตน เขาเขียนความกังวลของตนไปให้เรียวโซอ่าน
อิทสึกิได้วางแผนหนีออกจากหมู่บ้านไปพร้อมกับมุทสึกิโดยใช้ทางลับใต้ศาลเจ้าของคุเรฮะ
เพื่อที่ตนและมุทสึกิจะได้ไม่ต้องตกอยู่กับชะตากรรมอันโหดร้าย แต่มุทสึกิที่มีร่างกายอ่อนแอบอกว่าเขาจะไม่หนี
เขาจะยอมกลายเป็นหนึ่งเดียวกับอิทสึกิ
อีกทั้งซาเอะกับยาเอะจะได้ไม่ต้องฆ่ากันเองด้วย อิทสึกิจึงต้องยอมมุทสึกิไป
เมื่อถึงวันพิธีอิทสึกิได้ใช้มือบีบคอฆ่ามุทสึกิ
แต่ด้วยการที่อิทสึกินั้นรักมุทสึกิมากเกินไปจึงทำให้พิธีกรรมของทั้งสองล้มเหลว
ด้วยความล้มเหลวของทาจิบานะ
ส่งผลให้มุทสึกิที่เสียชีวิตไม่ได้กลายเป็นผีเสื้อสีชาด ความคลุ้มคลั่งของนรกอเวจีเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้พืชผักทางการเกษตรของชาวบ้านตายไปด้วย
เนื่องจากพิธีล้มเหลว ชาวบ้านจึงต้องหาฝาแฝดมาทำพิธีกรรมให้สำเร็จภายในหนึ่งปี เพื่อแก้สถานการณ์
เนื่องจากพิธีล้มเหลว ชาวบ้านจึงต้องหาฝาแฝดมาทำพิธีกรรมให้สำเร็จภายในหนึ่งปี เพื่อแก้สถานการณ์
เรียวคังที่พยายามหาสาเหตุของการคลุ้มคลั่งของนรก
ได้รู้ว่าการคลุ้มคลั่งครั้งนี้มีความรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์หมู่บ้าน
เขาจึงได้ใช้อำนาจหาฝาแฝดจากหมู่บ้านระแวกใกล้เคียงมาประกอบพิธีกรรม
แต่ก็ไม่มีสักคู่ ตอนนี้ฝาแฝดที่เหลืออยู่มีแค่ลูกสาวทั้งสองของเขา “ซาเอะและยาเอะ”
เขาจึงตัดสินใจจะส่งทั้งสองไปอยู่ที่บ้านทาจิบาน่าเพื่อที่จะชำระล้างมลทิน
แต่ว่ากว่าทั้งสองจะชำระล้างมลทินจนเสร็จสิ้น คงไม่ทันการแน่!
อิทสึกิที่เสียใจและรู้สึกผิดต่อมุทสึกิที่ทำให้มุทสึกิกลายเป็นผีเสื้อไม่ได้
และต้องทำให้ซาเอะและยาเอะเป็นเหยื่อรายต่อไป ทำให้สีผมสีดำของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาว
อิทสึกิได้เขียนจดหมายถึงเรียวโซให้มาช่วยซาเอะและยาเอะไป ในวันพิธีกรรม จิโตเสะที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ถึงการมองเห็นจะไม่ค่อยดีแต่เธอก็เห็นสีผมของพี่ชายเธอได้ เธอรู้สึกสงสัยว่าทำไมผมของอิทสึกิเป็นสีขาว
และมุทสึกิหายไปไหนทำไมยังไม่กลับมา
อิทสึกิผมสีขาว
อิทสึกิได้มอบกุญแจห้องของเขาให้จิโตเสะและกำชับจิโตเสะไว้ว่า
ห้ามมอบกุญแจห้องของตนให้คนอื่น ยกเว้นเพื่อนของตน จิโตเสะที่รู้สึกดีใจเพราะได้รับงานสำคัญจากพี่ชายของตนก็รับปาก
อิทสึกิได้ย้ายไปอยู่อาศัยในเรือนเก็บของ ในฐานะของผู้หลงเหลือ ในระหว่างนั้นอิทสึกิได้วางแผนบอกให้ซาเอะและยาเอะเตรียมตัวหนีออกจากหมู่บ้านในวันพิธีกรรมไปซะ
เพราะตนไม่อยากให้ทั้งสองต้องเจอชะตากรรมแบบเดียวกับเขาและมุทสึกิ
เรียวโซที่ตอนนั้นได้เป็นลูกศิษย์ของมาคาเบะ เซอิจิโร่ ได้รับจดหมายจากอิทสึกิ ก็เป็นห่วงเพื่อนสนิทของตนขึ้นมา จึงอยากจะไปหาเพื่อนที่หมู่บ้านมินาคามิ
แต่ไม่มีกำลังทรัพย์และของที่ใช้เดินทางมากพอ เขาจึงไปปรึกษากับอาจารย์ของเขา
เซอิจิโร่ที่ได้รับคำขอมาจากลูกศิษย์ของตน จึงศึกษาข้อมูลของหมู่บ้านมินาคามิ
และพบว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีพิธีกรรมลับซ่อนอยู่ จึงสนใจเป็นอย่างมาก
เซอิจิโร่นำเรื่องนี้ไปบอก ดร.อาโซ
เพื่อนของเขาที่กำลังจะวางแผนไปสำรวจที่อื่น และขอยืมกล้อง Obscura กับโปรเจคเตอร์มา
เมื่อได้ฟังคำขอของเพื่อน ดร.อาโซ จึงมอบสิ่งประดิษฐ์ของตนให้เซอิจิโร่
มุนาคาตะ เรียวโซ (ซ้าย)และมาคาเบะ เซอิจิโร่(ขวา)
เซอิจิโร่และเรียวโซเดินทางมาถึงหมู่บ้านระแวกใกล้เคียง แต่เห็นว่าจะไปหมู่บ้านมินาคามิคงใช้เวลาอีกนาน จึงพักอยู่ที่นั่นก่อน
เขาถามชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นเกี่ยวกับหมู่บ้านมินาคามิ แต่ทุกคนก็เงียบและไม่พูดถึงใดๆเกี่ยวกับหมู่บ้านนั้น
หญิงชราที่อยู่ในบ้านที่เขาพัก ต้อนรับทั้งสองด้วยน้ำชา และถามเซอิจิโร่ว่า"จะไปที่หมู่บ้านนั้นจริงๆ เหรอ?" แถมยังเตือนพวกเขาให้ยกเลิกความคิดนั่นซะ เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง เซอิจิโร่ขอบคุณหญิงชรา ก่อนที่จะออกจากบ้านหลังนั้นไป
หลังจากที่ออกมาจากหมู่บ้านนั้น พวกเขาทั้งสองก็รู้สึกว่าชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นมองเขาอย่างไม่พอใจ เรียวโซได้สังเกตเห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งเดินตามเขามา
เซอิจิโร่ถามเด็กคนนั้นว่า "จะไปที่ภูเขางั้นเหรอ?" เด็กคนนั้นก็ตอบว่า"ไม่" แล้วถามคำถามเดียวกันกลับมา เซอิจิโร่บอกเด็กคนนั้นว่า "เขาจะไปที่ภูเขา" คำตอบนั่นทำให้เด็กหน้าซีดทันที เด็กคนนั้นยังเตือนทั้งสองอีกว่า "คุณไม่ควรไปที่ภูเขาในปีที่มีพิธีสังเวยสีชาดนะ ไม่งั้นปีศาจจะจับตัวคุณไป" ก่อนที่จะหนีกลับหมู่บ้านไป
ในที่สุดเซอิจิโร่และเรียวโซก็ได้เดินทางมาถึงหมู่บ้านมินาคามิ เขาเดินมาถึงเนินเขามิโซโนะ และมองมายังหมู่บ้าน เขาพบว่าทั้งหมู่บ้านนั้น ถูกปกคลุมด้วยหมอก
ทั้งสองเดินมายังหน้าบ้านหลังใหญ่ของตระกูลโอซากะ ที่อยู่หน้าสุดของหมู่บ้าน เรียวโซได้ตะโกนเรียกบอกคนในบ้านว่าเขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กของอิทสึกิ และจะมาหาอิทสึกิ
มีชายชรา ออกมาจากบ้านโอซากะและมองดูทั้งสองอย่างเงียบๆ ก่อนจะบอกให้รออยู่ที่นี่ เพราะเขาจะไปถามผู้นำหมู่บ้านตระกูลคุโรซาวะ
ในตอนนั้นเรียวคังที่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนเหยื่อสังเวยในพิธีกรรมก็คิดอะไรบางอย่างออก เขาคิดจะให้คนนอกที่มาเยี่ยมผู้นี้กลายเป็นคุซาบิเพื่อปลอบประโลมนรก ในระหว่างที่ซาเอะและยาเอะกำลังชำระล้างมลทินอยู่
เขาถามชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นเกี่ยวกับหมู่บ้านมินาคามิ แต่ทุกคนก็เงียบและไม่พูดถึงใดๆเกี่ยวกับหมู่บ้านนั้น
หญิงชราที่อยู่ในบ้านที่เขาพัก ต้อนรับทั้งสองด้วยน้ำชา และถามเซอิจิโร่ว่า"จะไปที่หมู่บ้านนั้นจริงๆ เหรอ?" แถมยังเตือนพวกเขาให้ยกเลิกความคิดนั่นซะ เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง เซอิจิโร่ขอบคุณหญิงชรา ก่อนที่จะออกจากบ้านหลังนั้นไป
หลังจากที่ออกมาจากหมู่บ้านนั้น พวกเขาทั้งสองก็รู้สึกว่าชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นมองเขาอย่างไม่พอใจ เรียวโซได้สังเกตเห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งเดินตามเขามา
เซอิจิโร่ถามเด็กคนนั้นว่า "จะไปที่ภูเขางั้นเหรอ?" เด็กคนนั้นก็ตอบว่า"ไม่" แล้วถามคำถามเดียวกันกลับมา เซอิจิโร่บอกเด็กคนนั้นว่า "เขาจะไปที่ภูเขา" คำตอบนั่นทำให้เด็กหน้าซีดทันที เด็กคนนั้นยังเตือนทั้งสองอีกว่า "คุณไม่ควรไปที่ภูเขาในปีที่มีพิธีสังเวยสีชาดนะ ไม่งั้นปีศาจจะจับตัวคุณไป" ก่อนที่จะหนีกลับหมู่บ้านไป
ในที่สุดเซอิจิโร่และเรียวโซก็ได้เดินทางมาถึงหมู่บ้านมินาคามิ เขาเดินมาถึงเนินเขามิโซโนะ และมองมายังหมู่บ้าน เขาพบว่าทั้งหมู่บ้านนั้น ถูกปกคลุมด้วยหมอก
ทั้งสองเดินมายังหน้าบ้านหลังใหญ่ของตระกูลโอซากะ ที่อยู่หน้าสุดของหมู่บ้าน เรียวโซได้ตะโกนเรียกบอกคนในบ้านว่าเขาเป็นเพื่อนสมัยเด็กของอิทสึกิ และจะมาหาอิทสึกิ
มีชายชรา ออกมาจากบ้านโอซากะและมองดูทั้งสองอย่างเงียบๆ ก่อนจะบอกให้รออยู่ที่นี่ เพราะเขาจะไปถามผู้นำหมู่บ้านตระกูลคุโรซาวะ
ในตอนนั้นเรียวคังที่กำลังประสบปัญหาขาดแคลนเหยื่อสังเวยในพิธีกรรมก็คิดอะไรบางอย่างออก เขาคิดจะให้คนนอกที่มาเยี่ยมผู้นี้กลายเป็นคุซาบิเพื่อปลอบประโลมนรก ในระหว่างที่ซาเอะและยาเอะกำลังชำระล้างมลทินอยู่
เรียวคังได้ออกมาต้อนรับเซอิจิโร่และเรียวโซอย่างอบอุ่นด้วยตัวเอง รวมถึงพาไปยังบ้านของตัวเอง ที่นั่นเรียวคังให้ซาเอะและยาเอะมาแนะนำตัวต่อทั้งสองด้วย ทั้งสองได้สบตากับเรียวโซก็เขินอายนิดหน่อย เพราะทั้งซาเอะ ยาเอะและเรียวโซก็รู้จักกันมาก่อนแต่ไม่ได้พบกันมานาน
เซอิจิโร่ใช้กล้อง Obscura ถ่ายรูปซาเอะและยาเอะไว้ และมอบให้แฝดทั้งสอง ซาเอะและยาเอะตกใจมากที่กล่องประหลาดๆ สามารถสร้างรูปภาพของตนได้ แต่หน้าของซาเอะในรูปนั้นดูเบลอๆ หน่อย (เหมือนเป็นลางของผู้ที่จะถูกฆ่าในพิธี) แต่ซาเอะก็คิดว่าสิ่งนี้มันน่าเก็บไว้ดูจริงๆ
เซอิจิโร่ใช้กล้อง Obscura ถ่ายรูปซาเอะและยาเอะไว้ และมอบให้แฝดทั้งสอง ซาเอะและยาเอะตกใจมากที่กล่องประหลาดๆ สามารถสร้างรูปภาพของตนได้ แต่หน้าของซาเอะในรูปนั้นดูเบลอๆ หน่อย (เหมือนเป็นลางของผู้ที่จะถูกฆ่าในพิธี) แต่ซาเอะก็คิดว่าสิ่งนี้มันน่าเก็บไว้ดูจริงๆ
ภาพถ่ายของยาเอะและซาเอะ
เรียวคังที่เห็นว่ามีโอกาสทองลอยมาอยู่ในกำมือแล้ว
จะทำให้เล็ดลอดหนีออกไปไม่ได้ จึงให้เซอิจิโร่ได้เข้าพักที่บ้านของโอซากะ และบอกเขาว่าจะสำรวจหมู่บ้านตามใจชอบแค่ไหนก็ได้ อีกทั้งยังบอกว่าในบ้านคุโรซาวะของเขานั้น มีหนังสือตำนานเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านจำนวนมากพอ
ซึ่งจะทำให้เขาอยู่เก็บเกี่ยวเรื่องราวของหมู่บ้านนี้ได้นานพอดู
เซอิจิโร่ได้ใช้กล้อง Obscura ถ่ายรูปสถานที่ต่างๆ
ในหมู่บ้านและก็พบกับสิ่งลึกลับเข้ามาโจมตีเขา ทำให้เขารู้ว่ากล้องที่เขาเอามามันอันตรายเกินไป
เขาได้ทำการสำรวจหมู่บ้านและพบกับเรือนเก็บของที่อยู่ข้างๆ บ้านร้างของตระกูลสึจิฮาระ เขารู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ในนั้นจึงจะเข้าไปดู แต่ชายที่ดูเหมือนจะเป็นคนเฝ้ามาบอกเขาว่าที่นี่ไม่ได้ใช้นานแล้ว ทำให้เซอิจิโร่ต้องกลับไป(เพราะคนในหมู่บ้านไม่อยากให้เรียวโซและเซอิจิโร่พบกับอิทสึกิที่อยู่ข้างในเรือนเก็บของ)
เขาได้ทำการสำรวจหมู่บ้านและพบกับเรือนเก็บของที่อยู่ข้างๆ บ้านร้างของตระกูลสึจิฮาระ เขารู้สึกได้ว่ามีคนอยู่ในนั้นจึงจะเข้าไปดู แต่ชายที่ดูเหมือนจะเป็นคนเฝ้ามาบอกเขาว่าที่นี่ไม่ได้ใช้นานแล้ว ทำให้เซอิจิโร่ต้องกลับไป(เพราะคนในหมู่บ้านไม่อยากให้เรียวโซและเซอิจิโร่พบกับอิทสึกิที่อยู่ข้างในเรือนเก็บของ)
เซอิจิโร่ได้เข้าไปศึกษาหาข้อมูลในบ้านของคุโรซาวะ เขาพบทางแยกที่หลังห้องอัญเชิญของตระกูลคุโรซาวะและพบว่ามันพูกล็อคด้วยกลไกบางอย่าง แต่ตอนนั้นเอง สาวรับใช้ของตระกูลคุโรซาวะก็มาเตือนเขาว่า ที่นั่นเป็นที่ศักสิทธิ์ ถึงแม้จะเป็นแขกคนสำคัญ แต่ก็ไม่ให้เข้าใกล้สถานที่นั้น อีกทั้งผู้นำหมู่บ้านจะไม่พอใจอีกด้วย เซอิจิโร่กล่าวคำขอโทษแล้วรีบออกมา
วันต่อมาเซอิจิโร่ ถูกเชิญให้เข้าพักที่บ้านใหญ่คุโรซาวะ แต่เขาก็สงสัยว่าทำไมถึงให้เขามาพักที่บ้านใหญ่คนเดียว แต่ไม่ชวนเรียวโซมาด้วย
วันต่อมาเซอิจิโร่ ถูกเชิญให้เข้าพักที่บ้านใหญ่คุโรซาวะ แต่เขาก็สงสัยว่าทำไมถึงให้เขามาพักที่บ้านใหญ่คนเดียว แต่ไม่ชวนเรียวโซมาด้วย
ในตอนนั้น เรียวโซได้ออกตามหาอิทสึกิแต่ก็ไม่พบ
พอเอาไปถามชาวบ้าน ชาวบ้านก็โกหกบอกว่าอิทสึกิป่วยตายไปนานแล้ว
แต่นั่นก็ยิ่งทำให้เรียวโซสงสัยขึ้นไปอีกเพราะอิทสึกิเพิ่งจะส่งจดหมายหาเขาก่อนที่เขาจะออกเดินทางมา เรียวโซได้พบบันทึกของอิทสึกิและรู้ว่าอิทสึกิกำลังหาทางหนีออกจากหมู่บ้าน
ในระหว่างนั้นเขาก็พบกับจิโตเสะน้องสาวของอิทสึกิ
ดูเหมือนว่าจิโตเสะอยากจะให้อะไรบางอย่างแก่เรียวโซ แต่เธอดันไม่กล้าและหนีไป
วันถัดมา ซาเอะและยาเอะรู้ว่าพ่อของตนจะทำให้เซอิจิโร่เป็นคุซาบิ
ทั้งสองที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้สึกเสียใครไป เหมือนที่พวกตนเสียมุทสึกิ ก็รีบเอาแผนที่ทางหนีและกุญแจประตูของบ้านคุโรซาวะมาให้เซอิจิโร่
หลังจากที่มอบให้ พวกเธอเตือนเซอิจิโร่ว่าพิธีกรรมซ่อนเร้นกำลังใกล้เข้ามา จงรีบหนีออกไปตอนกลางคืน
และก็วิ่งหนีออกมาจากห้องโดยไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะถูกพ่อกำชับไว้ว่าห้ามบอกเรื่องของหมู่บ้านแก่คนนอก
เซอิจิโร่ที่รับแผนที่มาก็ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรเช่นกัน
แต่เขาไม่คิดจะออกไปหมู่บ้านอยู่แล้ว
เซอิจิโร่ได้เข้าไปหาข้อมูลในห้องของเรียวคัง เขากลับค้นพบความจริงอันน่าสะพรึงกลัว ว่าเขาจะถูกทำให้กลายเป็นคุซาบิ ทำให้เขารู้ถึงสาเหตุของเรียวคังและชาวบ้านว่าทำไมเขาถึงต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น รวมถึงที่ซาเอะและยาเอะอยากให้เขาหนี เพื่อความปลอดภัยของเรียวโซ เขาจึงได้เขียนจดหมายไปถึงเรียวโซที่อยู่ด้านนอก บอกให้เรียวโซออกจากหมู่บ้านไปก่อน หลังจากที่เขาเขียนเสร็จ เขาก็ขอร้องยาเอะและซาเอะให้นำจดหมายที่เขาเขียนไปส่งให้เรียวโซ
ซาเอะและยาเอะนำจดหมายไปให้เรียวโซตามคำขอ หลังจากที่เรียวโซได้อ่านข้อความในจดหมาย เขาจึงเตรียมตัวออกจากหมู่บ้านในทันที แต่ก่อนที่เรียวโซจะออกจากหมู่บ้านไป เขาได้เขียนจดหมายถึงอิทสึกิว่าเขาจะมารับฝาแฝดหลังจากที่หนีออกมาได้แล้ว และเมื่อฝาแฝดปลอดภัย เขาก็จะกลับมารับอิทสึกิ เขาได้กระซิบบอกยาเอะว่าจะมารับในคืนพิธีอีกด้วย ซึ่งทำให้ยาเอะที่ได้ยินก็รู้สึกเกร็งขึ้นมานิดหน่อย
เซอิจิโร่ได้เข้าไปหาข้อมูลในห้องของเรียวคัง เขากลับค้นพบความจริงอันน่าสะพรึงกลัว ว่าเขาจะถูกทำให้กลายเป็นคุซาบิ ทำให้เขารู้ถึงสาเหตุของเรียวคังและชาวบ้านว่าทำไมเขาถึงต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น รวมถึงที่ซาเอะและยาเอะอยากให้เขาหนี เพื่อความปลอดภัยของเรียวโซ เขาจึงได้เขียนจดหมายไปถึงเรียวโซที่อยู่ด้านนอก บอกให้เรียวโซออกจากหมู่บ้านไปก่อน หลังจากที่เขาเขียนเสร็จ เขาก็ขอร้องยาเอะและซาเอะให้นำจดหมายที่เขาเขียนไปส่งให้เรียวโซ
ซาเอะและยาเอะนำจดหมายไปให้เรียวโซตามคำขอ หลังจากที่เรียวโซได้อ่านข้อความในจดหมาย เขาจึงเตรียมตัวออกจากหมู่บ้านในทันที แต่ก่อนที่เรียวโซจะออกจากหมู่บ้านไป เขาได้เขียนจดหมายถึงอิทสึกิว่าเขาจะมารับฝาแฝดหลังจากที่หนีออกมาได้แล้ว และเมื่อฝาแฝดปลอดภัย เขาก็จะกลับมารับอิทสึกิ เขาได้กระซิบบอกยาเอะว่าจะมารับในคืนพิธีอีกด้วย ซึ่งทำให้ยาเอะที่ได้ยินก็รู้สึกเกร็งขึ้นมานิดหน่อย
ซาเอะที่รู้สึกไม่อยากจะวิ่งหนีออกจากหมู่บ้านสักเท่าไหร่
เพราะร่างกายของตนอ่อนแอ และถ้าตนเองไม่ทำพิธีกรรมก็จะทำให้มีคนเดือดร้อนมากขึ้นไปอีก
แต่ว่ายาเอะบอกอย่างมั่นใจว่าจะหนีไปด้วยกันและถ้าออกไปได้พวกเธอก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไป
.
.
วันต่อมาเซอิจิโร่ได้ถูกย้ายมาอยู่ในห้องกรง ที่นั่นมีข้อมูลหลายอย่างเกี่ยวกับหมู่บ้านเช่นกัน แต่อารมณ์ความสุขที่มีต่อการต้อนรับอย่างอบอุ่นของหมู่บ้านได้หายไปแล้ว เขาได้แต่หวังว่าเรียวโซจะออกจากหมู่บ้านไปอย่างปลอดภัย
ในที่สุดวันที่เซอิจิโร่จะถูกจับมาทำพิธีคุซาบิก็มาถึง เขาถูกมัดและตรึงแขวนไว้ด้านบนของห้องพิธีเชือก ถึงแม้จะเจ็บปวดทรมานเพราะเชือกบาด แต่เขาก็ตื่นเต้นที่จะได้เห็นโลกหลังความตาย
เซอิจิโร่ที่ยังมีชีวิตอยู่ถูกโยนลงไปหลุมนรกอเวจี
ส่งผลให้นรกสงบลงในชั่วระยะเวลาอันสั้นพอที่จะทำให้ยาเอะและซาเอะชำระล้างมลทินเสร็จสิ้น
ผ่านมาจนถึงคืนพิธีกรรมสังเวยสีชาดที่นัดตามแผนเอาไว้
อิทสึกิแอบออกมาจากเรือนเก็บของ เปิดทางหนีให้ซาเอะและยาเอะ
เขาบอกทั้งคู่ว่าให้วิ่งไปอย่างสุดชีวิตอย่าหันกลับมา แล้วเขาจะเป็นตัวล่อให้
ทั้งคู่ได้วิ่งออกไป ยาเอะวิ่งนำซาเอะไปก่อน
ซาเอะที่วิ่งตามไปก็หันมามองอิทสึกิครั้งสุดท้ายก่อนที่จะวิ่งตามยาเอะไป
“ยาเอะ... เดี๋ยวก่อน!”
“อย่าทิ้งฉันไว้นะ!”
ซาเอะตะโกนบอกยาเอะที่วิ่งนำอยู่
“ซาเอะเร็วๆเข้าสิ!”
ยาเอะตะโกนตอบ
ฟึ่บ
“กรี๊ดดดดดดดดดดด!”
เสียงกรี๊ดของซาเอะที่ก้าวเท้าพลาดตกลงไปในภูเขาทำให้ยาเอะลังเล แต่เธอก็กลัวว่าพวกชาวบ้านที่รู้ตัวว่าพวกเธอหนีออกมานั้น จะวิ่งตามมาทันพวกเธอ ยาเอะจึงไม่มีทางเลือกจึงทิ้งซาเอะและหนีไป
(บางข้อมูลได้อ้างว่าซาเอะแกล้งลื่นตกลงไปเพราะว่าอยากจะเป็นหนึ่งเดียวกับยาเอะ
เพราะเธอรู้ว่าเมื่อโตขึ้น สุดท้ายต่างคนก็ต่างใช้ชีวิตอยู่และตายจากกันอยู่ดี)
สุดท้ายแล้วชาวบ้านก็จับอิทสึกิได้ แล้วนำเขากลับมาที่เรือนเก็บของพร้อมทั้งขังเขาไว้ในนั้นเพื่อเป็นการลงโทษ และพวกเขาก็ได้ออกตามหาฝาแฝดจนพบกับซาเอะที่นอนหมดสติอยู่และจับเธอกลับมายังหมู่บ้าน
เหล่าชาวบ้านที่จับซาเอะได้แค่คนเดียวก็กังวลกันมากเพราะหายาเอะไม่เจอ
ถ้าไม่มีมิโกะแฝดครบสองคน ก็ทำพิธีไม่ได้
ซาเอะเชื่อว่ายังไงซะยาเอะก็ต้องกลับมาหาเธอ....
เมื่อถึงเวลาพิธีกรรมยาเอะก็ไม่กลับมา
เรียวคังคงคิดว่ายาเอะอาจจะหลงทางในป่าแล้วก็ได้
จึงคิดจะลองใช้ซาเอะทำพิธีคนเดียวเพราะไม่มีทางเลือก
ก่อนจะทำพิธี ซาเอะได้ร้องขออย่างหนึ่งว่า เธอขอเข้าไปพบอิทสึกิที่ถูกขังอยู่ในเรือนเก็บของ ซาเอะได้เข้าไปในเรือนเก็บของ แต่สิ่งที่เธอเห็นก็คือร่างอันไร้วิญญาณของอิทสึกิที่ผูกคอตายอยู่ในเรือนเก็บของ ซาเอะรู้สึกตกใจและเสียใจกับสิ่งที่เห็นเป็นอย่างมาก
“รู้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับอิทสึกิ...
มันเป็นความผิดของพวกเรา... เราสัญญากันแล้วนี่ยาเอะ... ทำไมเธอถึงไม่กลับมา?!”
นักบวชได้พาซาเอะลงไปที่หลุมนรก
พวกเขาจับซาเอะแขวนคอกับประตูโทริอิ และให้ผู้ป้องกันโยนร่างอันไร้วิญญาณของซาเอะลงไปในหลุมนรกอเวจี
“ฉันจะรอเธอตลอดไป...”
ทันใดนั้นเอง ก็เกิดแผ่นดินไหวอันรุนแรงขึ้น
ราวกับพื้นดินได้เกรี้ยวโกรธอย่างบ้าคลั่งเนื่องจากพิธีกรรมไม่ถูกต้องถึงสองครั้ง นักบวชก็พากันตกใจหวาดกลัวกับสิ่งที่เขาเห็น
ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า.... ซาเอะที่น่าจะถูกโยนลงไปข้างล่างแล้ว กลับขึ้นมาอยู่เหนือหลุม
ความมืด ความอาฆาตพยาบาทพรั่งพรูออกมา พร้อมกับวิญญาณของซาเอะที่กลายเป็นวิญญาณชั่วร้ายผู้บ้าคลั่งและอำมหิตที่สุด
หลังจากนั้นความมืดก็ได้เข้าปกคลุมปิดบังท้องนภาเหนือผืนป่าและหมู่บ้านภายในชั่วพริบตา....
ซาเอะได้ขึ้นมาจากนรกพร้อมกับเซอิจิโร่ในร่างคุซาบิ
เธอและคุซาบิเดินขึ้นมายังผืนดิน ฆ่าทุกคนในหมู่บ้านที่เธอเห็นจนหมดสิ้น
เสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งของซาเอะดังก้องออกมาด้วยความแค้นและความโกรธเกรี้ยวที่ยาเอะได้ทิ้งเธอไป แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงรอให้ยาเอะกลับมาหาเธอตามที่สัญญากันไว้
คุซาบิ
ซาเอะหัวเราะอย่างบ้าคลั่งในคืนโศกนาฏกรรม จากฉาก Frozen Butterfly
จิโตเสะที่ไม่รู้ว่าพี่ชายของเธอได้ตายไปแล้วก็เอาแต่สั่นกระดิ่งเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากพี่ชายของเธอ แต่ไม่ว่าจะสั่นสักแค่ไหนก็ไม่มีใครมาหา จิโตเสะรู้แค่ว่าเป็นเพราะยาเอะที่ทำให้พี่ชายของเธอต้องถูกขัง สุดท้ายแล้วจิโตเสะก็ได้ตายอยู่ในตู้ที่เธอเข้าไปแอบเพราะถูกความมืดกลืนกิน
หลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในครั้งนั้นหมู่บ้านมินาคามิก็ไม่มีกลางวันอีกเลย
และคืนที่สุดแสนอำมหิตนี้ก็เกิดขึ้นวนเวียนซ้ำอย่างนั้นทุกๆวันตลอดกาล....
ยาเอะที่ออกมาจากป่าได้
ก็ได้ตัดสินใจที่จะกลับไปช่วยซาเอะแต่ก็พบว่า หมู่บ้านของเธอนั้นหายไปแล้ว
ยาเอะร้องไห้คร่ำครวญถึงซาเอะ ที่ไม่สามารถช่วยซาเอะได้ทันเวลา เธอเอาแต่ขอโทษและขอให้ซาเอะให้อภัยเธอ
เรียวโซที่เข้ามาตามสัญญาที่ได้ตกลงกันกับอิทสึกิ
ก็พบกับผู้ที่มีชีวิตรอดเพียงหนึ่งเดียวจากหมู่บ้านกำลังคร่ำครวญถึงการจากไปของฝาแฝดเธอ
ยาเอะ คุโรซาวะ กำลังร้องไห้อยู่ที่หน้าประตูโทริอิทางเข้าของหมู่บ้าน...
.
.
.
.
เรียวโซได้พายาเอะกลับไปที่บ้านของตน
เขาช่วยปลอบใจยาเอะให้รู้สึกดีขึ้น จากนั้นทั้งสองก็ตกหลุมรักกันและแต่งงานกัน
ยาเอะเปลี่ยนนามสกุลจากคุโรซาวะ เป็นมุนาคาตะ ทั้งสองมีลูกสาวหนึ่งคนชื่อว่า
มิโคโตะ (เนื้อเรื่องของเรียวโซและยาเอะจะไปต่อที่ Fatal Frame ภาค 1)
.
.
.
.
.
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่คนก็หายตัวหลงเข้าไปในหมู่บ้านมินาคามิมากขึ้นเท่านั้น ข่าวลือของมันก็เริ่มแพร่กระจายกันไปทั่ว
อาโซ มิซาโอะ ลูกหลานสายเลือดโดยตรงจาก
ดร.อาโซ คุนิฮิโกะ ได้แต่งงานกับอามาคุระ ชิซุ มิซาโอะได้เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของภรรยาโดยไม่ทราบสาเหตุ(คาดว่าเพื่อหลบอาถรรพ์ของตระกูลอาโซ)
ทั้งสองให้กำเนิดบุตรสาวฝาแฝดสองคน ชื่อว่าอามาคุระ มายุ ซึ่งเป็นผู้พี่ และอามาคุระ มิโอะ ผู้ซึ่งเป็นน้อง ทั้งสองคนมีความสามารถพิเศษที่เรียกว่าซิกส์เซนส์ อีกทั้งมิโอะยังสามารถมองเห็นในสิ่งที่มายุเห็นได้อีกด้วย
ครอบครัวอามาคุระอาศัยแถวๆ เขต มินาคามิ
ชิซุมักจะเตือนกำชับลูกสาวทั้งสองว่าห้ามไปเล่นในป่าตอนๆมืดๆ
มิฉะนั้นจะถูกลักซ่อนไปตลอด
แต่ไม่ทันไรมิซาโอะสามีของชิซุก็หายตัวไปในป่าแล้วไม่กลับมาอีกเลย
ชิซุบอกมายุและมิโอะว่าพ่อของทั้งสองได้เสียชีวิตไปแล้ว และเธอก็ไม่พูดถึงอีกเลย
มิโอะ(ซ้าย)และมายุ(ขวา)ในวัยเด็ก
ทุกๆวัน มิโอะกับมายุจะออกไปวิ่งเล่นกันที่สถานที่ลับของพวกเธอในป่าแถบภูเขามินาคามิ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จักและเป็นที่ที่สวยงามมาก แต่วันหนึ่ง มิโอะได้แกล้งมายุโดยการปล่อยมือให้มายุวิ่งตามหลัง
“เร็วสิ อย่าชักช้า”
“พี่คงไม่อยากถูกฉันทิ้งไว้ที่นี่หรอกนะ...” มิโอะพูดแกล้งมายุ
“มิโอะ...รอฉันด้วย!” มายุตะโกน
“ก็เร็วๆ สิพี่มายุ” มิโอะพูดด้วยน้ำเสียงกลั่นแกล้ง
“มิโอะ! ได้โปรด อย่าทิ้งฉัน!”มายุตะโกน
ฟึ่บ
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด!!!!”
เสียงร้องของมายุดังขึ้นหลังจากที่ก้าวเท้าพลาดและลื่นตกเขาไป
“พี่มายุ.....พี่มายุ?”
มิโอะเรียกชื่อมายุพลางก้าวเท้าไปหามายุที่ตกลงไปพลาง
“ฉันขอโทษ...ฉันขอโทษ...”
มิโอะเห็นมายุที่ขาหักนอนบาดเจ็บสาหัสอยู่ข้างล่าง
ทำให้เกิดเป็นปมอยู่ในใจเธอว่า เธอทิ้งพี่สาวของตนทำให้พี่สาวได้รับบาดเจ็บ
ตั้งแต่นั้นมามิโอะเลยสัญญากับมายุว่าเธอจะไม่ทิ้งมายุไปไหนอีก
มายุหลังตกจากเขา
หลังจากเกิดอุบัติเหตุชิซุจึงพามิโอะและมายุออกมาจากเขตมินาคามิ
.
.
.
.
ผ่านไปหลายปี ทางรัฐได้มีการวางแผนที่จะสร้างเขื่อนบริเวณภูเขามินาคามิจึงได้ส่ง มาคิมุระ มาสุมิ นักธรณีวิทยามาสำรวจพื้นที่ แต่ว่า...
มาสุมิกลับหายสาปสูญไปในป่า เขามาโผล่อยู่ที่เนินเขามิโซโนะในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ไม่ได้อยู่บนแผนที่
เป็นหมู่บ้านในข่าวลือที่แพร่กันว่ามีแต่ความมืดมิดอันนิรันดร์
มาสุมิพยายามหาทางออกที่เขาเข้ามา
เขาก็พบว่าทางเข้านั้นมันฝังอยู่ในดินไปเรียบร้อยแล้ว มาสุมิจึงเข้าไปในหมู่บ้านมินาคามิที่หายสาปสูญเพื่อหาเส้นทางหนี
เขาเชื่อว่ามันต้องมีทางหนีอื่น
หลายวันผ่านมาได้มีข่าวที่มาสุมิหายตัวไปแพร่กระจายออกไป
แฟนสาวของมาสุมิ สุโด มิยาโกะ และคณะนักสำรวจได้ออกตามหามาสุมิในป่ามินาคามิ
แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จนในที่สุดก็ต้องยกเลิกการหาไป
มิยาโกะ(ซ้าย) มาสุมิ(ขวา)
มิยาโกะที่ไม่ยอมแพ้ก็พยายามหามาสุมิ จนเธอได้เดินผ่านหินเทพารักษ์และติดเข้ามาอยู่ในอีกห้วงมิตินึง
เธอเดินมาจนถึงเนินเขามิโซโนะ และพบกับหมู่บ้านที่หายสาปสูญ มิยาโกะรู้สึกได้ว่ามาสุมิต้องอยู่ที่แน่ๆ
มิยาโกะเดินเข้าไปในบ้านของตระกูลโอซากะ เธอพยายามหามาสุมิและทิ้งบันทึกไว้ให้มาสุมิ
มิยาโกะพบกับสิ่งผิดปกติบางอย่าง เธอได้ยินเสียงเพลงสวดมนต์มาจากที่ไกลออกไป
แต่ทันใดนั้นเสียงของผู้หญิงที่หัวเราะอันน่าสะพรึงกลัวอย่างบ้าคลั่งก็ดังออกมาจากส่วนลึกของหมู่บ้าน
ทำให้มิยาโกะถึงกับกลัวจนสติแทบแตก
แต่ด้วยบันทึกที่มิยาโกะทิ้งไว้ให้มาสุมิ
ทำให้มาสุมิกับมิยาโกะมาเจอกันในบ้านโอซากะ
มาสุมิกับมิยาโกะจึงพยายามหาทางออกจากหมู่บ้าน
แต่ว่าตอนนี้ทั้งคู่ไม่รู้ว่าผ่านมากี่วันที่มาอยู่ที่นี่
เพราะที่นี่ไม่มีกลางวัน มิยาโกะมีอาการเหนื่อยและเจ็บขาอย่างเห็นได้ชัด
มาสุมิจึงให้เธอนอนพักในบ้านของโอซากะ แต่กว่ามิยาโกะจะนอนพักได้ก็ใช้เวลานานพอดู
เพราะความมืด และเสียงหัวเราะของผู้หญิงอันบ้าคลั่งแทบจะทำให้เธอหลอนจนเสียสติ
มาสุมิที่คิดว่าทางออกน่าจะถูกเก็บไว้ที่บ้านใหญ่ของตระกูลคุโรซาวะ
เขาจึงปล่อยให้มิยาโกะนอนอยู่ที่บ้านโอซากะและออกไปหากุญแจที่บ้านโอซากะคนเดียว
แต่ว่าโชคร้าย...
เขาได้เผอิญไปพบกับคุซาบิ และถูกคุซาบิฆ่าตายในตู้ที่เขาหนีเข้าไปซ่อนตัว
วิญญาณของมาสุมิที่ตายก็ถูกความมืดอันชั่วร้ายของหมู่บ้านกลืนกินกลายเป็นวิญญาณร้าย
แต่ว่าในใจของมาสุมิยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้ทำ นั่นคือการให้แหวนกับมิยาโกะ
มิยาโกะที่ตื่นขึ้นมาเธอพบว่ามาสุมิไม่อยู่แล้ว
มิยาโกะแทบคลั่งหนักกว่าเก่าเพราะเธอฝันเห็นถึงภาพหลอนในอดีต
ภาพของโศกนาฏกรรมและความตายที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน
เธอจึงเอาแต่ภาวนาว่ามาสุมิคงจะกลับมาพร้อมกับทางออกไปจากหมู่บ้าน
และมาสุมิก็กลับมาจริงๆ
แต่กลับมาในร่างที่ไม่ใช่คน! วิญญาณมาสุมิที่โดนความมืดกลืนกินจัดการบีบคอฆ่ามิยาโกะด้วยมือของเขาเอง
ทำให้วิญญาณอันชั่วร้ายของทั้งคู่ยังคงวนเวียนอยู่ในบ้านของตระกูลโอซากะ
.
.
มิโอะและมายุในภาคปกติ
มิโอะและมายุใน Deep Crimson Butterfly
ผ่านมาหลายปีจนมายุและมิโอะอายุ 15 (ใน Deep Crimson Butterfly อายุ 17) เมื่อได้ยินข่าวการสร้างเขื่อนที่มินาคามิ ชิซุที่มีความคิดถึงสามีและอยากจะไว้อาลัยก็คิดที่จะพาลูกสาวทั้งสองกลับไปที่ภูเขามินาคามิซึ่งเป็นบ้านเกิดอีกครั้งหนึ่ง
ในคืนก่อนที่พวกเธอทั้ง 3 คนจะกลับไป มายุได้ฝันถึงเรื่องราวอันแปลกประหลาด เธอฝันถึงพ่อของเธอ ซึ่งเธอและมิโอะสามารถจำหน้าตาของพ่อได้จากรูปถ่ายเท่านั้น เพราะพ่อของทั้งสองตายไปตั้งแต่ที่ทั้งสองยังเล็กๆ ในฝันนั้น มายุฝันว่าพ่อของพวกเธอกำลังห้ามเธอและมิโอะ ไม่ให้เข้าไปในภูเขา แต่ทั้งสองก็ไม่ฟังและวิ่งเข้าไปเรื่อยๆ จนทันใดนั้นผีเสื้อสีชาดก็บินออกมารอบๆตัวเธอ หลังจากนั้นมายุก็รู้สึกตัวแล้วตื่นขึ้นมา มายุคิดว่าฝันนี้เป็นฝันที่แปลกเอามากๆ มันทำให้เธอคุ้นเคยและรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
วันรุ่งขึ้น ทั้ง 3 คนได้ออกเดินทาง กลับมาที่ภูเขามินาคามิอีกครั้ง เมื่อมาถึง ทั้งสองคนได้บอกแม่ของพวกตนว่าจะออกไปเล่นในป่า ซึ่งชิสุก็ยังคงกำชับห้ามลูกๆ ทั้งสองว่า อย่าวิ่งเข้าไปลึกๆในป่าล่ะ ไม่งั้นจะหลงเข้าไปในหมู่บ้านที่หายสาปสูญได้นะ
หลังจากที่ฟังแม่เตือนเสร็จ มิโอะและมายุก็มุ่งหน้ากลับมาในสถานที่ลับของตนที่ไม่ได้มานาน และนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองจะได้มาที่แห่งนี้ เพราะอีกไม่นานที่นี่จะกลายเป็นเขื่อนไปแล้ว ทั้งสองจึงได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันข้างๆ ลำธารเล็กๆแถวๆนั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่า ฝันร้ายอันน่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาของทั้งสอง และฝังลึกลงไปในจิตใจจนมิอาจจะลืมได้ กำลังคืบคลานเข้ามา....
ในคืนก่อนที่พวกเธอทั้ง 3 คนจะกลับไป มายุได้ฝันถึงเรื่องราวอันแปลกประหลาด เธอฝันถึงพ่อของเธอ ซึ่งเธอและมิโอะสามารถจำหน้าตาของพ่อได้จากรูปถ่ายเท่านั้น เพราะพ่อของทั้งสองตายไปตั้งแต่ที่ทั้งสองยังเล็กๆ ในฝันนั้น มายุฝันว่าพ่อของพวกเธอกำลังห้ามเธอและมิโอะ ไม่ให้เข้าไปในภูเขา แต่ทั้งสองก็ไม่ฟังและวิ่งเข้าไปเรื่อยๆ จนทันใดนั้นผีเสื้อสีชาดก็บินออกมารอบๆตัวเธอ หลังจากนั้นมายุก็รู้สึกตัวแล้วตื่นขึ้นมา มายุคิดว่าฝันนี้เป็นฝันที่แปลกเอามากๆ มันทำให้เธอคุ้นเคยและรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก
วันรุ่งขึ้น ทั้ง 3 คนได้ออกเดินทาง กลับมาที่ภูเขามินาคามิอีกครั้ง เมื่อมาถึง ทั้งสองคนได้บอกแม่ของพวกตนว่าจะออกไปเล่นในป่า ซึ่งชิสุก็ยังคงกำชับห้ามลูกๆ ทั้งสองว่า อย่าวิ่งเข้าไปลึกๆในป่าล่ะ ไม่งั้นจะหลงเข้าไปในหมู่บ้านที่หายสาปสูญได้นะ
หลังจากที่ฟังแม่เตือนเสร็จ มิโอะและมายุก็มุ่งหน้ากลับมาในสถานที่ลับของตนที่ไม่ได้มานาน และนี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองจะได้มาที่แห่งนี้ เพราะอีกไม่นานที่นี่จะกลายเป็นเขื่อนไปแล้ว ทั้งสองจึงได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันข้างๆ ลำธารเล็กๆแถวๆนั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่า ฝันร้ายอันน่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงชะตาของทั้งสอง และฝังลึกลงไปในจิตใจจนมิอาจจะลืมได้ กำลังคืบคลานเข้ามา....
“พี่มายุ... พี่ยังจำคำสัญญาของพวกเราได้หรือเปล่า?”
“ที่ฉันบอกว่า... ฉันจะไม่ทิ้งพี่น่ะ”
มิโอะ อามาคุระ ถึง
มายุ อามาคุระ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
To be continued
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
เกร็ดเล็กๆน้อยๆ
- มิโอะและมายุมีสายเลือดโดยตรงจาก ดร. คุนิฮิโกะ อาโซ
(ตระกูลนี้ก็พอๆกับคุโรซาวะ)
- ธีมสีของภาค 2 คือสีแดง
- ถ้าเอาเฉพาะแบบออริจินัลมิโอะและมายุเป็นตัวหลักของภาคที่เด็กที่สุด
(15 ปี)
- ถ้าเรามีเกมฉบับ Wii เราจะสามารถใช้โค้ดด้านหลังเพื่อปลดล็อคมิโอะและมายุในเกม
Spirit Camera ได้ด้วย (เฉพาะญี่ปุ่นและยุโรปเท่านั้นนะ)
- ซาเอะเป็นหนึ่งในวิญญาณที่จับทีเดียวตาย (สงสัยมือหนักโดนตบทีคงหัวหลุด)
- ตระกูลคุโรซาวะเอามาจากนามสกุลของผู้กำกับที่
คุณเคย์สุเกะ คิคุจิผู้กำกับเกม Fatal Frame ชอบ
-
ถ้าเคยเล่นภาคหนึ่งมาแล้วจะรู้ว่าแฝดยาเอะซาเอะตายด้วยวิธีการผูกคอเหมือนกัน
- ใน Fatal Frame 2 บน Ps2 ซาเอะจะสู้ได้ในเฉพาะระดับ
Hard หรือ Nightmare เท่านั้น แต่ภาค remake
ใน wii สู้ได้ทุกระดับความยากแต่แค่ต้องทำตามเงื่อนไขให้ครบ
- ในภาครีเมคเครื่อง wii ถึงมายุจะขาเจ็บแต่เธอก็สามารถวิ่งได้ โดยการกดปุ่ม C บน Nunchuck ค้าง (เป็นปุ่มที่ใช้เดินแบบ Lateral movement หรือ Side-Step เป็นการเดินไปด้านข้าง) แล้วเดินไปข้างหน้า พร้อมกับกดปุ่ม Z(ปุ่มวิ่ง) ค้าง เธอก็จะวิ่ง แต่ถ้าจะเลี้ยวต้องปล่อย แล้วเดินเลี้ยวธรรมดา เพราะมายุไม่สามารถวิ่งเลี้ยวได้(ใช้ร่นระยะเวลาได้มากถ้าบังคับเป็นเธอ)
ปล. ถ้าจะ Copy เนื้อหาไปแปะที่อื่นก็ต้องขออนุญาตก่อน และให้เครดิตเป็นลิงค์ต้นฉบับด้วย :D
ปล.2 แต่สามารถ Copy ลิงค์ไปให้เพื่อนๆอ่านได้นะครับ
- 13/3/2561 อัพเดทลิงค์เพิ่มเติมไปยัง บทความ Fatal Frame 3 Anthology Comic: Crimson Dream ช่วงเนื้อเรื่องของแฝดสาวตระกูลโอซากะ
- 11/6/2560 อัพเดทข้อมูลของผู้หลงเหลือ และเนื้อเรื่องของเซอิจิโร่ มาคาเบะ และ เรียวโซมุนาคาตะจาก Tamashizume
- 7/6/2560 อัพเดทเนื้อเรื่องให้แน่นขึ้นและเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ข้อใหม่
ปล.2 แต่สามารถ Copy ลิงค์ไปให้เพื่อนๆอ่านได้นะครับ
(Comment กันได้นะ ผมไม่บีบคอคุณหรอก :D)
อ่านเนื้อเรื่อง Fatal Frame ภาคอื่นๆได้ที่หน้าหลัก
กลับสู่หน้าหลัก
อ่านเนื้อเรื่อง Fatal Frame ภาคอื่นๆได้ที่หน้าหลัก
กลับสู่หน้าหลัก
--------------------------------------------
Update History
- 7/8/2561 อัพเดทเนื้อเรื่องของมิโอะและมายุในช่วงสุดท้ายUpdate History
- 13/3/2561 อัพเดทลิงค์เพิ่มเติมไปยัง บทความ Fatal Frame 3 Anthology Comic: Crimson Dream ช่วงเนื้อเรื่องของแฝดสาวตระกูลโอซากะ
- 11/6/2560 อัพเดทข้อมูลของผู้หลงเหลือ และเนื้อเรื่องของเซอิจิโร่ มาคาเบะ และ เรียวโซมุนาคาตะจาก Tamashizume
- 7/6/2560 อัพเดทเนื้อเรื่องให้แน่นขึ้นและเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ข้อใหม่
ไม่ได้เข้ามานานมาก นึกว่าไม่ได้เขียนอะไรแล้ว ขอบคุณที่ยังทำออกมาเรื่อยๆนะครับ ^^
ตอบลบขอบคุณเช่นกันครับ ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเหมือนกัน ฮา
ลบสนุกมากเลยครับ เป็นสาวกของเกมส์นี้เพราะเริ่มจากภาค 2 นี่ล่ะ
ตอบลบขอบคุณครับ ผมก็ภาคนี้เหมือนกัน ^ ^
ลบ