วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

[เนื้อเรื่อง] Fatal Frame 4 [Part 2] หน้ากากแห่งจันทรคราส อวสานคำสาป ปิดฉากวันที่ปราศจากความทุกข์

[SPOILER  ALERT!!] บทความนี้คือเนื้อเรื่องปัจจุบันของตัวเกม 

*บทความที่ควรอ่านก่อน*
เนื้อเรื่องส่วนที่ 1 => คลิก
แนะนำวิญญาณของเกมก่อนขึ้นเนื้อเรื่องส่วนที่ 2 => คลิก
กลับสู่หน้าหลัก

Fatal Frame IV [ Part 2 ]






          ยินดีต้อนรับสู่เนื้อเรื่อง Fatal Frame 4 Part 2 สำหรับ Part 2 จะเป็นเนื้อเรื่องปัจจุบันภายในเกมที่ตัวละครหลักกลับมาที่เกาะ ซึ่งผมจะเขียนเล่าจากมุมมองของผู้เล่นที่เล่นเกมและขยายความเนื้อเรื่องในจุดๆนั้น สำหรับไฟล์ในเกม ผมจะทำการแปลบางไฟล์ที่มีการเล่าเรื่องในปัจจุบัน ส่วนไฟล์ที่เล่าเรื่องในอดีตผมจะไม่แปลเพราะทุกอย่างเขียนอธิบายเอาไว้ในเนื้อเรื่อง Fatal Frame 4 Part 1 ไว้เรียบร้อยแล้ว



------------------------------------------------------------------------------------------------------------


บทนำ

        ผ่านมา 10 ปีหลังจากที่เกิดคดีลักพาตัวและพิธีกรรม Kiraigou ล้มเหลวลง รุกะและเพื่อนๆ อีก 4 คน ก็มีอายุ 17 ปีกันแล้ว ตั้งแต่รุกะและเพื่อนๆได้ออกมาจากเกาะโรเงทสึ พวกเธอก็สูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับอดีตที่แสนน่ากลัวไปจนหมด และพวกเธอก็ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สงบสุขตลอดทั้ง 10 ปี รุกะที่ความทรงจำหายไปก็ยังคงเล่นเปียโนอยู่ เธอมักจะแต่งเพลงและบางครั้งก็จะเล่นเพลงนั้นให้เพื่อนๆ ฟัง ซึ่งมีอยู่เพลงหนึ่งที่รุกะเล่นให้มาโดกะฟัง มันกลับทำให้มาโดกะจำเรื่องในอดีตได้ลางๆ แต่ถึงกระนั้นมาโดกะก็พยายามที่จะไม่ใส่ใจอะไรกับมันมาก

        พวกเธอทั้ง 5 ใช้ชีวิตอยู่กันอย่างมีความสุขเรื่อยมา แต่ทว่าฝันร้ายมันยังไม่จบ มันได้ตามมาหลอกหลอนพวกเธอ เมื่อ มาริเอะและโทโมเอะ เพื่อนทั้ง 2 คนของรุกะได้เสียชีวิตลงอย่างเป็นปริศนา ท่าทางของศพของทั้งคู่นั้น ใช้มือของตัวเองปิดใบหน้าของตัวเอง


        ทางด้านมิซากิ เด็กสาวอีกคนหนึ่งในกลุ่มเด็ก 5 คนที่ถูกลักพาตัวเมื่อ 10 ปีก่อน ได้ส่องกระจกและพบว่าใบหน้าของตัวเองในกระจกนั้นบิดเบือนไป เธอใช้มือทั้ง 2 ปิดใบหน้าด้วยความตกใจ ก่อนที่จะเอามือออกเพื่อมาดูใบหน้าของเธออีกครั้ง ในครั้งนี้ใบหน้าของเธอกลับเป็นปกติแต่ก็กลับมีบางสิ่งบางอย่างมาอยู่ข้างหลังของเธอแทน....


         มีเด็กผู้หญิงในชุดดำในวัยเดียวกันยืนอยู่ข้างหลังของมิซากิ เธอชักชวนให้มิซากิกลับไปที่เกาะโรเงทสึ มิซากิที่ได้ยินอย่างนั้นก็ได้รู้สึกบางอย่างเกี่ยวกับเกาะโรเงทสึ รวมกับที่มิซากิได้พบรูปภาพที่พวกเธอทั้ง 5 คนถ่ายรูปในหอพักโรเงทสึเข้า มันก็ยิ่งดึงดูดให้มิซากิอยากกลับที่เกาะแห่งนั้น

         มิซากิได้บอกมาโดกะว่าเธอจะกลับไปที่เกาะโรเงทสึ แต่มิซากิก็ไม่ได้บอกเหตุผลที่จะกลับไปให้มาโดกะฟัง ทำให้มาโดกะรู้สึกเป็นห่วงมิซากิและกลัวว่ามิซากิจะโดนหลอกจึงขอตามไปด้วย ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้นั่งเรือกลับไปที่เกาะโรเงทสึ เกาะที่เรื่องราวทั้งหมดได้เกิดขึ้น.........



Intro Chapter – สัมผัสการผลิบาน




            มิซากิและมาโดกะได้เข้ามาที่หอพักโรเงทสึ โดยพวกเธอได้เดินเข้ามาจนอยู่ที่ชั้น 1 บริเวณหน้าลิฟต์ของหอพัก

ตั้งแต่มาถึงที่นี่มาโดกะก็มีอาการรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก แต่ในทางกลับกัน มิซากิกลับดูนิ่งและไม่รู้สึกกลัวอะไรเลย

มาโดกะ เธอจำอะไรได้บ้างรึเปล่า?” มิซากิถาม

จำไม่ได้หรอก มันผ่านมานานมากแล้ว....มาโดกะตอบ

พวกเรา 5 คน ถ่ายรูปกันที่นี่ ที่อาคารนี้...มิซากิพูด

อืม.... นี่มิซากิเธอคิดดีแล้วเหรอที่มาที่นี่น่ะ? มันเป็นที่ที่มาจากในภาพถ่ายก็จริง แต่ฉันก็จำอะไรไม่ได้เลยนะ กลับกันเถอะนะมาโดกะพูด

ไม่เป็นไรหรอกน่า... ทำตามที่ฉันพูดก็พอมิซากิตอบสวนไปในทันที
หรือว่าเธออยากจะตายแบบนั้นกัน?” มิซากิพูดต่อ


ขณะที่มิซากิกำลังพูดไปเรื่อยๆ มาโดกะก็คิดถึงเพื่อนของเธอ 2 คนที่เสียชีวิตไป

นั่นสินะ... พวกเราทุกคนต่างก็รู้...มาโดกะพูดในใจ

ด้วยความกลัวนั้น ทำให้มาโดกะสะดุ้งขึ้นมา

แล้วพวกเราก็จะเป็นรายต่อไป...

พวกเรา 5 คนที่ถูกลักพาตัวไป...

พวกเราแต่ละคนจะ....มิซากิยังคงพูดต่อ

พอสักทีได้มั้ย!” มาโดกะสวนกลับในขณะที่มิซากิยังพูดไม่จบ

มิซากิหันหน้ากลับแล้วเดินต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไรอีก มาโดกะได้รู้สึกถึงบางอย่าง จนทำให้เธอนึกถึงภาพความทรงจำบางอย่างขึ้นมา เป็นความทรงจำอันโหดร้ายเมื่อตอนพิธีกรรม


ในขณะนั้นเอง มิซากิก็ได้พบกับผู้หญิงชุดดำและก็เดินตามเธอไป พอมาโดกะรู้สึกตัวก็พบว่า มิซากิหายตัวไปแล้ว มาโดกะจึงตัดสินใจเดินเข้าไปทางซ้ายเพื่อตามหามิซากิ แล้วก็เป็นอย่างที่เธอคิด เธอพบมิซากิเดินไปทางนั้นจริงๆ มาโดกะเดินตามมิซากิต่อไป


มาโดกะเปิดประตูเข้ามาอยู่บริเวณหน้าประตูทางเข้าสวนของหอพัก ทางเดินข้างหน้านั้นมืดมาก แต่มาโดกะก็พบไฟฉายที่ตกอยู่และเก็บมันขึ้นมา เมื่อมีไฟฉายทางเดินนั้นก็สว่างขึ้น ทำให้เห็นมิซากิกำลังเปิดประตูเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ของ ดร.อาโซ


มาโดกะพยายามเรียกมิซากิแต่ก็ไม่ได้ผล มิซากิเข้าไปในห้องนั้นซะแล้ว มาโดกะจึงรีบวิ่งเข้าไปที่ข้างหน้าห้องนั่น เธอเปิดประตูแต่ประตูก็ถูกล็อก มาโดกะสังเกตเห็นป้ายที่อยู่ข้างๆ เป็นป้ายที่มีข้อความกล่าวถึงห้องทำงานที่อยู่ชั้น 2 เป็นคนดูแล  มาโดกะคิดว่ากุญแจต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ เธอจึงรีบกลับไปที่บันไดบริเวณหน้าลิฟท์อีกครั้ง แต่เมื่อมาโดกะเดินใกล้มาถึงบันได เธอก็สังเกตเห็นใครคนหนึ่งเดินขึ้นไป

ใครน่ะ?” มาโดกะไม่รีรอเดินตามขึ้นไป

มาโดกะขึ้นมาที่ชั้น 2 เธอเดินตามทางเดินไป ก็พบนางพยาบาลในชุดเครื่องแบบที่กำลังเปิดประตูที่อยู่ตรงสุดทางเดินเข้าไป มาโดกะจึงเดินตามเข้าไปข้างในเหมือนกัน


พอเข้ามา มาโดกะมาโผล่ในที่ที่มีประตูกรงเหล็กขนาดใหญ่ ปิดกั้นบันไดที่เชื่อมต่อลงไปยังชั้น 1 ซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่ที่มีประตูทางเข้าของหอพักอยู่  ข้างๆประตูกรงเหล็กนั่นมีห้องทำงานชั้น 2 ของนางพยาบาลในหอพัก มาโดกะไม่รอช้าที่จะเข้าไปในห้องนั้น


แต่ทว่าในห้องนั้นกลับมีนางพยาบาล(ฟุยุโกะ)นั่งอยู่ นางพยาบาลคนนั้นหันขึ้นมาผิวซีดขาว ดวงตาเป็นสีดำทั้งดวง (แต่คาดว่ามาโดกะจะไม่เห็นถึงขนาดนั้น ถึงจะมีไฟฉายก็ตามเพราะอยู่ไกลและมืด) วิญญาณฟุยุโกะบอกให้มาโดกะกลับห้องไปซะ


มาโดกะเปิดประตูเข้าไป กลับพบว่านางพยาบาลคนนั้นหายไปแล้ว มาโดกะหยิบกุญแจที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วรีบออกจากห้องทันที


ทันใดนั้นก็มีเสียงเพลงประหลาดดังขึ้นออกมาจากลำโพงตามสาย ซึ่งก็คือเพลงสึกิโมริที่โยเรียบเรียงใหม่เพื่อบำบัดอาการของผู้ป่วยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มาโดกะรีบวิ่งออกจากบริเวณนั้น แต่ก่อนที่เธอจะเปิดประตูวิญญาณของนัทสึกิ ผู้ป่วยคนหนึ่งของหอพักนี้เดินตามเธอมาด้วย แต่มาโดกะไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น เพราะเธอคิดแค่อย่างเดียวคือออกจากตรงนั้น มาโดกะปิดประตูลง


มาโดกะมีความรู้สึกว่าเธอรู้จักเพลงนั้น และเธอก็ไม่อยากจะจำมันด้วย (แสดงว่ามาโดกะไม่อยากรู้เรื่องอดีตของตัวเอง เพราะว่าเธอมีความรู้สึกว่าอดีตของเธอมันโหดร้าย ผิดกับตัวละครหญิงอีก 2 คนที่อยากรู้เรื่องในอดีตของตน)


มาโดกะกลับไปที่หน้าประตูห้องพิพิธภัณฑ์ ของดร. อาโซ เธอใช้กุญแจไขประตู และในจังหวะที่จะเปิดออกนั้น มาโดกะก็ได้พบกับวิญญาณโยริโกะที่กำลังอาบแสงจันทร์อยู่ วิญญาณตนนั้นได้หันมามองมาโดกะพร้อมกับใบหน้าที่ผลิบาน


 มาโดกะตกใจกลัวอย่างมาก เธอรีบเปิดประตูเข้าไปในห้องพร้อมกับนั่งลงจนตัวสั่น วิญญาณโยริโกะได้มองมาโดกะผ่านกระจกของประตู ก่อนที่จะเดินไปที่อื่น มาโดกะลุกขึ้นมาพร้อมกับมองออกไปข้างนอกประตูก็พบว่าไม่มีใครอยู่เสียแล้ว


มาโดกะได้สำรวจพิพิธภัณฑ์ และพบกับสมุดโน้ตที่เขียนเกี่ยวกับกล้อง Obscura เข้าและเธอก็พบกล้องนั่นในพิพิธภัณฑ์นี้ด้วย ก่อนที่มาโดกะจะหยิบกล้องขึ้นมา แท่นของกล้องก็สั่นเหมือนมีพลังอะไรบางอย่างในกล้อง มาโดกะหยิบกล้องขึ้นมาส่องดู ทันใดนั้นวิญญาณโยริโกะเมื่อกี้ก็เข้ามาโจมตีมาโดกะ ด้วยความตกใจมาโดกะจึงเผลอกดชัตเตอร์เข้า ทำให้วิญญาณตัวนั้นกระเด็นออกไปข้างหลัง มาโดกะใช้กล้องนี้สู้กับวิญญาณจนวิญญาณตัวนั้นหายไป


 มาโดกะตะโกนออกมาด้วยความกลัวว่าฉันไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว!!” ด้วยความกลัวนั่นทำให้มาโดกะทิ้งกล้อง Obscura ไว้บนพื้นและรีบวิ่งไปเปิดประตูออกจากห้อง แต่ว่าวิญญาณสาวตนนั้นก็มาจับแขนของมาโดกะ และถูกวิญญาณทั้ง 3 ตัวล้อมไว้ไม่มีทางหนี มาโดกะได้แต่หมดหวังและทรุดลงกับพื้น.......

Chapter 1 – ผสานเสียงเพลง



           
รุกะกำลังเล่นเปียโนอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เธอเอาแต่เล่นเพลงอยู่แค่ทำนองเดียวซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งทำนองนั้นเป็นทำนองที่ทำให้เธอนึกถึงพิธีอะไรสักอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต เธอบอกว่านั่นคือสิ่งที่เธอจำได้หลังจากสูญเสียความทรงจำ มิซากิและมาโดกะที่บอกรุกะว่าจะกลับไปที่เกาะโรเงทสึ ก็ยังไม่ได้กลับมา แม่ของรุกะที่เสียไปห้ามไม่ให้รุกะกลับไปที่นั่น แต่สุดท้ายรุกะก็ต้องนั่งเรือกลับไปที่เกาะนั่นคนเดียว เพราะเธออยากรู้เรื่องราวในอดีตของเธอ


            รุกะเข้ามาในหอพักโรเงทสึ เธอส่องไฟฉายไปรอบๆ ก่อนที่จะเดินขึ้นบันไดไปที่ประตูกรงเหล็กขนาดใหญ่ แต่ระหว่างที่จะขึ้นไป ภาพของกลุ่มของพวกเธอทั้ง 5 คนที่ถ่ายรูปที่นี่ก็ผุดเข้ามาในหัวชั่วขณะ


รุกะเดินขึ้นบันไดไปพบเศษกระดาษที่ดูเหมือนว่ามาโดกะจะเขียนไว้สอดอยู่ในประตูกรงเหล็ก เธอจึงเปิดขึ้นมาอ่าน 



            “ตั้งแต่ที่เห็นเกาะโรเงทสึ หัวใจของฉันก็เริ่มเจ็บปวด ฉันจำเรื่องราวของตัวเองตอนที่อยู่บนเกาะไม่ได้ แต่มันกลับทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก อย่างที่มิซากิพูด มันอาจจะมีอะไรบางอย่างอยู่ที่เกาะนั้นจริงๆ

ตอนนั้นอยู่ดีๆ มิซากิก็บอกว่าจะกลับไปที่เกาะโรเงทสึ และฉันก็เป็นห่วงมิซากิฉันเลยตามมาด้วย ฉันกลัวว่ามิซากิจะถูกหลอกให้กลับมาที่เกาะ เธอไม่บอกเหตุผลว่าทำไมถึงกลับมาด้วย... อีกไม่นานเราก็จะถึงเกาะแล้ว มิซากิจ้องมองเกาะนั่นด้วยสายตาที่เย็นชา ฉันเริ่มรู้สึกว่ามิซากิเริ่มเว้นระยะห่างจากฉัน ถ้าเป็นเหมือน มาริเอะและโทโมเอะล่ะก็ มิซากิจะต้องหายไปอีกคนแน่ๆ”




           หลังจากอ่านเศษกระดาษที่มาโดกะเขียนไว้เสร็จ รุกะก็พบว่าประตูกรงเหล็กขนาดใหญ่ที่กั้นอยู่ตรงหน้าเธอมันเปิดไม่ได้ รุกะจึงคิดว่ามันอาจจะมีกุญแจหรือเปิดจากที่ไหนสักแห่ง

 รุกะเดินกลับลงมาและเห็นมาโดกะเดินเข้าไปในทางเดินข้างๆ รุกะเรียกชื่อมาโดกะอย่างเบาๆ ก่อนจะเดินตามไป มาโดกะเปิดประตูเข้าไปในห้องพิพิธภัณฑ์ของ ดร.อาโซ ซึ่งรุกะก็ตามเข้าไปด้วย


รุกะเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ ดร.อาโซ แต่ไม่เห็นวี่แววของมาโดกะเลยสักนิด รุกะจึงสำรวจห้องและได้พบโน้ตเกี่ยวกับการสร้างกล้อง Obscura บนเกาะ เมื่อเธอเดินออกมาจากตรงนั้น อยู่ดีๆ ก็มีเสียงชัตเตอร์ขึ้นมาพร้อมกับแฟลช

รุกะเก็บกล้อง Obscura ขึ้นมาและพบเศษกระดาษของมาโดกะชิ้นที่ 2 เธอเปิดมันอ่านดู

                    “หอพักโรเงทสึ... ตั้งแต่ที่ฉันเข้ามา อาการเวียนหัวของฉันก็หนักกว่าเดิม อากาศที่นี่หยุดอยู่นิ่ง หายใจก็ลำบาก นี่แหละคือกลิ่นของที่นี่ จนถึงตอนนี้ บางอย่างที่เหมือนกลิ่นและเพลงทำให้ฉันจำบางสิ่งบางอย่างที่ลืมไปได้ เหมือนตอนที่รุกะเอาเพลงที่เธอแต่งมาให้ฉันฟัง ถึงแม้ว่าฉันจะจำอะไรบางอย่างได้ แต่มันก็ไม่ชัดเจน มันเหมือนสิ่งที่คล้ายๆการสัมผัส หรือความเจ็บปวด... มันยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำ แต่ในตอนนี้มันแตกต่างออกไปแล้ว มีอะไรบางอย่างดำมืดกำลังออกมาจากส่วนลึกภายในตัวฉัน เหมือนกับมันจะระเบิดออกมาจากหัวฉันเลย แต่ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยฉันจะรอรุกะเมื่อเธอมาถึงที่นี่ด้วย”

            หลังจากที่อ่านเสร็จ รุกะใช้ไฟฉายส่องไปรอบๆ เพื่อหามาโดกะทันที ทันใดนั้นเองรุกะก็รู้สึกตัวว่ามีคนมองอยู่ รุกะหันหลังกลับไปและก็พบว่าคนที่มองเธอคือมาโดกะนั่นเอง มาโดกะที่แอบมองรุกะจากหลังประตูอีกบานในห้องพิพิธภัณฑ์ก็ปิดประตูลง


รุกะตามไปเปิดประตูแต่ดูเหมือนว่ามันจะเปิดไม่ได้ แต่ทันใดนั้น กล้อง Obscura ก็มีปฏิกิริยาขึ้นมา รุกะคิดว่า ถ้าเธอใช้กล้องนี้ถ่ายประตู อาจจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นก็ได้ รุกะใช้กล้อง Obscura ถ่ายไปที่ประตู แล้วพบว่าภาพที่ออกมานั้นเป็นหน้ากากที่แขวนอยู่บนกำแพง เรียงกัน 5 ใบ หน้ากากพวกนี้อาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งของหอพักนี้  


ในระหว่างที่รุกะจะเปิดประตูออกไปจากพิพิธภัณฑ์ เธอก็สังเกตเห็นใครบางคนมายืนจ้องมองเธอที่หน้าประตู รุกะค่อยๆย่องเปิดประตูออกไป แต่ไม่ทันไรคนๆนั้นก็ออกมาจากหลังประตู รุกะตกใจมากเมื่อคนที่ออกมานั้นไม่ใช่คนที่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่กลับเป็นวิญญาณนางพยาบาลฟุยูโกะ ที่เป็นนางพยาบาลประจำชั้น 2 ของหอพัก เธอเข้ามาโจมตีรุกะ จึงทำให้รุกะใช้กล้อง Obscura ต่อสู้กับฟุยุโกะ จนฟุยุโกะหายไปในที่สุด


            รุกะเดินไปตามทางจนมาถึงบริเวณหน้าลิฟต์ชั้น 1 เธอพบกับวิญญาณเด็กผู้ชายที่ชื่อว่าคาซุโตะ


คาซุโตะวิ่งเข้าไปในห้องที่อยู่ข้างๆลิฟต์ รุกะจึงเดินตามวิญญาณคาซุโตะเข้าไปด้วย ภายในห้องเป็นโรงอาหาร ในโรงอาหารมีเปียโนกับโปรเจ็กเตอร์วางอยู่


            เธอเดินสำรวจโรงอาหารอาหารและพบกับวิญญาณของฟุยุโกะกำลังจ้องมองไปที่กุญแจก่อนที่จะหายไป รุกะเก็บกุญแจขึ้นมาพร้อมกับคู่มือที่บอกใบ้บางอย่างและสำรวจโรงอาหารต่อ เธอพบกับเศษกระดาษของมาโดกะใบที่ 3 วางไว้อยู่บนเปียโนของโรงอาหาร เธอหยิบมันขึ้นมาอ่าน

         

           “ฉันต้องเขียนอะไรสักอย่าง อะไรก็ได้ ถ้าฉันไม่เขียน ฉันต้องลืมแน่ๆ ถ้าฉันไม่เขียน ทุกอย่างจะต้องหายไป มันไม่ได้ผล ฉันไม่รู้เพราะอะไร แต่มันไม่ได้ผล มันกำลังใกล้เข้ามา มันกำลังใกล้เข้ามา… จิตใจของฉัน.... มันเริ่มละลายหายไป... คุณแม่ ช่วยหนูด้วย..... เลิกเขย่าฉันเหมือนเป็นของเล่นได้แล้ว! ”


             หลังจากที่อ่านเสร็จ รุกะเธอก็เริ่มเป็นห่วงมาโดกะ แต่ถึงกระนั้นเธอจะต้องหาหน้ากากที่อยู่ในรูปภาพให้เจอก่อน เธอจึงเดินสำรวจโรงอาหารต่อ ในที่สุดรุกะก็พบกับหน้ากากที่แขวนอยู่บนผนังเหมือนในรูปภาพ แต่ว่าหน้ากากที่เธอพบมีแค่ 4 ใบเท่านั้น



ทันใดนั้นเองคาซุโตะที่สวมหน้ากากก็วิ่งมาจากข้างหลังแล้วทะลุผ่านประตูไป รุกะออกประตูตามคาซุโตะไปเพื่อไปเอาหน้ากากคืนมา จนกลับมาที่ห้องทางเข้าที่มีบันไดขนาดใหญ่เหมือนเดิม
 รุกะเห็นคาซุโตะยืนอยู่หลังประตูกรงขนาดใหญ่ที่ชั้น 2 ซึ่งถ้าจะตามคาซุโตะขึ้นไป รุกะจำเป็นต้องเปิดประตูกรงนั่นให้ได้เสียก่อน


รุกะเดินมาที่มาที่หน้าห้องใต้บันได เธอใช้กุญแจที่เก็บมาเปิดเข้าไป ในห้องนี้จะมีตัวเปิด-ปิดประตูกรงเหล็กอยู่ รุกะไม่รอช้าทำการสับสวิตช์ให้เป็นเลข 13 ตามที่คู่มือใบ้ไว้ให้ (ในห้องนี้ ถ้าเก็บหนังสือพิมพ์ขึ้นมา ศพที่ถูกผ้าพันอยู่ข้างๆจะขยับได้ เป็นการหลอกให้ตกใจเล่นๆ) รุกะสับสวิตช์ทำให้ประตูกรงเหล็กด้านบนเปิดออก และออกมาจากห้องใต้บันไดแล้วรีบขึ้นชั้น 2


เธอเดินเข้าไปในเขตห้องพักผู้ป่วยชั้น 2 ก็พบกับวิญญาณคาซุโตะวิ่งเข้าไปในห้องของตัวเอง  รุกะตามเข้าไปในห้องของคาซุโตะแต่ไม่เห็นวี่แววของคาซุโตะเลย เธอทำการสำรวจห้องและพบกับไดอารี่ของคาซุโตะ มันเขียนไว้ว่าหน้ากากถูกซ่อนไว้ในใต้เตียง รุกะไม่รอช้าล้วงเข้าไปในใต้เตียงของคาซุโตะ แล้วเธอก็พบกับหน้ากากนั่นจริงๆ  แต่ในขณะนั้นเองคาซุโตะก็โผล่มานั่งอยู่ข้างหลังรุกะ และโจมตีรุกะในทันที


 รุกะใช้กล้อง Obscura ปราบคาซุโตะได้สำเร็จและเปิดประตูออกมาจากห้อง แต่ทันใดนั้น เสียงวิทยุในห้องคาซุโตะก็ดังขึ้น รุกะกลับเข้าไปดูแต่ทุกอย่างกลับเป็นปกติ


            รุกะเดินออกมาจากห้องของคาซุโตะมุ่งหน้าไปยังโรงอาหาร แต่ระหว่างทางก็ถูกวิญญาณของนัทสึโอะโจมตี 


รุกะปราบนัทสึโอะลงได้และมุ่งตรงไปยังโรงอาหาร รุกะนำหน้ากากที่ได้มาแขวนไว้บนกำแพง ส่งผลให้ผนึกที่ประตูในพิพิธภัณฑ์คลายลง รุกะมุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑ์ แต่ก็ถูกวิญญาณทาดายูกิมาขวางเสียก่อน รุกะเอาชนะทาดายูกิมาได้ แล้ววิ่งมาจนถึงพิพิธภัณฑ์


รุกะเปิดประตูที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์มาอยู่ในห้องสมุด ซึ่งเป็นที่ที่ ดร. อาโซ ใช้ศึกษาเรื่องราวของเกาะในอดีต


            รุกะพบกับมาโดกะยืนร้องไห้อยู่ที่มุมห้อง รุกะเดินเข้าไปหามาโดกะ เธอพยายามใช้มือของเธอไปจับไหล่ของมาโดกะ แต่ทันใดนั้นเองมาโดกะก็หันกลับมาพร้อมกับใบหน้าที่ผลิบาน มาโดกะเข้าจู่โจมรุกะทำให้รุกะต้องหยิบกล้อง Obscura มาต่อกรกับมาโดกะ ถึงแม้ว่ารุกะไม่อยากจะทำก็ตาม รุกะเอาชนะมาโดกะได้ มาโดกะหายไป


รุกะไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ความจริงก็คือความจริง มาโดกะตายไปแล้ว รุกะยืนอยู่นิ่งๆทำอะไรไม่ถูก ในระหว่างนั้นรุกะก็ได้เผลอไปมองกระจก ใบหน้าของรุกะบนกระจกแสดงใบหน้าที่ผลิบานขึ้นมา ทำให้รุกะตกใจอย่างมาก และนั่นก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ารุกะยังคงติดโรคจันทราสะกดอยู่......

Chapter 2 – เสียงสะท้อน



          ทางด้านมิซากิที่เดินตามเด็กผู้หญิงในชุดดำมาจนรู้สึกตัวว่าตัวเองมาโผล่อยู่ที่ชั้น 2 ข้างๆห้องทำงานชั้น 2 ของนางพยาบาล


มิซากิเห็นกล้อง Obscura ที่ตกอยู่ที่พื้น และเก็บมันขึ้นมา เธอจำได้ว่านี่คือกล้องที่เธอเอาติดตัวมาจากบ้านด้วย เธอจำไม่ได้ว่ามันมาตกอยู่ตรงนี้ได้ยังไง แต่เธอรู้ว่าสิ่งนี้สามารถถ่ายภาพอดีตได้ จึงทำให้เธอคิดว่ากล้องนี้จะสามารถช่วยนำความทรงจำที่สูญหายไปคืนมาได้ กล้องนี้เป็นกล้องที่สืบทอดกันต่อมาในตระกูลอาโซของเธอและเป็นหนึ่งในกล้องต้นแบบที่ ดร.อาโซ สร้างขึ้นอีกด้วย


หลังจากที่มิซากิเก็บกล้องขึ้นมา เธอก็เพิ่งรู้สึกตัวว่ามาโดกะที่เดินมากับเธอด้วยกันนั้นหายตัวไปแล้ว มิซากิจึงเริ่มตามหามาโดกะ 

ในขณะที่มิซากิกำลังจะก้าวเท้าลงบันไดไปนั้น ก็มีเสียงอะไรบางอย่างมาจากห้องทำงานชั้น 2 มิซากิเข้าไปในห้องทำงานและพบว่าเสียงนั่นมาจากเครื่องอินเตอร์คอมที่ใช้ติดต่อกับผู้ป่วยที่อยู่ชั้น 2  มิซากิได้ยินเสียงมาโดกะร้องไห้ ขอร้องให้ช่วยมาจากเครื่องอินเตอร์คอม  โทรมาจากห้อง 203 ซึ่งเคยเป็นห้องของมาโดกะเมื่อ 10 ปีที่แล้ว


 มิซากิพบที่ใส่รหัสบนเครื่องอินเตอร์คอม ซึ่งเป็นรหัสที่ใช้ล็อคและปลดล็อคประตูของพื้นที่คนไข้บนชั้น 2 อีกทั้งเธอยังพบคู่มือที่บอกว่ารหัสผ่านถูกเขียนอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่มิซากิไม่สนใจเดินออกจากห้องทำงานชั้น 2 แล้วมุ่งตรงไปยังห้อง 203 ของมาโดกะ แต่ว่าวิญญาณทาดายูกิก็โผล่มาพร้อมกับล็อคประตูทางที่เข้าไปยังพื้นที่ห้องผู้ป่วย มิซากิจึงต้องหารหัสผ่านที่เขียนอยู่ที่ไหนสักแห่งแถวๆนั้น


มิซากิเดินลงบันไดมาก็พบกับเด็ก 2 คนวิ่งเข้าไปที่ใต้ห้องบันได เด็ก 2 คนนั้นก็คือภาพความทรงจำของมิซากิและมาโดกะในอดีต มิซากิเดินตามตัวเธอเองในอดีตไป จนมาอยู่ในห้องใต้บันไดและพบกับเศษกระดาษบนกล่อง เป็นกระดาษที่มีรูปวาดด้วยสีเทียนเป็นรูปตู้นาฬิกา ซึ่งแน่นอนว่าการที่มีภาพของมิซากิและมาโดกะในอดีตพามิซากิมาที่นี่ มันต้องเป็นคำใบ้แน่ๆ มิซากิไม่รอช้าไปสำรวจตู้นาฬิกาเรือนเดียวที่ดังอยู่ตลอดในหอพักอย่างรวดเร็ว


มิซากิรู้สึกพลังบางอย่างได้จากฐานของตู้นาฬิกา เธอจึงใช้กล้อง Obscura ถ่ายฐานของตู้นาฬิกา ภาพนั้นแสดงเลข 8 3 9 5 ซึ่งเป็นรหัสปลดล็อคประตูพื้นที่ผู้ป่วยในชั้น 2 มิซากิหันหลังกลับมาที่เคาเตอร์ เธอก็พบกับเศษกระดาษบางอย่างเข้า เป็นใบแจ้งเตือนของ 10 ปีก่อน เกี่ยวกับการเข้ารักษาตัวของอายาโกะ


            หลังจากนั้นมิซากิก็ขึ้นไปที่ห้องทำงานชั้น 2 เหมือนเดิม แต่ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปนั้น วิญญาณฟุยุโกะก็โผล่ออกมาและก็หายไป มิซากิได้ถ่ายรูปเก็บไว้แล้วรีบไปที่อินเตอร์คอม เธอทำการใส่รหัสที่ได้มาปลดล็อคประตูได้สำเร็จ แต่ทันใดนั้นวิญญาณฟุยุโกะก็เข้ามาโจมตีเธอ มิซากิก็เอาชนะฟุยุโกะได้ และตรงไปยังห้องของมาโดกะ


มิซากิได้ยินเสียงร้องไห้ของมาโดกะออกมาจากห้อง เธอจึงพยายามเปิดประตูเข้าไปแต่ก็พบว่าประตูล็อคอยู่ แต่ทันใดนั้นเพลงที่ใช้บำบัดผู้ป่วยก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้มิซากิมีอาการตกใจ แต่ที่ทำให้มิซากิตกใจกว่าก็คือประตูผู้ป่วยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของห้องมาโดกะนั้นเปิดออกมา มีวิญญาณผู้หญิงออกมาจากห้องผู้ป่วยนั่น เป็นวิญญาณผู้หญิงที่ใช้ผ้าพันแผลพันอยู่รอบหัว เหลือแค่ดวงตาดวงเดียวเปิดไว้ให้มองเห็น วิญญาณตนนั้นก็คืออิโอริ  ในขณะที่มิซากิกำลังเพ่งความสนใจไปยังวิญญาณอิโอริ วิญญาณนัทสึกิก็เข้าโจมตีมิซากิจากด้านหลัง แต่มิซากิรู้ทัน จึงหลบแล้วถอยไปตั้งหลัก และใช้กล้อง Obscura ปราบวิญญาณทั้ง 2 ได้สำเร็จ


            มิซากิพบว่า สาเหตุที่ห้องของมาโดกะเปิดไม่ได้เป็นเพราะมีพลังวิญญาณผนึกไว้อยู่ เธอจึงใช้กล้อง Obscura ถ่ายประตู ได้รูปถ่ายเป็นรูปกระจกและมีหนังสือเยอะๆ แน่นอนว่ารูปนั่นต้องเป็นห้องสมุดในพิพิธภัณฑ์ที่เธอเคยเข้าไปตอนที่เดินตามผู้หญิงชุดดำแน่นอน มิซากิมุ่งหน้าไปยังห้องสมุดที่ว่า เธอเดินไปที่หน้ากระจก และเห็นพบว่าวิญญาณทาดายูกิกำลังจะโจมตีเธอจากด้านหลัง มิซากิเอาชนะทาดายูกิได้ เธอจึงรีบเก็บกุญแจห้องมาโดกะที่วางอยู่หน้ากระจกมา


มิซากิจะเปิดประตูออกจากห้องสมุด แต่ก็เปิดไม่ออก ทันใดนั้นก็มีวิญญาณผู้หญิงในชุดดำพร้อมกับใบหน้าที่ผลิบานปรากฏขึ้นมา มิซากิใช้กล้องถ่ายไปที่วิญญาณตนนั้นก่อนที่วิญญาณตนนั้นจะหายไป


มิซากิเก็บเศษหน้ากากที่อยู่บนชั้นวางหน้ากาก ซึ่งเป็นส่วนตาซ้าย ก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องพิพิธภัณฑ์มาถึงบริเวณบันไดขนาดใหญ่ เธอพบภาพความทรงจำมาโดกะในอดีตล้มลงร้องไห้อยู่ข้างหน้าบันได และมีอายาโกะยืนหัวเราะอยู่ข้างบน มิซากิเก็บภาพเหล่านั้นไว้ แล้วขึ้นไปชั้น 2


มิซากิเดินไปใกล้บริเวณห้องทำงานของนางพยาบาลชั้น 2 เสียงของอินเตอร์คอมก็ดังขึ้นมาอีก มิซากิเข้าไปในห้องทำงานแต่ก็ถูกพยาบาลฟุยุโกะโจมตี  มิซากิเอาชนะฟุยุโกะได้และรีบไปสำรวจอินเตอร์คอม เธอได้ยินเสียงแปลกๆมาจากห้อง 207 ที่มีชื่อเขียนบนเครื่องว่า อายาโกะ เท่านั้น


มิซากิยังไม่สนใจห้อง 207 แต่อย่างใด เธอรีบไปไขกุญแจห้อง 203 ของมาโดกะในทันที มิซากิเข้ามาในห้อง ก็พบว่ากำแพงห้องของมาโดกะเต็มไปด้วยภาพวาดที่มาโดกะวาดเองในอดีต มิซากิเก็บไดอารี่ของมาโดกะขึ้นมาอ่าน มาโดกะเขียนเกี่ยวกับใบหน้าของตัวเองเมื่อส่องกระจก ในขณะที่เป็นโรคจันทราสะกด และเธอก็ยังเขียนถึงอายาโกะอีกด้วย


 มิซากิทำการสำรวจห้องของมาโดกะ เธอยื่นมือไปจับกระจกที่ตั้งอยู่ ทันใดนั้นวิญญาณของโทโมโกะก็โผล่มาข้างหลังมิซากิและจับไหล่ของเธอ ทำให้มิซากิถึงกับสะดุ้ง แต่พอเธอหันหลังกลับมาก็พบว่าไม่มีใคร


เธอเดินเข้าไปสำรวจในห้องนอนต่อ พบมาโดกะนั่งอยู่บนเตียงนอน มิซากิจะเข้าไปจับตัวมาโดกะแต่มาโดกะก็หายตัวไป มิซากิสำรวจห้องนอนของมาโดกะเสร็จแล้วเดินออกไป แต่ทันใดนั้นอายาโกะก็โผล่มาแอบอยู่หลังกำแพง มิซากิถ่ายภาพไว้ได้แล้วเปิดประตูออกจากห้องของมาโดกะไป มิซากิก็พบนางพยาบาลฟุยุโกะเดินลึกเข้าไปข้างในพื้นที่ผู้ป่วย มิซากิเดินตามไปก็พบฟุยุโกะถูกอายาโกะดึงผมแล้วลากไปข้างในห้อง 207 ของตัวเอง เสียงร้องของฟุยุโกะดังตลอดทางที่ถูกลากไป


มิซากิเข้าไปในห้องของอายาโกะ ก็พบว่าในห้องของอายาโกะมีแสงสีเหลือง มีชิ้นส่วนตุ๊กตาแขวนอยู่ชวนขนลุก มิซากิเดินเข้าไปอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ว่าอายาโกะนั้น กำลังแอบอยู่หลังโคมไฟ จ้องมองเธอด้วยสายตาอันอาฆาต เพราะว่าอายาโกะเกลียดชังมิซากิสุดๆ


มิซากิรู้สึกถึงบางอย่างที่โคมไฟจึงหันไป แต่ก็ไม่พบอะไร ในขณะที่มิซากิกำลังเดินไปที่โคมไฟอย่างช้าๆ อายาโกะก็กระโดดลงมาขี่คอมิซากิในทันที มิซากิสลัดอายาโกะจนหลุดออก แล้วใช้กล้อง Obscura ปราบอายาโกะลงได้สำเร็จ


หลังจากที่อายาโกะหายไป เด็กผู้หญิงในชุดดำก็ปรากฏตัวอีกครั้ง
 “เธอเป็นใครน่ะ?”

ทันทีที่มิซากิถามออกไป เด็กผู้หญิงในชุดดำก็วาร์ปมายืนอยู่ข้างหน้ามิซากิ ผู้หญิงคนนั้นเอามือมาจับแก้มของมิซากิ ก่อนที่จะถามว่า

เธอลืมไปแล้วเหรอ?”  

เด็กผู้หญิงคนนั้นถามมิซากิก่อนที่ภาพในอดีตจะผุดขึ้นมาในหัวของมิซากิ ในอดีตมิซากิมักจะนอนกับเด็กผู้หญิงคนนั้นทุกวัน แล้วเธอก็บอกว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นพิเศษสำหรับมิซากิ เด็กผู้หญิงชุดดำคนนี้เป็นใครกันแน่นะ?



Chapter 3 – วันที่ถูกลืม



            ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซายากะกำลังนอนอยู่บนเตียง แล้วโจชิโร่ก็ได้มาเยี่ยมเธอพอดี ซายากะขอร้องให้โจชิโร่กลับไปที่เกาะโรเงทสึเพื่อช่วยรุกะ


ก่อนจะไป เธอบอกโจวชิโร่ว่าคนบนเกาะคงจะผลิบานกันหมดแล้ว เธอจึงบอกโจชิโร่ให้เอาไฟฉายศิลาวิญญาณ (Spirit Stone Flashlight) ติดตัวไปด้วย


ทันใดนั้นโจชิโร่ก็ตื่นขึ้นมาอยู่หน้าโรงพยาบาลไฮบาระ ราวกับว่าถูกวิญญาณซายากะปลุกให้ตื่นจากการหลับไหลอันยาวนาน แต่ความทรงจำของโจชิโร่ที่ตื่นขึ้นมาในตอนนี้กลับหายไปบางส่วน


ในขณะที่โจชิโร่กำลังลุกขึ้น เขาก็ได้พบกับไฮบาระ โย ที่กำลังเดินเข้าไปในโรงพยาบาลไฮบาระ โยหันหน้ามาพร้อมกับยิ้มใส่เขาก่อนที่จะเดินเข้าไปในโรงพยาบาล


ไฮบาระ!”


โจชิโร่ตะโกนพร้อมกับลุกขึ้นมาในทันที เขาได้เก็บสมุดโน้ตของเขาเองที่ตกอยู่ข้างๆ พร้อมกับเทปบันทึกที่เขาอัดเสียงไว้ตอนที่เขาสืบสวนที่แห่งนี้


ในสมุดโน๊ตของเขามีเศษกระดาษหนังสือพิมพ์สอดอยู่ มันเป็นข่าวเกี่ยวกับเด็กที่ถูกลักพาตัวเมื่อ 10 ปีก่อน โจชิโร่คิดว่าเรื่องราวมันจบหมดแล้ว แต่เนื่องจากเขารู้ว่าโทโมเอะและมาริเอะ เด็ก 2 ใน 5 คน ที่ถูกลักพาตัวนั้นตายไป มันจึงทำให้เขาคิดว่าคดีนี้อาจจะยังมีอะไรอีกก็เป็นได้


            โจชิโร่เปิดประตูเข้าไปในโรงพยาบาล ก็พบกับวิญญาณของผู้ป่วยคาริยะ เขาหยิบไฟฉายที่ซายากะให้มาสาดใส่วิญญาณต่างๆ ที่เข้ามาโจมตีจนหายไป หลังจากนั้นโจชิโร่ก็เดินไปตรงลิฟต์ที่ตั้งอยู่ในโรงพยาบาล เขานึกถึงในอดีตตอนที่เขาไปช่วยรุกะและพวกเด็กๆ ที่ถูกลักพาในชั้นใต้ดิน


            คุณก็ป่วยด้วยเหรอ.....?”


เสียงจากเด็กผู้หญิงผมยาวดำที่หลบหลังกำแพงถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่าขนลุก โจชิโร่เกิดอาการตกใจเล็กน้อยก่อนจะหันไป แต่ก็พบว่าไม่มีใครอยู่


โจชิโร่เดินเข้าไปหลังกำแพงนั่น เขาเดินขึ้นชั้น 2 เขาก็ได้ยินเสียงมาจากประตูที่อยู่ทางซ้ายของบันได เขาเปิดประตูเข้าไป แล้วสำรวจสิ่งต่างๆที่อยู่ข้างใน


โจชิโร่ได้พบกับวิญญาณของหมอโชจิที่เดินเข้าไปข้างไปตามทางเดิน เขาตามหมอไปจนพบกับกุญแจวางอยู่ในที่เขี่ยบุหรี่ ซึ่งเป็นกุญแจที่เอาไว้ไขประตูที่อยู่ชั้นล่าง


ระหว่างกลับ โจชิโร่ก็ถูกวิญญาณผู้ป่วยสาวโจมตีแต่ก็เอาชนะได้ เขาเดินกลับลงไปชั้นล่าง เขาก็พบกับหมอโชจิอีกครั้ง โชจิเดินเข้าไปในประตูที่อยู่ทางขวาของบันได โจชิโร่ได้ใช้กุญแจที่ได้มาเปิดประตูนั้นเข้าไป แต่ทันใดนั้น โทรศัพท์ที่ตั้งอยู่บนเคาเตอร์ของนางพยาบาลก็ดังขึ้น ทำให้โจชิโร่เดินเข้าไปรับโทรศัพท์


ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย


เกาะนี้ก็ยังเป็นเหมือนที่เคยเป็น

.
นั่นคือคำ 2 คำที่โจชิโร่ได้ยินมาจากโทรศัพท์ เขาเดินกลับไปที่ประตูที่เขาเปิดไว้ และเดินตามทางไปจนไปโผล่ที่ห้องผ่าตัดของโรงพยาบาล เขาพบกับนางพยาบาลและหมอยืนอยู่หน้าเตียงนอนของผู้ป่วยที่ถูกผ่าตัด ผู้ป่วยคนนั้นมีผ้าคลุมทั้งตัวแสดงว่าต้องเสียชีวิตไปแล้วอย่างแน่นอน


หลังจากที่นางพยาบาลกับหมอคนนั้นหายตัวไป โจชิโร่ก็เดินตรงไปที่ร่างผู้ป่วยที่ถูกผ้าคลุมอยู่บนเตียง แต่เมื่อโจชิโร่เปิดผ้าออก เขากลับไม่พบร่างของผู้ป่วยมีแค่บันทึกอยู่แทน ทันใดนั้นวิญญาณของเด็กผู้หญิงผมยาวดำก็เข้ามาโจมตีโจชิโร่ จึงทำให้โจชิโร่ต้องใช้ไฟฉายจัดการเธอ


หลังจากนั้นเขาก็เก็บบันทึกของผู้ป่วยขึ้นมา  มันเป็นบันทึกการเสียชีวิตของเด็กผู้หญิงที่ชื่อ อาซากิ ฮิซุกิ ที่เสียชีวิตจากการผ่าตัด ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเด็กผู้หญิงที่เข้ามาโจมตีโจชิโร่เมื่อสักครู่ ก็คืออาซากินั่นเอง


หลังจากเรื่องราวผ่านไป ไม่ทันไรวิญญาณหมอโชจิก็ปรากฏตัวข้างหลังโจชิโร่  เขาเดินเข้าประตูที่อยู่ข้างๆไป ทำให้โจชิโร่ต้องเดินตามเขาเข้าไปข้างใน ภายในห้องเป็นห้องเก็บยา โจชิโร่พบกับเอกสารพิธีรำบวงสรวง ซึ่งนั่นทำให้เขานำเรื่องนี้มาคิดกับคดีที่เขาทำอยู่ และก็พบว่าคืนนี้เป็นคืนที่ตรงกับคืนที่ทำพิธีพอดี


เขาเดินไปเก็บบันทึกของโชจิและกุญแจที่เอาไว้ใช้ไขไปสู่อีกด้านหนึ่งของโรงพยาบาล แต่ตอนขากลับ เขาก็ถูกวิญญาณหมอโชจิโจมตีที่ห้องผ่าตัด ถึงจะเอาชนะมาได้แต่เขาก็ถูก อาซากิและซานาเอะโจมตีอีกซึ่งทำให้โจชิโร่ลำบากอยู่เหมือนกัน โจชิโร่กลับมาที่ห้องหลักทีทางเข้าได้สำเร็จ แต่เขาก็พบกับโยเดินเข้าไปในลิฟต์


ไฮบาระ!” โจชิโร่รีบวิ่งไปที่ลิฟต์แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว โยได้ลงลิฟต์ไปชั้นล่างแล้ว


เวรเอ๊ย!”


มันน่าจะมีทางอื่นอีกนะ....


หลังจากนั้นเสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเคาเตอร์ก็ดังขึ้นอีกรอบ โจชิโร่เข้าไปรับสาย มันเป็นเสียงของโชจิพูดเกี่ยวกับเสียงที่เข้าได้ยินมาจากบ่อน้ำหน้าโรงพยาบาล แล้วเขาก็คิดว่าเด็กที่ถูกลักพาตัวคงอยู่ที่ชั้นใต้ดิน หลังจากวางสายลง โจชิโร่ก็ถูกนางวิญญาณพยาบาลฟุยุโกะและมิจิฮิโกะ ผู้ที่คอยรับใช้ตระกูลไฮบาระโจมตี


หลังจากที่เขาใช้ไฟฉายต่อกรกับวิญญาณ 2 ตัวนั้นได้สำเร็จ เขาก็ใช้กุญแจไขประตูเข้าไปในอีกฟากของโรงพยาบาล โจชิโร่ก็เดินเข้าประตูทางซ้าย และเดินตามทางไป โจชิโร่พบกับภาพโชจิในอดีต ซึ่งดูเหมือนกำลังซ่อนอะไรบางอย่างก่อนจะหายตัวไป เขาเดินไปที่ข้างหน้าห้องโชจิ และได้ยินเสียงเหมือนมีใครโทรมาจากห้องนั้น โจชิโร่เดินไปก็พบว่าเสียงนั่นหายไปแล้ว


เขาเก็บบันทึกของโชจิซึ่งเป็นบันทึกเกี่ยวกับโรคจันทราสะกดมา อยู่ๆเสียงจากอินเตอร์คอมนั่นก็ดังขึ้น แต่พอเมื่อเขาฟังเสร็จ โจชิโร่ก็เพิ่งสังเกตได้ว่าโคมไฟที่โต๊ะนั้นเปิดอยู่ เขาจึงคิดว่าต้องมีใครอยู่ที่นี่จริงๆแน่ ยังไม่ทันไรเขาก็ถูกวิญญาณหมอโชจิเข้าโจมตีอีกรอบ โจชิโร่เอาชนะโชจิได้และเก็บของที่เขาซ่อนมา มันเป็นกล่องที่มีกลไกอะไรสักอย่างทำให้เขาเปิดไม่ได้ แต่ที่กล่องมีรูปข้างขึ้นข้างแรม และเหมือนจะมีรูใส่อะไรสักอย่างอยู่


โจชิโร่เดินไปตามทาง ผ่านห้องของผู้อำนวยการ ลงบันไดไปข้างล่าง เขาคิดว่านี่คงจะเป็นอีกทาง แต่ทางที่ว่ากลับถูกกรงเหล็กกั้นอยู่ เขาเห็นการ์ดพระจันทร์ข้างขึ้น อยู่บนเตียงของฝั่งตรงข้ามของกรง โจชิโร่เอื้อมมือเก็บมันมา และพบว่าการ์ดนี้สามารถเสียบได้พอดี ที่เหลือคือเขาต้องตามหาการ์ดอีกใบ ซึ่งอีกใบหนึ่งอยู่ที่ห้องเคาเตอร์ของนางพยาบาลนั่นเอง โจชิโร่ใช้การ์ดทั้ง 2 เปิดกล่องออกมาได้สำเร็จ ข้างในเป็นโน้ตกระดาษเหมือนเป็นรหัสลับอะไรบางอย่าง


โจชิโร่เดินกลับไปที่ทางเดินหน้าห้องผู้อำนวยการ เขาพบกับภาพวิญญาณของชิเงโตะ ผู้อำนวยการของโรงพยาบาลกำลังเดินเข้าไปในห้องของตัวเอง โจชิโร่ตามเข้าไป


เขาเดินสำรวจห้องและพบว่ามีตู้วางของตู้หนึ่งมีลมออกมาจากข้างหลัง โจชิโร่ได้แก้รหัสลับที่ได้มาและกดรหัสนั้นที่เครื่องที่อินเตอร์คอม ทันใดนั้นก็มีเสียงกลไกอะไรสักอย่างดังออกมา โจชิโร่เดินไปที่ตู้ดังกล่าว เขาเปิดออกมาและพบว่ามีทางลับอยู่ข้างหลังตู้นี้อีก


ทางลับนี้เชื่อมกับชั้นใต้ดิน โจชิโร่เดินลงไปก็พบกับห้องที่ดูเหมือนห้องทดลองอะไรสักอย่าง แต่ไม่ทันไรเขาก็ถูกวิญญาณเข้าโจมตี หลังจากโจชิโร่จัดการวิญญาณนั่นได้ เขาก็เดินตามทางไปจนไปโผล่ในอีกที่หนึ่ง ที่นี่มีแสงจันทร์สาดส่องผ่านบ่อน้ำที่อยู่ข้างหน้าโรงพยาบาล ส่วนข้างๆก็มีลิฟต์ที่เชื่อมไปยังชั้นบน ที่นี่คือที่ที่โจชิโร่มาพบรุกะ เมื่อ 10 ปีที่แล้วนั่นเอง


หลังจากที่โจชิโร่นึกถึงภาพในอดีต เขาก็พบว่ารุกะไม่ได้อยู่ที่นี่ และโยที่ใช้ลิฟต์ลงมา ก็ไม่อยู่เช่นกัน แล้วโยอยู่ที่ไหนกันนะ...
           


Chapter 4 – ร่างกายที่ว่างเปล่า (ต่อจาก Chapter 1)





            ทางด้านรุกะ หลังจากที่เธอสู้กับมาโดกะเสร็จ เพลงสึกิโมริที่ใช้บำบัดอาการผู้ป่วยก็ดังขึ้น เพลงนี้ทำให้รุกะนึกถึงความทรงจำบางส่วนที่หายไปได้ เธอเก็บบันทึกที่มาโดกะทิ้งไว้ก่อนที่จะออกจากพิพิธภัณฑ์ ดร.อาโซ ไป  รุกะพบกับนางพยาบาลฟุยุโกะอีกครั้งและเธอก็เดินตามฟุยุโกะไป


           เพลงนี้อีกแล้วเหรอ? ใครเป็นคนแต่งเพลงนี้กันนะ?”


เพลงสึกิโมริที่ใช้บำบัดอาการผู้ป่วยดังขึ้นอีกครั้ง แต่รุกะก็เดินตามฟุยุโกะไปจนถึงห้องทำงานของฟุยุโกะ ฟุยุโกะยืนอยู่ข้างหน้าเครื่องควบคุมเครื่องเสียงตามสายของชั้น 2 ก่อนที่จะหายไป รุกะปิดเพลงสึกิโมริลง

ในขณะที่เธอกำลังออกจากห้อง เสียงจากอินเตอร์คอมก็ดังขึ้น รุกะเข้าไปสำรวจก็พบว่ามันมาจากห้อง 207 ห้องของอายาโกะนั่นเอง ทันใดนั้นฟุยุโกะก็โผล่เข้ามาโจมตีรุกะจากด้านข้างแต่ก็ถูกรุกะใช้กล้องปราบไปได้  


            รุกะมุ่งหน้าไปยังห้องของอายาโกะ เธอพบกับวิญญาณของอายาโกะ ยืนอยู่ตรงกำแพงมุมห้องก่อนที่จะหายตัวไป พอรุกะเข้าไปสำรวจกำแพงตรงนั้น ก็พบว่ามันมีประตูลับอยู่ด้วย แต่ทันใดอายาโกะก็โจมตีรุกะแบบไม่ทันตั้งตัว เธอขี่คอรุกะแล้วโจมตีเหมือนที่ทำกับมิซากิ แต่รุกะใช้กล้อง Obscura เอาชนะอายาโกะได้สำเร็จ


รุกะเปิดประตูลับเข้าไป ข้างในห้องมีเตียงนอนแบบโบราณขนาดใหญ่ตั้งอยู่ รุกะสังเกตเห็นชีทเพลงที่วางไว้อยู่บนเก้าอี้ม้า เธอมีความรู้สึกคุ้นเคยกับโน้ตเพลงนี้มาก เธอจึงคิดว่าถ้าเธอเอาเพลงนี้ไปเล่น เธอจะต้องจำอะไรได้แน่ๆ ก่อนที่จะกลับรุกะใช้มือเปิดม่านที่เตียงดู ก็พบวิญญาณของอายาโกะชั่วขณะก่อนที่จะหายตัวไป เตียงนี้มีเส้นด้ายสีแดงพันอยู่รอบๆเตียง แต่ตอนนี้เธอก็ไม่พบใครบนเตียงแล้ว รุกะลองเปิดประตูที่อยู่ข้างๆเตียงของอายาโกะ แต่ก็พบว่ามันถูกล็อคอยู่ เธอจึงใช้เส้นทางเดิมกลับไปยังโรงอาหาร เพื่อใช้เปียโนที่อยู่ที่นั่น เล่นเพลงนี้


โน้ตแบบนี้... เพลงแบบนี้จะต้องเป็น...


รุกะนั่งลง แล้วก็บรรเลงเปียโนตามโน้ตดนตรีที่อยู่ในชีท แต่ว่า...


ไม่ใช่ เพลงนี้มันมันแตกต่างกัน ที่ฉันฝึกตอนเด็กมัน...


รุกะลองเล่นเพลงนี้ซ้ำอีกรอบ จนกระทั่งเธอรู้สึกอะไรบางอย่างได้


            “เพลงนี้.. ฉันเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนนะ


เนื่องจากรุกะเล่นเพลงสึกิโมริ มันทำให้ความทรงจำบางส่วนของเธอกลับมา เธอเห็นภาพของห้องตัวเองในหอพักนี้ ภาพต่างๆในหอพักนี้รวมถึงลิฟต์ของหอพักที่เธอใช้เป็นประจำ

            ใช่แล้ว... ฉันมักจะ... ใช้ลิฟต์อยู่บ่อยๆนี่นา


รุกะรีบออกจากโรงอาหารมุ่งหน้าไปที่ลิฟต์ของหอพัก แต่พอเธอออกจากโรงอาหารมาไม่ทันไร ก็พบกับผู้หญิงใส่ชุดแนวตะวันตกสีดำ(คาเงริ) ที่ดูเหมือนจะเป็นคนฐานะสูง กำลังเข็นรถเข็นของคนพิการสีแดง และตุ๊กตาตัวใหญ่เท่าคน(วาตาชิ)นั่งอยู่ ออกมาจากลิฟต์ แต่รุกะก็ไม่สนใจ เดินเข้าไปลิฟต์ แต่ดูเหมือนว่าลิฟต์จะใช้งานไม่ได้เพราะไม่มีไฟฟ้า (แล้วผู้หญิงนั่นลงมาได้ไง?)


เธอเก็บแผนที่ของชั้น 1 และคู่มือการใช้งานลิฟต์ขึ้นมา มันบอกว่าสามารถเปิดพลังงานของหอพักได้จากห้องจ่ายไฟที่อยู่ชั้นใต้ดิน แต่ประตูที่จะไปสู่ชั้นใต้ดินนั้นก็กลับถูกล็อคอยู่ รุกะจึงตัดสินใจเดินตามคาเงริที่เข็นรถเข็นคนนั้นไป


รุกะตามจนมาถึงสวนของอยู่ใจกลางของหอพัก แต่เธอไม่เจอคาเงริ ที่เธอเจอก็มีแค่รถเข็นที่มีตุ๊กตาตัวใหญ่นั่งอยู่นิ่งๆ หน้าสระน้ำเท่านั้น รุกะพยายามเอามือไปแตะตุ๊กตาตัวนั้นแต่ว่า


อย่าเอามือมาแตะต้องตัวฉันนะ!”


มีเสียงตะโกนพร้อมกับมือที่มาจับที่แขนรุกะ ทำให้รุกะต้องสะดุ้งสะบัดมือตนเองออกมา คาเงริเป็นวิญญาณและพร้อมที่จะโจมตีใส่รุกะทุกเมื่อ แต่กลับไม่ได้มีแค่คาเงริที่มาโจมตีรุกะคนเดียวเท่านั้น  ตุ๊กตาที่นั่งอยู่ก็มาโจมตีใส่รุกะเช่นกัน ซึ่งตุ๊กตาวาตาชิมีความเร็วเป็นอย่างมาก จึงทำให้รุกะลำบากเมื่อจะต้องต่อสู้กับวิญญาณที่มีความเร็วแถมยังถูกรุมอีกด้วย


เมื่อรุกะชนะ เธอก็เก็บกุญแจซึ่งดูเหมือนไว้สำหรับไขห้องชั้นใต้ดินขึ้นมา แต่ทว่ารุกะก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างกำลังเดินขึ้นมาที่สวน จากบันไดที่เชื่อมกับชั้นใต้ดินในสวนนั้น  วิญญาณที่มีใบหน้าที่หมองมัวพร้อมกับเปลวไฟที่มาจากหน้ากากที่ลอยอยู่รอบๆ วิญญาณตนนั้น ซาคุยะ


หมอกสีดำมืดปรากฏขึ้นทันทีเมื่อวิญญาณตนนี้เดินออกมา เสียงของวิญญาณอันมากมายออกมาจากวิญญาณตนนี้ ถึงแม้รุกะจะปฏิเสธการสบหน้าสบตากับวิญญาณตนนี้ แต่รุกะก็ได้มองผ่านใบหน้านั้นด้วยกล้อง Obscura แต่ทว่า.....

กล้อง Obscura ใช้ไม่ได้ผล!


จะถ่ายสักกี่ครั้งก็ไม่เป็นผล วิญญาณตนนี้ไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนวิญญาณตัวอื่นๆ วิญญาณตนนี้ต่างกันออกไป ด้วยความกลัวนั้น รุกะจึงวิ่งหนีออกมาจากสวนอย่างสุดชีวิต โดยมีซาคุยะไล่ตามมาติดๆ แต่รุกะก็ออกมาจากสวนได้อย่างปลอดภัย และพบว่าซาคุยะไม่ไล่ตามมาแล้ว


รุกะยืนพักอยู่หน้าห้องก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังประตูห้องใต้ดิน เธอใช้กุญแจที่เก็บมาไขประตูเข้าไป เธอเดินลงไปยังห้องจ่ายไฟ ซึ่งดูจากสภาพห้องจ่ายไฟตอนนี้ก็รู้เลยว่าไม่มีไฟฟ้าหลงเหลืออยู่แล้ว รุกะเข้าไปสำรวจโต๊ะที่อยู่ในห้องจ่ายไฟ เธอพบกับบันทึกที่เขียนเกี่ยวกับการเปลี่ยนรหัสผ่านบนชั้น 3 ที่เปลี่ยนรหัสเป็น 1956 แทนรหัสเก่า หลังจากนั้นเธอก็สับสวิตซ์ให้กลายเป็น 23 ตามที่คู่มือบอก ตอนนี้ไฟฟ้าในหอพักกลับมาใช้งานได้ปกติแล้ว


 แต่ทันใดนั้นรุกะก็รู้สึกถึงวิญญาณผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในประตูที่อยู่ข้างๆ รุกะที่อดสงสัยไม่ได้ว่าวิญญาณตัวนั้นจะเดินไปที่ไหนจึงเดินตามไป มันเป็นทางแคบ มีบันไดให้ลงลึกไปอีกหนึ่งชั้น แต่ว่าเมื่อรุกะเข้าไปจนถึงประตูบานใหญ่ที่อยู่ข้างในสุด เธอก็พยายามเปิดประตูนั้นแต่กลับเปิดไม่ออก รุกะจึงเดินกลับไป


แต่พอจะมาเปิดประตูเพื่อออกไป ประตูก็กลับถูกล็อกด้วยพลังบางอย่างซะอีก เธอจึงรู้ตัวว่าตอนนี้ เธอดันมาติดกับดักของวิญญาณผู้ชายคนนั้นเข้าแล้ว วิญญาณตนนั้นเข้าโจมตีรุกะในทางแคบๆนี้ ถึงแม้ว่าทางจะแคบและอำนวยประโยชน์ให้แก่วิญญาณ แต่รุกะสามารถก็เอาชนะวิญญาณตนนั้นได้


แต่โชคร้ายก็มาหารุกะอีกครั้งเมื่อเธอเดินออกจากห้องจ่ายไฟ หมอกสีดำก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ซาคุยะเดินขึ้นมาจากทางแคบที่รุกะเพิ่งออกมาและไล่ตามรุกะ ทำให้รุกะต้องวิ่งหนีขึ้นไปที่ชั้น 1 ซึ่งเธอก็ขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย รุกะเดินไปถึงหน้าลิฟต์ แต่ดูเหมือนว่าลิฟต์ตัวนี้จะเปิดเอง ราวกับว่ากำลังรอรุกะอยู่


รุกะขึ้นไปที่ชั้น 3 เธอเดินตามภาพวิญญาณสึบากิ ที่เป็นนางพยาบาลเข้าประตูทางซ้ายไป รุกะได้เก็บแผนที่และรายชื่อของผู้ป่วยที่อยู่ในชั้นนี้ และเธอก็พบว่า ที่ชั้นนี้มีห้องของเธอและห้องของมิซากิอีกด้วย รุกะใส่รหัสที่เธอได้มาจากบันทึก เพื่อปลดล็อคประตูที่เข้าไปในบริเวณห้องพักผู้ป่วยชั้น 3 รุกะเปิดประตูเข้าไปในบริเวณห้องพักผู้ป่วยและเดินมาหยุดที่หน้าห้องของตัวเธอเอง ถึงจะสูญเสียความทรงจำ แต่ประตูห้องนี้ก็เป็นประตูห้องที่รุกะคุ้นเคยเป็นอย่างดี

ห้องนี้จะทำให้ความทรงจำของรุกะกลับมามากเท่าใดกันนะ....?



Chapter 5 – ชิ้นส่วนของหน้ากาก (ต่อจาก Chapter 2)




  ใครสักคน....
    ใครสักคนที่พิเศษ...


หลังจากที่เจอผู้หญิงชุดดำ มิซากิก็คิดถึงตัวเองในอดีตถึงใครบางคนอยู่ แต่ว่าในตอนนี้เธอมีสิ่งที่จะต้องทำ นั่นคือตามหามาโดกะ 


            ในระหว่างที่มิซากิจะเดินออกจากห้อง ผู้หญิงในชุดดำที่ว่าก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เธอยืนอยู่ที่กำแพงมุมห้องก่อนที่จะหายตัวไป ทำให้มิซากิสังเกตถึงประตูลับที่อยู่ตรงกำแพงนั้น มิซากิก้มลอดผ่านประตูลับขนาดเล็กนั่นเข้าไป


มิซากิเห็นประตูอีกบานในห้องลับนั่น แต่เมื่อเธอลองเปิดก็พบว่ามันถูกล็อกเอาไว้ด้วยพลังบางอย่าง มิซากิใช้กล้อง Obscura ถ่ายไปที่ประตู ปรากฏเป็นภาพตุ๊กตาที่ตั้งอยู่ในห้องของอายาโกะ มิซากิจึงออกจากห้องลับไปสำรวจตุ๊กตาที่ว่านั่น เธอก็พบกุญแจที่เอาไว้ใช้สำหรับไขประตู แต่เมื่อมิซากิจะไขประตู อายาโกะก็เข้ามาโจมตีเธอ ทำให้มิซากิต้องสู้กับอายาโกะอีกครั้ง มิซากิเอาชนะอายาโกะและปลดล็อคประตูได้สำเร็จ


            มิซากิเปิดประตูเข้ามาในอีกห้องหนึ่ง ห้องนี้มีเตียงนอน มีเสื้อแขวนอยู่ ดูเหมือนว่าจะมีคนเคยอาศัยในห้องนี้มาก่อน (ซึ่งห้องนี้คือห้องลับที่โยเคยใช้มาหลบซ่อนตัวในอดีต) มิซากิเก็บม้วนฟิล์ม และภาพถ่ายซึ่งเป็นภาพของผู้คนที่กำลังดูโปรเจกเตอร์ในโรงอาหารนั่นเอง


มิซากิจึงรีบไปที่โรงอาหารเพื่อเปิดดูม้วนฟิล์มที่เก็บมา ม้วนฟิล์มนี้เป็นฟิล์มที่อัดการแสดงพิธีรำบวงสรวงของเกาะเอาไว้ สิ่งนี้ทำให้ความทรงจำบางส่วนของมิซากิกลับคืนมา

ความรู้สึกนี้...

ภาพความทรงจำของมิซากิที่กำลังดูการแสดงและถูกใครบางคนจูงมือไป ภาพของผู้หญิงที่หน้ากากแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนจะผลิบาน

ใช่แล้ว... ฉันเคยดูการแสดงนี้ หลังจากนั้น ที่ไหนสักแห่ง...
ในขณะที่มิซากิกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องในอดีต เธอก็ได้สังเกตเห็นใครบางคนเข้า และนั่นก็ทำให้มิซากิตกใจเป็นอย่างมาก

มาโดกะเหรอ?!”

มาโดกะที่กลายเป็นวิญญาณพุ่งเข้ามาโจมตีใส่มิซากิในทันที มิซากิจึงจำเป็นต้องใช้กล้อง Obscura จัดการเธอ



หลังจากที่จัดการเสร็จ มิซากิก็เก็บเศษกระดาษของมาโดกะขึ้นมาอ่าน

                “มิซากิ ถ้าเธอพบกับคนๆนั้นแล้ว คนที่เธอบอกว่าเป็นคนสำคัญตั้งแต่ที่เราสองคนยังเด็กๆ ฉันรู้มาตลอด ฉันน่ะ เป็นแค่ของเล่นที่เป็นตัวแทน ไม่ได้สำคัญเหมือนคนๆนั้น ตั้งแต่ที่ฉันมาอยู่กับเธอ ฉันก็รู้สึกเหมือนเป็นแค่ตัวแทนของคนๆนั้น ฉันกลัวว่าเธอจะเริ่มจำผู้หญิงคนนั้นได้ ฉันกลัวมาตลอด มันเจ็บปวดมากที่เธอไม่มองเห็นฉันเลย แต่ถ้าเธอยังจำผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่ มันก็ดี ฉันจะกลับไปที่ห้องของฉัน ส่วนเธอก็คงกลับไปที่ห้องของเธอ กลับไปหาผู้หญิงคนนั้น ไม่เป็นไรหรอกถ้าเธอจะจำมันได้ ไม่เป็นไร... พวกเราน่ะ....มาตายไปด้วยกันเถอะ!”


หลังจากอ่านเสร็จ มิซากิก็รีบออกจากโรงอาหารในทันที แต่ทันใดนั้นประตูของลิฟต์ก็เปิดออก

                 “ทางนี้”

ผู้หญิงในชุดสีดำยืนอยู่อยู่ข้างในนั้น ราวกับว่าเธอรอมิซากิอยู่


มิซากิขึ้นลิฟต์ไปชั้น 3 เธอพบว่าห้องข้างหน้าทางขวาสุดนั้นถูกเก้าอี้เข็นสำหรับคนพิการตั้งขวางทางอยู่ เธอจึงเดินเข้าห้องที่อยู่ทางซ้ายก่อน มิซากิเดินเข้ามาถึงบริเวณห้องพักผู้ป่วยของชั้น 3 นี้ ซึ่งเธอก็พบกับห้องของตัวเองด้วย


มิซากิพยายามเปิดประตูเข้าไป แต่ก็พบว่ามีพลังงานบางอย่างปิดกั้นประตูนี้อยู่ เธอใช้กล้องถ่ายไปที่ประตูห้อง ปรากฏเป็นภาพของเก้าอี้เข็นสีแดงที่เคยเจอตอนออกมาจากลิฟต์


มิซากิเดินกลับไปทางนั้น แต่ก็ไม่พบกับเก้าอี้เข็นนั่นอีกแล้ว เธอเห็นแค่ภาพวิญญาณคาเงริเข็นเก้าอี้เข็นเข้าไปในประตู


มิซากิเปิดประตูเข้าไป และเดินตามทางไปจนถึงห้องจนไปถึงห้องของคาเงริ ซึ่งระหว่างทางเธอก็พบภาพของเธอ รุกะและมาโดกะ เข้ามาวิ่งเล่นด้วย ทางเดินจากประตูบานแรกสุดที่อยู่หน้าลิฟต์มาจนถึงห้องของคาเงริยาวพอสมควร


มิซากิเปิดประตูเข้าไปในห้องอย่างไม่ลังเล สภาพห้องของคาเงรินั้นมีหยากไย่ใยแมงมุมเต็มไปหมด มีฝุ่นเกาะเฟอนิเจอร์ต่างๆ บนกำแพงมีรูปภาพน่าขนลุกมากมาย ตรงกลางห้อง มีโลงศพสีดำ เชิงเทียนและเก้าอี้เข็นสีแดงที่คุ้นเคยตั้งอยู่ข้างๆโลง แต่ที่น่าขนลุกคือหุ่นตุ๊กตา อันน่าสยองขวัญที่มีแต่ท่อนบนตั้งอยู่ข้างหน้าเก้าอี้เข็น ราวกับว่าถ้ายกกล้อง Obscura ไปหาหุ่นตัวนั้น หุ่นตัวนั้นจะหันหน้ามาหากล้อง

มิซากิสำรวจภายในห้อง เธอเปิดม่านสีแดงที่อยู่ภายในสุด หลังม่านสีแดงนั่นมีโลงศพเต็มไปหมด แม้แต่มิซากิเองยังคิดว่า โลงศพเหล่านี้มีไปเพื่ออะไรกัน เธอเก็บกุญแจห้องของเธอที่อยู่บนเก้าอี้เข็นมา แต่เมื่อมิซากิจะเปิดประตูออกไป วิญญาณคาเงริก็ลุกขึ้นมาจากโลงศพและโจมตีเธอ รวมทั้งตุ๊กตาวาตาชิก็ออกมาโจมตีเธอด้วย มิซากิเอาชนะวิญญาณ 2 ตนนี้และรีบกลับไปที่ห้องของเธอทันที  


มิซากิเปิดเข้าไปในห้องของตัวเอง เธอสำรวจสิ่งของภายในห้อง แต่ระหว่างที่สำรวจ หัวของตุ๊กตาก็หล่นลงมาทำให้มิซากิตกใจเล็กน้อย เธอเก็บเลนส์ของกล้องขึ้นมาแล้วสำรวจต่อ เธอพบกับกล่องไม้ปริศนาใบหนึ่ง ซึ่งกล่องนั้นจำเป็นต้องแก้ปริศนาให้ได้ถึงจะเปิดออกด้วย แต่ดูเหมือนว่าจะมีชิ้นส่วนบางชิ้นหายไป


มิซากิพบกับเอกสารของเธออีก ทำให้ภาพความทรงจำตอนที่เธอโดนทดลองเข้ามาในหัว  แต่ทันใดนั้นวิญญาณหมอและพยาบาลก็เข้ามาโจมตีเธอ


มิซากิเอาชนะวิญญาณ 2 ตนนั้นได้ เธอจึงเริ่มหาชิ้นส่วนของปริศนาภายในห้อง ซึ่งชิ้นส่วนนั้นก็อยู่ใต้เตียงนอน มิซากิเก็บมันขึ้นมาและทำการแก้ปริศนาจนสำเร็จ เธอเปิดกล่องออกมา ข้างในมีกุญแจและมีรูปถ่ายของเธอกับผู้หญิงผมยาวดำคนหนึ่ง


ด้วยภาพนี้ ทำให้ความทรงจำของมิซากิผุดขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง ถึงใครบางคน คนๆนั้นที่อยู่ชั้น 4 ของหอพักนี้ ผู้หญิงคนนั้น......

สี่….สี่…..หก….เจ็ด....~”



บทขั้น – ชะตากรรมของมาโดกะ

          (เนื้อเรื่องนี้เป็นเนื้อเรื่องเสริมที่จะเล่าย้อนไปถึงเรื่องราวของมาโดกะหลังจากจบ Intro Chapter ไปแล้ว ที่มาเล่าในช่วงนี้เป็นเพราะผู้เล่นจะเก็บโน๊ตเศษกระดาษที่มาโดกะทิ้งไว้ได้ครบแล้ว ซึ่งเรื่องราวนี้ก็จะเป็นการเล่าเรื่องสั้นๆที่อิงมาจากเศษกระดาษของมาโดกะที่เก็บได้จากบทที่ 1 2 4 และ 5)

            ย้อนกลับไปตั้งแต่ที่มาโดกะเข้ามาที่เกาะโรเงทสึ มันเริ่มทำเธอจำเรื่องราวทุกอย่างได้ และสาเหตุที่เธอจำเรื่องราวทุกอย่างได้เร็วกว่าคนอื่นเป็นเพราะ รุกะเคยแต่งเพลงให้เธอฟัง และเพลงนั้นมันทำให้มาโดกะจำอะไรบางอย่างได้มาก่อนแล้วนั่นเอง เธอรู้สึกปวดหัวเหมือนมีอะไรบางอย่างจะระเบิดออกมาจากหัวของเธอตั้งแต่ที่เธอจำเรื่องราวได้

            หลังจากที่มาโดกะถูกวิญญาณ 3 ตนรุมล้อม มาโดกะไม่ได้ถูกวิญญาณฆ่าในทันที ตั้งแต่ที่เธอเห็นใบหน้าที่ผลิบานของโยริโกะ มันทำให้เสียงเพลงจันทราที่แสดงถึงตัวตนของเธอเริ่มถูกเสียงวิญญาณของคนตายเข้าแทรกซ้อน ยิ่งเธอถูกวิญญาณ 3 ตัวรุมล้อมยิ่งแล้วใหญ่ มาโดกะเริ่มเกิดอาการหลงๆลืมๆ เธอจึงพยายามคิดที่จะเขียนอะไรก็ได้ที่เธอยังจำได้ลงบนเศษกระดาษต่างๆ นาๆ แต่ก็พบว่ามันไม่มีประโยชน์และสุดท้ายมาโดกะก็ผลิบานไปในที่สุด 
          

          แต่ถึงกระนั้นมาโดกะในร่างวิญญาณก็ยังคงเดินออกไปอาบแสงจันทร์ตามสัญชาติญาณของคนที่ติดโรคจันทราสะกด ซึ่งการอาบแสงจันทร์มันทำให้เธอจำเรื่องราวอันน่ากลัวของตัวเองได้ แต่ด้วยอดีตที่เจ็บปวดของเธอ มันทำให้เธอกลัวและไม่อยากเห็นอดีตของตน เธอจึงหนีกลับไปอยู่ที่ห้องของตนบ่อยครั้ง ถึงเธอจะเสียชีวิตไปแล้วมาโดกะก็ยังคงเขียนความรู้สึกของเธอลงไปในกระดาษและเอากระดาษที่เธอเขียนไว้ตั้งแต่ออกเดินทางนั้นไปวางไว้ที่ต่างๆของหอพัก ไว้เผื่อเพื่อนของเธอจะได้มาเจอ 

           มาโดกะได้เข้าโจมตีมิซากิโดยหวังจะให้มิซากิเป็นแบบเดียวกับเธอ แต่สุดท้ายเธอก็โดนมิซากิใช้กล้อง Obscura จัดการ จนเธอต้องกลับไปที่ห้องของตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับตอนที่เจอรุกะ เธอรอให้รุกะมาหาเธอในห้องสมุดของพิพิธภัณฑ์ เพราะเธอคิดว่ารุกะจะช่วยเหลือเธอได้ ในระหว่างที่เธอโจมตี เธอมักจะบอกว่า ช่วยฉันด้วย! อยู่เสมอ แต่ถึงกระนั้น เธอก็ถูกรุกะใช้กล้อง Obscura จัดการไปอยู่ดี สุดท้ายเธอก็ต้องกลับไปอยู่ที่ห้องอยู่เช่นเดิม


-จบบทมาโดกะ-



Chapter 6 – บทเพลงสึกิโมริ (ต่อจาก Chapter 4)





นี่คือ ห้องของฉันสินะ?”


กลับมาทางด้านรุกะที่ยืนอยู่หน้าห้องของตัวเอง เธอเปิดประตูเข้าไป แต่ก็พบว่ามันล็อคอยู่ เธอจึงหยิบกล้อง Obscura ขึ้นมาถ่ายประตูไว้ ปรากฏเป็นภาพวาดเด็กผู้หญิง 5 คนยืนเรียงกัน การที่จะเปิดประตูนี้ได้ รุกะจำเป็นต้องหาภาพนี้ให้เจอ


ทันใดนั้นเธอก็พบกับวิญญาณผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในประตูที่อยู่ทางเดินด้านซ้าย รุกะเดินตามเข้าไป ข้างในเป็นทางเดินยาว มีภาพวาดติดอยู่ตรงกำแพง ซึ่งภาพที่อยู่ข้างในสุดเป็นภาพวาดผู้หญิงผมยาวใส่ชุดสีดำแดง รุกะพบภาพวาดของเด็กผู้หญิงที่ว่าติดอยู่ตรงผนัง รุกะใช้รูปถ่ายไปที่ภาพวาดนั้น แต่ภาพที่ปรากฏออกมากลับเป็นภาพเด็กสาวมีใบหน้าหมองมัวกันหมด ทันใดนั้นก็มีกุญแจก็ตกอยู่ใต้รูปภาพ ซึ่งกุญแจนั้นก็เป็นกุญแจห้องของรุกะนั่นเอง


รุกะอ่านป้ายที่วางไว้ มันเขียนไว้ว่าภาพวาดทั้งหมดนี้ เป็นภาพที่มาคากิบริจาคให้หอพัก ว่าแล้วด้วยความอยากรู้(?)รุกะจึงเปิดประตูที่อยู่ข้างๆป้ายนั้นเข้าไป


เธอพบกับภาพวิญญาณของผู้ชายที่เจอด้านนอก กำลังทำอะไรสักอย่างกับรูปวาดผู้หญิงในชุดแดงขนาดใหญ่ที่วางไว้บนพื้น ซึ่งไม่แปลกเลยที่วิญญาณผู้ชายคนนี้จะเป็นมาคากิ เธอสำรวจของภายในห้อง และพบว่าไม่มีอะไรแล้วเธอจึงกลับไปที่ห้องของเธอ


รุกะเปิดไขประตูเข้าไปในห้อง เธอพบกับภาพความทรงจำของตัวเองในอดีตที่กำลังเล่นเปียโน รุกะเดินลึกเข้าไปจนพบเตียงนอน มันทำให้เธอเห็นภาพตัวเธอเองในอดีต ที่กำลังนอนบนเตียงนอนและฟังเพลงที่ใช้บำบัดผู้ป่วย ด้วยท่าทางที่เจ็บปวดและเอามือกุมใบหน้าไว้


ที่นี่คือที่ที่ฉันเคยอยู่สินะ?”
ฉันเคยอยู่ที่นี่จริงๆงั้นเหรอ? ฉันจำอะไรไม่ได้เลยสักนิด


รุกะอ่านไดอารี่ของตัวเองที่อยู่บนหัวเตียง เธอเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงคิดที่จะเดินออกไป แต่ยังไม่ทันที่จะออกจากห้อง เธอก็ได้ยินเสียงเพลงมาจากกล่องเพลงที่ไหนสักแห่ง เธอจึงหันหลังกลับไปสำรวจตู้เก่าๆที่อยู่ข้างๆ เปียโน


เสียงที่มีความเกี่ยวข้องกับความทรงจำของฉัน
กล่องเพลงนี้ยังเล่นเพลงได้อยู่อีกงั้นเหรอ?”


เธอสำรวจกล่องเพลงดู


มีเฟืองหายไปอันนึง แล้วเพลงที่เล่นเมื่อกี้นี้ล่ะ?”


รุกะที่กำลังสงสัยว่าเพลงมันเล่นเองได้ไง ในเมื่อที่ในกล่องเพลงนั้นมีเฟืองหายไปหนึ่งอัน  เธอจึงใช้กล้องถ่ายไปที่กล่องเพลง ปรากฏเป็นภาพเปลและมีเฟืองอยู่ข้างใน


ทำไมเฟืองถึงอยู่ในที่แปลกตาแบบนี้ล่ะ? แต่ห้องนี้ มันดูคุ้นๆจังนะ...


ด้วยความคุ้นเคยของห้องนั้นทำให้รุกะเดินไปที่ห้องข้างๆ ซึ่งเป็นห้องของมิซากิ เธอเปิดประตูเข้าไป และก็พบกับเปลที่อยู่ในภาพจริงๆ รุกะเก็บเฟืองที่อยู่ในเปลมา และสำรวจห้องต่อ ทันใดนั้น วิทยุศิลาวิญญาณ (Spirit stone radio) ที่อยู่ในห้องก็ดังขึ้น


คุณพ่อบอกว่าหน้ากากที่พ่อทำ สามารถเปลี่ยนคนได้
คุณแม่ร้องไห้ คุณพ่อกับคุณแม่มักจะทะเลาะกันตลอด
เขาบอกหนูว่ามันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับหนู ที่จะพาหนูไปในที่ที่ไม่เคยเห็น


 รุกะเดินเข้าไปใกล้ๆวิทยุ


ความลับจากคุณแม่  อยู่ในกล่องที่อยู่ใต้-
วิทยุหยุดถึงแค่นี้


รุกะสำรวจห้องจนหมดและจะเดินออกจากห้อง แต่วิญญาณหมอโชจิก็เข้ามาโจมตีเธอ รุกะเอาชนะวิญญาณหมอได้ และกลับไปที่ห้องของตัวเอง เธอทำการใส่เฟืองที่เก็บมาลงไปในกล่องเพลง และกล่องเพลงก็กลับมาทำงานได้เป็นปกติ


ฉันเคยได้ยินเพลงนี้จากที่ไหนมาก่อน ถ้าฉันเล่นเพลงนี้ด้วยเปียโน ฉันอาจจะจำบางอย่างได้ก็ได้

รุกะนั่งเล่นเปียโนตามเพลงสึกิโมริที่เธอได้ยิน จนมันทำให้เธอจำอะไรบางอย่างได้

ใช่แล้ว..... เพลงนี้

รุกะนึกถึงสมัยที่ตัวเองยังเด็ก ในตอนที่แม่ของเธอกำลังยืนสอนเธอเล่นเพลงสึกิโมริ

นั่นล่ะ ดีมากจ้ะ
ฟังนะรุกะ เมื่อลูกเล่นเพลงนี้ดีขึ้นแล้วล่ะก็....


หลังจากที่รุกะบรรเลงเพลงสึกิโมริเสร็จ มันก็ทำให้เธอนึกไปถึงสมัยตอนที่เธอยังเด็ก ตอนที่เธอยังอยู่ในบ้านหลังจริงๆของเธอ ที่นี่เปรียบเสมือนความทรงจำในส่วนลึกๆของรุกะ


เธอตกสู่ห้วงแห่งความทรงจำ ราวกับว่าเธอเข้าไปอยู่ที่บ้านในอดีตของเธอจริงๆ รุกะเริ่มเดินสำรวจบ้านที่อยู่ในความทรงจำ เธอเก็บไดอารี่ต่างๆ ทั้งของแม่เธอและตัวเธอเอง จนรุกะไปพบกับรูปภาพบางอย่าง รูปภาพของผู้ชายสวมหน้ากาก สิ่งนั้นทำความทรงจำบางอย่างเข้ามาในหัวของรุกะ ผู้ชายที่กำลังตอกหน้ากากในห้องๆหนึ่ง และกำลังหันมา…..


ทันใดนั้น รุกะก็รู้สึกตัวมาอยู่ที่ห้องๆเดิมในหอพักผู้ป่วย ในขณะที่จะเดินออกไป ภาพวิญญาณของซายากะก็โผล่มานั่งอยู่ข้างๆเตียง รุกะเดินที่ที่แม่ของเธอนั่งก็พบกับกุญแจขนาดเล็กตกอยู่ข้างๆเตียง


ในขณะที่กำลังจะเก็บกุญแจ รุกะสังเกตเห็นบางอย่างอยู่ใต้เตียง เธอลากมันออกมาก มันคือกล่องลิ้นชัก ซึ่งมีบันทึกของเธอกับหน้ากากคานาเดะที่เธอเคยใส่อยู่ข้างใน


หน้ากากนี้...
ความทรงจำบางส่วนกลับมาหารุกะอีกครั้ง เธอนึกถึงบางอย่าง มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังสวมหน้ากากให้เธอ

            เรียบร้อยแล้วล่ะ ซาคุยะ....

ผู้ชายคนนั้นพูดหลังจากสวมหน้ากากให้รุกะเสร็จ หลังจากนั้นก็มีผู้หญิงเดินเข้ามาหาเธอ



ซาคุยะ... งั้นเธอจะต้องเป็น….”     รุกะคิดอยู่ในใจหลังจากนึกถึงความทรงจำเหล่านั้น
ในวันงานเทศกาล ฉันถูกลักพาตัว.... มันเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด
ในวันนั้น... ตอนที่ฉันถูกลักพาตัว... พวกเขาทำอะไรกับฉันบ้างนะ?”


รุกะมีคำถามเพิ่มเข้ามาในหัว ซึ่งเธอก็ต้องออกไปหาคำตอบ เธอเดินออกจากห้อง กลับไปที่ห้องทำงานของนางพยาบาลชั้น 3


รุกะเก็บไดอารี่ของแม่ที่นางพยาบาลชิเอะเก็บไว้ให้เมื่อ 10 ปีที่แล้วมา รุกะใช้กุญแจที่ได้มาไขล็อกของไดอารี่ออก


ในไดอารี่ของแม่รุกะกล่าวถึงเรื่องที่นักสืบโจชิโร่เล่าให้ฟัง เกี่ยวกับการพบตัวรุกะตอนที่ถูกลักพาตัว


ในนั้นมีคีย์เวิร์ด ซึ่งเป็นเป้าหมายต่อไปของรุกะ ที่จะทำให้ความทรงจำของเธอกลับมา นั่นคือ ชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลไฮบาระ และในไดอารี่ก็มีข้อความกล่าวถึงทางเดินที่อยู่ในชั้น 1 ของหอพัก มันเชื่อมต่อระหว่างหอพักโรเง็ทสึและโรงพยาบาลไฮบาระไว้ ซึ่งตอนนี้ก็มีประตูนั้นประตูเดียวที่รุกะยังไม่ได้เปิด และทางเดินนั่นต้องอยู่หลังประตูนั้นแน่


แผนของรุกะในตอนนี้คือ หลังจากนี้เธอต้องไปที่ชั้น 1 และเดินข้ามไปยังฝั่งโรงพยาบาล และลงไปชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลเพื่อไปตามหาความทรงจำที่หลงเหลืออยู่อีก
รุกะลงลิฟต์ไปที่ชั้น 1 อย่างไม่รีรอ แต่เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก บรรยากาศรอบตัวเธอก็มืดลง หมอกสีดำถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ซาคุยะกำลังออกมาจากช่องทางเดิน และตรงมาที่รุกะ ทำให้รุกะต้องวิ่งเข้าไปหลบอยู่ในโรงอาหารสักพัก


ผ่านไปไม่นาน รุกะก็ออกมาจากโรงอาหาร เธอพบว่าซาคุยะไม่อยู่ที่นี่แล้ว เธอจึงเดินเข้าไปในทางเดินที่ซาคุยะเดินออกมา และไปหยุดอยู่ที่หน้าบานประตูขนาดใหญ่


รุกะพยายามเปิดประตูออกแต่ก็เปิดไม่ได้ เธอจึงใช้กล้องถ่ายไปที่ประตู ปรากฏเป็นภาพช่องสี่เหลี่ยมบางอย่างที่อยู่ในห้องจ่ายไฟของหอพัก


ในขณะที่รุกะกำลังเดินไปที่ห้องจ่ายไฟ เธอก็ต้องหยุดเดิน เมื่อหมอกดำก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ซาคุยะเดินออกมาจากห้องจ่ายไฟ ผ่านหน้ารุกะไปโดยไม่หันมามอง 


รุกะเข้าไปในห้องจ่ายไฟ เธอเก็บกุญแจขึ้นมาจากหลุมนั่น ทันใดนั้นวิญญาณของนางพยาบาลชิเอะก็โผล่มาตรงโต๊ะที่เธอทำงาน ก่อนจะหายไป แต่เมื่อรุกะพยายามจะไปอ่านบันทึกของเธอ ชิเอะก็โผล่ออกมาจากใต้โต๊ะและเข้าทำร้ายรุกะ


หลังจากที่รุกะเอาชนะชิเอะได้ เธอก็เก็บบันทึกขึ้นมาอ่าน เป็นบันทึกที่กล่าวถึงความรู้สึกของชิเอะที่มีต่อซาคุยะ ในตอนที่ซาคุยะอยู่ในอาการโคม่า แต่ทันใดนั้นวิทยุที่อยู่บนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้นมา


ตั้งแต่วันนี้ที่เป็นวันงานเทศกาล บรรยากาศบนเกาะได้เงียบสงัด

ทุกคนไม่พูดอะไร และเธอคนนั้นก็ยังคงหลับใหลอยู่

ถึงเธอจะหลับ แต่ฉันก็ได้ยินเสียง

ถึงเธอจะหลับ แต่ฉันก็ได้ยินเสียง!”

ฉันได้ยินเสียงหลายอย่าง....

ฉันรู้สึกเย็น

ประตูถูกเปิดออก... ฉันรู้สึกเหมือนเธอได้ตื่นขึ้นมา

ตื่นขึ้นมาเหมือนในภาพวาดนั่น

ฉันไม่เข้าใจ... เธอน่าจะตายไปแล้วนี่นา!”

ประตู.. มันกำลังเปิดออก! มันเปิดออกมา

หลังจากรุกะฟังวิทยุเสร็จ เธอก็กลับไปที่ประตูบานใหญ่ตรงทางเดิน รุกะใช้กุญแจไขเข้าไป

 ในระหว่างที่รุกะกำลังเดินข้ามไปฝั่งโรงพยาบาล เธอก็ถูกวิญญาณโจมตี แต่รุกะก็เอาชนะมาได้

รุกะเดินมาถึงฝั่งโรงพยาบาลไฮบาระ เธอเดินลงไปชั้น 1 และลงลิฟต์ไปชั้นใต้ดินอย่างไม่รีรอ


ตอนนี้เธอมาอยู่ในชั้นใต้ดินของโรงพยาบาลที่มีแสงจันทร์สาดส่องเข้ามา ที่นี่คือที่ที่โยพาเด็กสาวทั้ง 5 มาอยู่ หลังจากแสดงพิธีกรรม และเป็นที่ที่โจชิโร่มาพบรุกะนั่นเอง

กลิ่นแบบนี้ ราวกับว่าเวลาได้ถูกหยุดเอาไว้เลย

จังหวะนั้นความทรงจำบางส่วนที่หายไปก็เข้ามาอยู่ในหัวของรุกะ

อ๊ะ!... ฉันเคย... อยู่ที่นี่มาก่อน

“ทำไมล่ะ? เป็นไปได้ยังไง? อย่างกับว่าฉันอยากอยู่ที่นี่ตลอด.... รู้สึกดีจัง....

ฉันรู้สึกเหมือน สติของฉันจะละลายหายไปเลย....

ความทรงจำของรุกะเริ่มกลับมาทีละนิดแล้ว….




Chapter 7 – ปราศจากความทุกข์ (ต่อจาก Chapter 3)




         
ทางด้านโจชิโร่ที่อยู่ในชั้นใต้ดินของโรงพยาบาล เขาเดินสำรวจรอบๆและพบกับเทปที่เขาอัดตอนไปสัมภาษณ์คนในโรงพยาบาล ไม่ทันไรภาพของโยที่กำลังจูงรุกะเข้ามาก็ปรากฏขึ้น
            หลังจากภาพนั้นหายไป เขาก็พบกับประตูที่อยู่ข้างในชั้นใต้ดินนั่น

ประตู... เราจำไม่ได้เลยว่ามีประตูอยู่ตรงนี้ด้วย... มันดูเก่ามาก
ตอนที่เราเจอรุกะ เราอาจจะไม่ได้สังเกตมัน


โจชิโร่เปิดประตูเข้าไป ข้างในเป็นทางแคบๆ มีสายน้ำไหลผ่านมา ทางซ้ายเป็นบันไดลงไปอีก คาดว่าข้างล่างจะเป็นอุโมงค์ทางยาวแคบๆ แต่เมื่อโจชิโร่เดินลงไป ก็พบว่ามีซากไม้ซากหินบังทาง เหลือแค่ช่องแคบเล็กๆ เท่านั้น และเขาคิดว่าซากพวกนั้นต้องหล่นมาทับเขาแน่ๆ ถ้าเขาคิดจะเอาตัวลอดผ่านช่องนั้น


โจชิโร่พบเศษกระดาษบางอย่างตกอยู่บนพื้น เขาเก็บมันขึ้นมา ในกระดาษนั้นเขียนเกี่ยวกับพิธีกรรม และความกลัวต่อผู้หญิงคนหนึ่งที่ไร้ใบหน้า


โจชิโร่หันหลังและจะเดินกลับไป เขาก็โดนวิญญาณมิจิฮิโกะ หนึ่งในคนที่ทำงานให้ตระกูลไฮบาระโจมตี

            หลังจากเขาเอาชนะได้ เขาก็เดินกลับไปตรงหน้าลิฟต์อีกครั้ง และมองไปที่ประตูที่เขาเข้ามา

ถ้าประตูนี้เชื่อมต่อไปยังห้องของผู้อำนวยการ แสดงว่าเขาต้องมีส่วนร่วมกับการลักพาตัวแน่ๆ

ไม่ทันไร วิญญาณที่ทำงานให้ตระกูลไฮบาระอีก 3 ตนก็ออกมาจากลิฟต์ และโจมตีโจชิโร่ เขาจึงใช้ไฟฉายที่แม่ของรุกะให้มา สาดใส่พวกวิญญาณจนวิญญาณเหล่านั้นหายไป


            โจชิโร่จะกลับขึ้นไปที่ชั้นบน เขาใช้ลิฟต์ที่พวกวิญญาณออกมา แต่ดูเหมือนว่าลิฟต์นี้จะขึ้นไปเองในขณะที่โจชิโร่ไม่ได้ทำอะไรเลย


            ลิฟต์ได้ไปหยุดที่ชั้น BF1 ซึ่งเป็นชั้นใต้ดินที่อยู่เหนือถ้ำใต้ดินไปชั้นนึง โจชิโร่เดินออกมา เขาก็พบกับภาพของนางพยาบาลสึบากิ โทโนะเดินเข้าประตูข้างๆไป โจชิโร่เดินตามเข้าไป


            ข้างในนี้เป็นห้องเก็บศพ โจชิโร่สำรวจห้อง เขาพบมรณบัตรของ โทโมโกะ ฮินุมะ คนไข้ที่จมน้ำตายในคืนพิธีกรรม  และของสึบากิ โทโนะ นางพยาบาลที่ถูกเรื่องให้เป็นนางรำ และเสียชีวิตในพิธีกรรม ซึ่งศพของทั้งสองถูกนำมาเก็บไว้ในห้องนี้


            โจชิโร่พบโน้ตและกุญแจใกล้ถุงขยะที่วางอยู่ในห้อง ซึ่งดูจากโน้ตแล้วมีการกล่าวถึงการเผาเอกสาร โดยให้ใช้เตาเผาหลังโรงพยาบาล ซึ่งกุญแจนี้เอาไว้ใช้ไขประตูหลังของโรงพยาบาลแน่นอน


            ในขณะที่โจชิโร่จะออกจากห้อง วิญญาณมาซาโนบุ หนึ่งในคนที่ทำงานให้ตระกูลไฮบาระก็เข้าโจมตีโจชิโร่


            หลังจากจัดการวิญญาณสำเร็จ โจชิโร่ก็เดินตามทางไป เขาเปิดประตูโผล่ไปที่ทางเดินของอีกส่วน เขาพบกับนางพยาบาลสึบากิ และเดินตามไป


            ตอนนี้โจชิโร่อยู่ที่ประตูกรง ซึ่งเป็นฝั่งที่เขาเอื้อมมือเข้ามาเก็บการ์ดพระจันทร์(ใน Chapter 3) ข้างๆประตูกรง มีปุ่มปิดประตู ซึ่งในการที่จะเปิดประตูกรงนี้ เขาต้องเปิดพลังงานไฟฟ้าของที่นี่เสียก่อน เขาใช้ไฟฉายส่องไปที่ปุ่มนั้นทำให้ปรากฏเป็นภาพของเครื่องเปิดพลังงานที่อยู่ที่ไหนสักแห่ง


โจชิโร่กลับไปที่ทางเดิน แล้วเดินไปที่ประตูอีกฝั่ง เมื่อเขาเปิดประตูออกมา ก็มีวิญญาณเคียวโกะ เป็นวิญญาณที่มีผมยาวห้อยหัวลงมาจากเพดานและโจมตีโจชิโร่ รวมเหล่าทั้งวิญญาณที่รับใช้ไฮบาระด้วย


โจชิโร่เอาชนะพวกวิญญาณได้ เขาเปิดสวิตซ์พลังงานและกลับออกมา โจชิโร่เปิดประตูกรงและเดินขึ้นไปได้สำเร็จ


โจชิโร่เข้าไปในห้องของ ชิเงโตะ ผอ. โรงพยาบาลอีกครั้ง เขาพบภาพโยยืนอยู่หน้าตู้หนังสือ ก่อนที่จะหายไป โจชิโร่เดินไปที่หน้าตู้นั่นและเก็บสมุดบันทึกของ ชิเงโตะได้ เขาสำรวจภายในห้องก่อนที่ลงไปในห้องทดลองลับใต้ดินอีกครั้ง เขาพบภาพชิเงโตะและโยกำลังทดลองเด็กสาวที่อยู่บนเตียง เด็กคนนั้นใส่ชุดเหมือนคนประกอบพิธีกรรม ซึ่งก็หมายความว่าระหว่างที่พวกเด็กถูกลักพาตัวไปไว้ที่ถ้าใต้ดิน พวกเธอก็ถูกนำมาทดลองเพื่อเช็คสภาพของอาการด้วย


โจชิโร่เดินกลับขึ้นมา ในขณะที่เขากำลังเดินผ่านห้องทำงานของโชจิ เสียงอินเตอร์คอมจากในห้องก็ดังมาอีกครั้ง โจชิโร่จึงเดินเข้าไป
           
ถ้าคุณได้บันทึกผู้ป่วยอะไรก็ตาม เอามาไว้ที่ห้องผมด้วย ผมจะดูเอง

แยกผู้ป่วยเด็กที่อ่อนแอออกไป

ผมไม่ต้องการเด็กผู้ชาย


โจชิโร่เดินต่อไปผ่านห้องผ่าตัด เข้าสู่ด้านหลังของโรงพยาบาล เขาใช้กุญแจไขประตูออกไป
ข้างนอกด้านหลัง รพ. เป็นทางเดินยาว ข้างๆ มีกองขยะและเตาเผาที่ไว้ใช้ทำลายขยะ เขาคิดว่าเอกสารคงยังถูกทำลายไม่หมดเลยไปตรวจสอบดู


โจชิโร่พบกับถุงขยะดำอยู่ข้างในเตาเผา เขาสำรวจดูและพบกับจดหมายที่ถูกเผาไปส่วนหนึ่งและจดหมายนั่นก็จ่าหน้าถึงเขาด้วย


เขาเปิดอ่านดู มันเป็นจดหมายจากเพื่อนเก่าของเขา ทาคาชิ ที่มาศึกษาวัฒนธรรมบนเกาะ จดหมายของเขาเขียนเกี่ยวกับพิธีกรรมบนเกาะ


โจชิโร่เดินออกมาจากบริเวณเตาเผาขยะ เขาก็พบกับวิญญาณของนางพยาบาลสึบากิ โทโนะ เดินตามทางเข้าไปในป่าช้า โจชิโร่จึงตามเธอไป เขาเดินตามจนมาถึงข้างในสุด เป็นที่ฝังศพของคนตาย จากตรงนี้สามารถมองเห็นพระจันทร์ได้ชัดมาก......


ช่วยด้วย


เสียงจากวิญญาณสึบากิ โทโนะ ในชุดพยาบาลที่ยืนอยู่ข้างหน้าหลุมศพก่อนที่จะหายไป


โจชิโร่เก็บบันทึกของสึบากิ ในบันทึกเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับตัวของสึบากิเอง และความรู้สึกที่สึบากิมีต่อตำแหน่งนางรำของพิธีรำบวงสรวง พอโจชิโร่อ่านเสร็จ เขาก็เก็บม้วนฟิล์มที่อยู่ข้างๆบันทึกขึ้นมา

ทันใดนั้นวิญญาณสึบากิก็มายืนอยู่ข้างๆเขาในชุดของนางรำและจ้องมองโจชิโร่ ก่อนที่จะหายตัวไป

ในขณะที่เดินกลับ โจชิโร่ก็ถูกวิญญาณเข้ามารุมโจมตีเป็นระลอกๆ ทำให้โจชิโร่ต้องใช้ไฟฉายจัดการและรีบวิ่งกลับไปที่โรงพยาบาล

โจชิโร่กลับมายังห้องโถงหลักของโรงพยาบาล เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเคาเตอร์ของนางพยาบาลก็ดังขึ้น  โจชิโร่เดินเข้าไปรับโทรศัพท์นั่นขึ้นมาอีกครั้ง

“จะเป็นเรื่องที่ดีกว่าถ้าไม่รู้อะไรเลย
“จะเป็นเรื่องที่ดีกว่าถ้าจำอะไรไม่ได้เลย

มีเพียงแค่สองประโยคนี้ที่ดังมาจากโทรศัพท์ แต่ไม่ทันไรโจชิโร่ก็เห็นโยเดินขึ้นบันไดไปชั้น 2 ซึ่งโจชิโร่ก็รีบตามไป


โจชิโร่ขึ้นมายังชั้น 2 เขาก็พบโยเดินเข้าไปในทางเดินที่อยู่ข้างๆก่อนที่จะหายไป สุดทางเดินที่โยไปนั้นมีปรตูขนาดใหญ่อยู่  โจชิโร่เปิดประตูเข้าไป และเดินตามทางจนออกมาที่ฝั่งหอพักโรเงทสึ


โจชิโร่เดินสำรวจหอพักจนเข้าไปในโรงอาหาร เขาพบเครื่องฉายโปรเจกเตอร์วางไว้อยู่กลางห้อง เขาจึงนำม้วนฟิล์มที่ได้มาจากหลังโรงพยาบาลมาเล่น


ภายในฟิล์มม้วนนี้เป็นฟิล์มที่อัดการแสดงพิธีรำบวงสรวงของเกาะเมื่อ 10 ปีที่แล้ว และโจชิโร่ก็เป็นเคยหนึ่งในผู้ที่ชมการแสดงนั้นด้วย ภาพในม้วนฟิล์ม มีการตัดภาพไปที่ผู้หญิงอีกคนหนึ่งเล็กน้อยก่อนที่จะกลับมาช่วงก่อนที่นางรำจะล้มลง ผู้คนในลานพิธีก็เริ่มแตกตื่น

ในวันนั้นมิโกะได้เสียชีวิตลง
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ?”


            ทันใดนั้นโจชิโร่ก็สังเกตเห็นขาของใครบางคนที่ยืนอยู่หลังจอโปรเจกเตอร์ เขาจึงเดินเข้าไปสำรวจข้างหลัง แต่ก็พบว่าไม่มีใครแล้ว

โจชิโร่สำรวจเตาผิงที่อยู่ข้างหลังก็พบกับเทปที่เขาอัดไว้ตอนที่ เขาตรวจสอบหอพักเพื่อตามหาบางสิ่งที่นำไปสู่การลักพาตัวในอดีต มีเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องโรคจันทราสะกด และกล่าวถึงการสอบถามผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยเด็กคนนั้นบอกว่าเขาเห็นเด็กผู้หญิงในห้องของผู้ป่วยที่ชื่อว่ามาคากิและโจชิโร่จะไปที่ห้องนั้นเป็นห้องต่อไป แต่เมื่อไปถึงที่นั่นเขาก็ไม่พบใคร โจชิโร่จึงคิดว่าผู้ป่วยเด็กอาจจะหมายถึงรูปภาพนี้ และเมื่อเขาทำการสำรวจทั้งหอแล้วเขาจะขึ้นไปสำรวจห้องของซาคุยะด้วย แต่เมื่อขึ้นไปเขาก็ไม่พบกับอะไร การตามหาเด็กสาวที่ถูกลักพาตัวจึงถูกยกเลิก เทปจบแต่เพียงเท่านี้


            หลังจากเทปจบ โจชิโร่ตั้งใจมุ่งหน้าไปยังห้องของมาคากิตามที่เทปกล่าวเอาไว้ เพื่อให้ความทรงจำกลับคืนมา แต่ระหว่างนั้นเขากลับถูกเหล่าวิญญาณ 3 ตนโจมตี ทำให้โจชิโร่ต้องใช้ไฟฉายปราบพวกมันอีกครั้ง


            หลังจากวิญญาณพวกนั้นหายไป โจชิโร่ก็ออกจากโรงอาหารไปยังบริเวณลิฟต์ของหอพัก เขาพบกับภาพวิญาณของนางพยาบาลสึบากิเดินเข้าไปในลิฟต์


โจชิโร่กดไปยังชั้น 3 ซึ่งเป็นชั้นที่มีห้องของผู้ป่วยมาคากิอยู่ เขาเดินตามนางพยาบาลสึบากิเข้าไปใน แผนกสำนักงานชั้น 3


โจชิโร่สำรวจภายในห้องสำนักงาน เขาพบกับเทปที่อัดไว้ในอดีต เกี่ยวกับการออกจากเกาะของแม่รุกะ


ก่อนที่โจชิโร่จะเปิดไปยังแผนกผู้ป่วยชั้น 3 เครื่องอินเตอร์คอมก็ดังขึ้น รู้สึกจะเป็นเสียงมาจากห้องของรุกะ โจชิโร่จึงมุ่งหน้าไปยังห้องของรุกะก่อน


โจชิโร่เข้าไปในห้องของรุกะ เธอพบกับภาพวิญญาณของซายากะยืนอยู่ข้างๆเตียงนอนแล้วหายไป


นี่มัน... ของคุณซายากะ?”


โจชิโร่เก็บรูปถ่ายและบันทึกของซายากะขึ้นมา ในรูปถ่ายมีภาพของ ซายากะ โซยะ ชิเงโตะและโย ส่วนบันทึกนั้นเป็นบันทึกที่เกี่ยวกับสาเหตุที่เธอออกจากเกาะเพื่อช่วยเหลือรุกะ และบันทึกนี้ก็ถูกทิ้งไว้ให้โซวยะ


ระหว่างที่โจชิโร่กำลังจะออกมาจากห้อง วิญญาณหมอโชจิก็เข้ามาโจมตีพอดี โจชิโร่จึงใช้ไฟฉายจัดการวิญญาณหมอโชจิได้สำเร็จ


โจชิโร่เดินออกมาจากห้องของรุกะ เขาเห็นวิญญาณวิญญาณของมาคากิเดินเข้าไปในห้องที่จัดแสดงภาพวาดของมาตากิไว้ โจชิโร่จึงเดินตามและเปิดประตู แต่เปิดไม่ออก เขาจึงตัดสินใจเปิดประตูอีกบานที่อยู่ใกล้ๆกัน ซึ่งเป็นประตูหน้าห้องพักของมาคากิ


โจชิโร่เข้าไปในห้อง แต่ไม่ทันไรเขาก็ถูกใครจับขาทำให้เขาล้มลง โจชิโร่หันกลับไปก็พบกับวิญญาณมาคากิกำลังดึงขาของเขาอยู่ โจชิโร่จึงสลัดมาคากิออกและต่อสู้กับเขา


หลังจากที่จัดการมาคากิไปได้ โจชิโร่ก็ตรวจสอบภาพวาดขนาดใหญ่บนพื้น เป็นภาพวาดผู้หญิงที่มีใบหน้ามัวหมอง


ทิวทัศน์นี่....


ด้วยฉากของภาพทำให้เขาจำอะไรบางอย่างได้


เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ตอนที่โจชิโร่มาที่เกาะนี้เพื่อตามหาไฮบาระอีกครั้ง เขาได้เข้าไปตรวจสอบในสวนของหอพัก เขาจำได้ว่าในตอนนั้นเขารู้สึกปวดหัว และเห็นผู้หญิงในภาพวาดเดินขึ้นมาจากบันได แล้วเขาก็รีบออกจากสวนไป


ทำไมเขาต้องกลับมาที่เกาะนี้อีกนะ?”
แล้วผู้คนหายไปไหนกันหมด?”
.
.
.
.





Chapter 8 – ซาคุยะ (ต่อจาก Chapter 5)




           
คนๆนี้


มิซากิเผลอพูดออกมาในขณะที่กำลังดูรูปถ่ายของตัวเองเมื่อสมัยก่อน เธอจำอะไรบางอย่างได้จึงรีบกลับไปที่ลิฟต์ของหอพัก


            แต่เมื่อเธอไปถึง เธอก็พบกับเด็กผู้หญิงในชุดดำมารออยู่ที่ลิฟต์ มิซากิเข้าไปในลิฟต์และกดไปยังชั้นสี่ ซึ่งเป็นแผนกผู้ป่วยแยก แต่พอประตูลิฟต์เปิดออก วิญญาณเคียวโกะก็ห้อยหัวลงมาจากเพดานและโจมตีใส่มิซากิ


            หลังจากที่มิซากิเอาชนะเคียวโกะได้ เธอก็เดินเข้าไปในแผนกของชั้น 4 เมื่อเข้าไป มิซากิก็พบสมุดรายงานของแผนกชั้น 4 แต่ในขณะที่เธอกำลังจะหยิบมันขึ้นมาอ่าน โทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆ ก็ดังขึ้นมา ทำให้มิซากิสะดุ้งเล็กน้อย

           
มิซากิหยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมา


อย่าลืมเรื่องของฉันนะ
ถึงแม้ว่าฉันจะลืมเรื่องของตัวเอง
ก่อนที่ฉันจะหายไป....


มิซากิวางโทรศัพท์ลง แล้วกลับไปหยิบสมุดรายงานขึ้นมาอ่าน ในสมุดกล่าวถึงตัวเธอในอดีตกับซาคุยะ และมีคั่งว่าอย่าให้ทั้งสองพบกัน


ในสมุดนั้นมีแผนที่และกำหนดการของห้องในแผนกของชั้น 4 สอดอยู่ ในกำหนดการเขียนไว้เกี่ยวกับคนไข้ในชั้น 4 และมีข้อห้ามต่างๆและข้อระวังเรื่องการใช้ประตูเหล็กของชั้นนี้อีกด้วย


มิซากิเข้าไปสำรวจโต๊ะทำงานของนางพยาบาล เธอก็พบกับสมุดรายงานอีกเล่มหนึ่ง แต่ในเล่มนี้กลับเขียนถึงความสับสนของนางพยาบาลที่จำใบหน้าของคนไข้ไม่ได้


สี่….สี่…..หก….เจ็ด....~”


หลังจากที่มิซากิอ่านรายงานเสร็จ เสียงของเด็กผู้หญิงดังขึ้นมาจากทางซ้ายของเธอ มิซากิหันไปก็พบว่าเป็นภาพของตัวเองในอดีตที่กำลังกดรหัสไขประตูเหล็กอยู่


มิซากิเดินไปที่อินเตอร์คอมเครื่องนั้น เธอก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งจึงใช้กล้อง Obscura ถ่ายไว้
4467”


นั่นคือสิ่งที่ปรากฏอยู่ในภาพที่มิซากิถ่าย มันเหมือนกับเลขที่ตัวเธอเองในอดีตท่องไว้
 มิซากิทำการใส่รหัสผ่าน แล้วรีบออกไปเปิดประตูเหล็กทันที


            แต่เมื่อเธอพยายามเปิดออก ก็มีแรงดึง ดึงประตูเข้าไปเหมือนมีใครยืนอยู่อีกฟากและพยายามดึงประตูเพื่อไม่ให้มิซากิเปิดเข้าไป


มิซากิจึงเอามือไปเปิดช่องที่ประตูอย่างช้าๆ เพื่อสำรวจดูอีกฟากของประตูว่ามีใครอยู่บ้าง และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ วิญญาณนางพยาบาลชิเอะยืนอยู่อีกฟากของประตูและจ้องเขม็งมาที่มิซากิ ทำให้มิซากิเกิดอาการตกใจ


มิซากิเปิดประตูเหล็กอีกรอบหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะไม่มีใครมาขัดขวางเธอ มิซากิเดินตามทางยาวเข้าไป จนพบกับสมุดรายงานอีกเล่มวางอยู่บนโต๊ะ แต่ก็ต้องตกใจที่ดูเหมือนว่าคนเขียนสมุดรายงานเล่มนี้จะบ้าไปแล้ว


มิซากิพบกับภาพนางพยาบาลชิเอะยืนบังประตู แต่เมื่อมิซากิเข้าไปใกล้ วิญญาณตนนั้นก็เข้ามาโจมตีมิซากิ


หลังจากที่มิซากิเอาชนะวิญญาณชิเอะลงได้ เธอก็เปิดประตูและเดินเข้าไปอีกเล็กน้องจนมาถึงหน้าห้องของผู้ป่วย เธอพบกับภาพของเธอกำลังยืนอยู่กับเด็กผู้หญิงในชุดดำในอดีต ยืนอยู่หน้าห้องของผู้ป่วยชั้นสี่ อีกด้วย


ในขณะที่มิซากิจะเปิดประตูเข้าไป เธอก็ได้ยินเสียงกรี๊ดของผู้หญิงมาจากข้างใน ซึ่งนั่นคือเสียงที่เธอได้ยินในตอนที่มาที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย


ความทรงจำของมิซากิกลับมาอีกเล็กน้อย ในตอนเด็กเธอมักจะมาหาผู้หญิงที่เป็นผู้ป่วยในห้องนี้ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็มอบตุ๊กตาตัวหนึ่งให้มิซากิ ทุกๆวันมิซากิจะขึ้นมาที่นี่จนกระทั่ง ผู้หญิงคนนั้นคลุ้มคลั่ง เสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนดังสนั่นไปทั้งห้อง ขนาดที่ต้องใช้แพทย์หลายคนมาพยายามหยุดเธอ หลังจากนั้นมา มิซากิจึงถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปหาผู้หญิงคนนั้นอีก


ตัดมาที่ปัจจุบัน มิซากิพบกับวิญญาณของผู้หญิงคนนั้นกำลังนั่งอุ้มตุ๊กตาเอาไว้ เมื่อมิซากิเดินเข้าไป ผู้หญิงคนนั้นก็หายไป เหลือแต่ไดอารี่ของเธอคนนั้น


ไดอารี่ของซาคุยะ ใช่แล้ว ผู้ป่วยในห้องนี้คือซาคุยะนั่นเอง มิซากิสำรวจห้องของซาคุยะต่อไป เธอพบกับสมุดบันทึกของหมอโชจิ ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่นางพยาบาลวิ่งเข้ามาฆ่าตัวตายในห้องอีกด้วย


มิซากิเก็บไดอารี่ของซาคุยะอีกเล่มที่วางอยู่ข้างๆ กระจกที่แตกขึ้นมา ซึง่ในนั้นมีการกล่าวถึงมิซากิอีกด้วย


ทันใดนั้นเองมิซากิก็เห็นภาพของตัวเอง กำลังมองดูพระจันทร์ในห้องปลูกต้นไม้ในห้องของซาคุยะ เมือมิซากิเข้าไปในห้องนั้นเธอก็พบกับสมุดบางอย่างในห้องนั้น.....

นี่คือ....ไดอารี่ของฉัน...งั้นเหรอ?”


ในไดอารี่เขียนถึงในอดีตช่วงหลังจากที่มิซากิถูกห้ามไม่ให้ไปพบซาคุยะ ทำให้มิซากิรู้สึกไม่ดี แต่เป็นเพราะว่าเสียงของมิยะ ถึงทำให้มิซากิอารมณ์ดี ถึงแม้ว่ามิยะจะบอกมิซากิว่าอีกไม่นานเธอจะมองไม่เห็นมิยะอีกต่อไป มิซากิไม่อยากจะสูญเสียใครไปอีก แต่มิยะบอกเธอว่ามิซากิคือมิซากิ หลังจากนั้นมิซากิจึงเชื่อว่ามิยะมีตัวตนจริงๆและจะอยู่ด้วยกันตลอดไป....


มิซากิเก็บชิ้นส่วนของตัวต่อปริศนาหลังจากที่เก็บไดอารี่ของเธอขึ้นมา ซึ่งชิ้นส่วนนี้คงใช้กับอะไรสักอย่าง


มิซากิพบกับกล่องปริศนาบนชั้นวางตุ๊กตา ซึ่งชิ้นส่วนนี้ก็ใส่ได้พอดีด้วย เธอจึงทำการแก้ปริศนาและใช้ชิ้นส่วนที่เธอพบใส่เข้าไป ภายในกล่องปริศนานั้นเป็นไดอารี่เล่มสุดท้ายของซาคุยะ ที่เหมือนกับการเขียนสั่งลา


ในขณะที่มิซากิจะกลับออกมา เธอก็พบกับเด็กผู้หญิงชุดดำยืนที่หน้าเตียงของซาคุยะ มิซากิเดินเข้าไปหาเธอ และทันใดนั้นเอง...

.
.
.
.
.
.
.
ฉันจำได้แล้ว
.
.
.
.
.
.
ตอนนี้ความทรงจำของมิซากิได้กลับมาเกือบเรียบร้อยหมดแล้ว แต่ก็ยังเหลืออีกบางสิ่งที่เธอยังไม่เข้าใจ


มิซากิมาอยู่บนดาดฟ้าของโรงพยาบาลไฮบาระ ทันใดนั้นภาพของผู้หญิงก็โผล่มาตรงนอกราวเหล็กบนชั้นดาดฟ้า ซึ่งทำให้มิซากิตกใจเล็กน้อย


แต่เมื่อมิซากิเดินเข้าไปใกล้ ผู้หญิงคนนั้นก็กระโดดลงจากดาดฟ้าฆ่าตัวตาย โดยทิ้งจดหมายลาตายไว้


มิซากิเก็บมันขึ้นมาจึงรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของซาคุยะและเป็นภรรยาของชิเงโตะ ผอ. ของโรงพยาบาลนี้นั่นเอง


มิซากิลงมาชั้น 1 เธอพบกับภาพวิญญาณของชิเงโตะเดินผ่านหน้าเธอไป มิซากิตามวิญญาณของชิเงโตะไปจนไปถึงห้องทำงานของเขา


มิซากิสำรวจตู้วางของที่อยู่ในห้องนั้นและดูเหมือนว่าจะมีทางอยู่ข้างหลังตู้นี้ เธอจึงไปสำรวจเครื่องอินเตอร์คอมที่วางอยู่บนโต๊ะของชิเงโตะ แต่ดูเหมือนว่ารหัสนั่นจะถูกแก้(โดยโจชิโร่)ซะแล้ว
มิซากิกดยืนยันรหัส ทันใดนั้นก็มีเสียงออกมาจากตู้วางของนั่น มิซากิเดินไปดันตู้วางของนั่นออก ข้างหลังนั่นเป็นทางลับไปสู่ชั้นใต้ดิน


มิซากิเดินลงไปแล้วพบกับห้องทดลองลับของชิเงโตะ แต่ทันใดนั้นเองวิญญาณฮิมิโกะ คิริยะ ซึ่งเป็นวิญญาณผู้ป่วยหญิงที่โดนทดลอง ก็เข้ามาโจมตีมิซากิ


มิซากิเอาชนะวิญญาณนั่นได้และเก็บบันทึกของหมอที่เกี่ยวกับตัวเธอเองขึ้นมาอ่าน หลังจากนั้นเด็กผู้หญิงในชุดดำก็โผล่มาอีกครั้ง เหมือนว่าเธอกำลังจะพามิซากิไปในสถานที่ที่ไหนสักแห่ง

มิซากิตามจนมาถึงถ้ำบ่อน้ำจันทราสะท้อนที่ชั้นใต้ดินของโรงพยาบาล แต่เธอก็โดนเหล่าวิญญาณคนรับใช้โจมตี


หลังจากที่มิซากิปราบเหล่าวิญญาณเรียบร้อย มิซากิก็เก็บหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับพิธีกรรมชำระล้างร่างกายของอุสึวะ


ในวันนั้น
ฉันถูกพามาที่นี่
ฉันได้ทิ้งอะไรบางอย่างไว้ที่นี่
ฉันต้องตามหามัน
บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญ
ใครบางคนที่พิเศษสำหรับฉัน
ฉันต้องกลับไป


ภาพของมิซากินอนอยู่กับเด็กผู้หญิงในชุดดำคนนั้นก็ผุดเข้ามาอยู่ในหัวของเธอ
           

            ว่าแล้วมิซากิก็พบเด็กผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ที่หน้าประตู มิซากิเดินเข้าไปหาเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างช้าๆ

มิซากิมาถึงทางเดินตามเด็กผู้หญิงคนนั้นจนมาถึงทางเดินยาวๆ ที่ไหนสักแห่ง
ถ้าฉันไปที่นั่น ฉันจะจำเธอได้สินะ
ฉันทำไม่ได้... ฉัน...ต่อต้านมันไม่ได้...
.
.
จะรอไป...ตลอดกาล

มิซากิเดินตามเด็กผู้หญิงในชุดดำจนมาถึงประตูบานใหญ่

ที่นั่นมัน


มิซากิตามเด็กผู้หญิงในชุดดำเข้าไปข้างใน จนเธอจำอะไรบางอย่างได้
ใช่แล้ว ที่นี่คือสถานที่ประกอบพิธีกรรม Kiraigou ที่เธอร่วม และและเป็นสถานที่ที่ทำให้ซาคุยะต้องผลิบานในที่สุด


มิซากิพบกับซาคุยะยืนอยู่ตรงกลางของลานพิธี ใบหน้าที่ผลิบานนั่น เข้าโจมตีมิซากิ ทำให้ทั้งสองต้องต่อสู้กัน จนมิซากิเอาชนะได้แต่ว่า....


มิซากิยังไม่ได้เอาชนะเธอแบบที่สุด ซาคุยะเปลี่ยนร่างเธอให้กลายเป็นเด็กผู้หญิงในชุดดำ

ซาคุยะในร่างเด็กผู้หญิงชุดดำเดินมาหามิซากิ และก้มมองไปที่พื้น ตรงเท้านั้นมีตุ๊กตาผู้หญิงใส่ชุดสีดำเหมือนร่างที่ซาคุยะแปลงมา ใช่แล้วตุ๊กตาตัวนี้คือมิยะ


ซาคุยะเปลี่ยนร่างเป็นมิยะในรูปแบบของมนุษย์เพื่อชวนให้มิซากิกลับมาจำตัวเธอได้ ว่าพวกเธอนั้นสนิทกันมาก

มิยะ
มิซากิพูดขึ้นมาหลังจากที่จำได้


ในที่สุดก็จำได้แล้วสินะ
ซาคุยะในร่างมิยะพูดพร้อมทั้งเอามือสัมผัสใบหน้าของมิซากิ


ความทรงจำของมิซากิกลับมาสมบูรณ์แบบแล้ว เธอจำทุกอย่างได้ รวมทั้งความสนัมพันธ์ที่มีต่อซาคุยะด้วย สิ่งที่พิเศษ สิ่งที่สำคัญของมิซากิ ตอนนี้เธอได้มาแล้ว
             มิซากิยืนกอดตุ๊กตามิยะและร้องไห้ออกมา ซาคุยะเปลี่ยนร่างเป็นร่างเดิม เธอโอบกอดมิซากิก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย นั่นเป็นเพราะว่าแผนการของซาคุยะสำเร็จลุล่วงไปแล้ว โดยที่ตั้งแต่แรกนั้น ซาคุยะอยากจะได้เสียงเพลงที่เป็นตัวตนสุดท้ายของตัวเองกลับคืนมา ซึ่งตัวตนเหล่านั้นอยู่ในตัวของมิซากิโดยเธอส่งผ่านตัวตนของตัวเองให้มิซากิโดยใช้มิยะ เมื่อผ่านมา 10 ปี ในช่วงที่ใกล้เกิดจันทรคราส เธอจึงใช้เศษเสี้ยวของตนเองที่มีอยู่ในตัวมิซากิเรียกมิซากิกลับมาที่เกาะในรูปแบบของมิยะนั่นเอง.....

หลังจากที่ซาคุยะกอดมิซากิ จู่ๆ มิซากิที่ยืนอยู่ก็ล้มลง พร้อมกับประตูที่ปิดดังสนั่น.........

-จบบทมิซากิ-


Chapter 10 – บุปผาที่ยังวนเวียน (ต่อจาก Chapter 7)





**ขอย้ำว่าผมไม่ได้เขียนเลขตอนผิด ที่ผมเอาตอนที่ 10 ขึ้นก่อนเพราะเป็นเรื่องของ Timeline

            กลับมาที่โจชิโร่ที่อยู่ในห้องของมาคากิ เขาใช้ไฟฉายส่องไปที่ภาพซาคุยะตรงพื้น ปรากฏมาเป็นภาพสวนของหอพักโรเงทสึ


            เขาเก็บบันทึกของมาคากิขึ้นมาอ่านและออกจากห้องไป เขาเห็นโยเดินเข้าไปในห้องเก็บรูปภาพของมาคากิ จึงตามไป


โจชิโร่เดินเข้าไปถึงภาพซาคุยะที่อยู่ข้างในสุด ที่ข้างหน้ารูปภาพเขาพบกับบันทึกของโย และในนั้นก็มีกุญแจสำหรับเปิดประตูชั้นใต้ดินของหอพักโรเงทสึ


กุญแจนี้ใช้สำหรับชั้นใต้ดินงั้นเหรอ?”
แล้วผู้หญิงในภาพนี้มาจาก....ชั้นใต้ดิน ที่ข้างล่างนั่นมีอะไรกันแน่?”


โจชิโร่เดินเข้าไปใกล้ภาพวาด
ผู้หญิงคนนี้...
ฉันรู้จักเธอ…
แต่เธออยู่ที่ไหนนะ?”


โจชิโร่สำรวจรูปภาพเสร็จแล้วจะเดินกลับออกไป แต่ทันทีที่เขาหันกลับไป เขาก็พบกับเก้าอี้เข็นสีแดงอยู่ที่กลางทางเดิน ตอนที่เข้ามาในตอนแรกไม่มีเก้าอี้เข็นนี่ แต่มันมาได้ยังไงกัน?


โจชิโร่ทำเป็นไม่สนใจแล้วเดินผ่านไป ทันใดนั้นวิญญาณคาเงริก็โผล่มาที่เก้าอี้เข็นนั่น โจชิโร่จึงใช้ไฟฉายปราบคาเงริลง


โจชิโร่มุ่งหน้าไปที่สวนของหอพักที่อยู่ชั้นหนึ่ง เขาเดินเข้าไปในสวน ทันใดนั้นเองอาการปวดหัวเหมือนในอดีตก็เกิดกับเขาอีกครั้ง ซาคุยะกำลังขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน แต่ว่าในตอนนนี้โจชิโร่ก็วิ่งหนีไปไหนไม่ได้แล้ว เขาจึงตัดสินใจสู้กับซาคุยะ จนซาคุยะหายไป


เขาเดินลงบันที่ซาคุยะขึ้นมา จนไปถึงห้องจ่ายไฟที่อยู่ในชั้นใต้ดินของหอพักโรเงทสึระหว่างที่เขาสำรวจ วิทยุก็ดังขึ้น


จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอยังเป็นแบบนี้ตลอดไป?”

เธอหลับไปตลอด มีชีวิตในสภาพแบบนั้น

สักวันเธอจะต้องตื่นขึ้นมาและประตูก็จะเปิดออก


ทันใดนั้นซาคุยะก็เปิดประตูออกมา แต่เมื่อโจชิโร่หันไปก็ไม่พบอะไร เขาเข้าไปในประตูบานนั้น เดินลงบันไดไป จนถึงประตูขนาดใหญ่


เขาใช้กุญแจที่ได้มาไขประตูออก ข้างในห้องมีกรงและเตียงนอนอยู่ข้างในนั้นทั้ง 2 ฝั่ง ตรงกลางมีศาลและมีหน้ากากวางอยู่ข้างในนั้น ภาพของซาคุยะที่ตื่นนอนจากเตียงใน ห้องกรงทางซ้ายผุดเข้ามาในหัวอยู่ชั่วขณะ


โจชิโร่สำรวจห้องทางขวาก่อนแต่ก็พบว่าประตูห้องถูกปิดล็อคสนิท จึงไปสำรวจห้องทางซ้าย

คุณคิริชิมะคะซายากะ แม่ของรุกะ พูดออกมา

คุณซายากะ!...ได้ยังไง?”   โจชิโร่เอ่ยออกมาด้วยความตกใจ เพราะว่าที่จริงซายากะเสียชีวิตไปแล้ว

ได้โปรดเอาหน้ากากให้เธอด้วย มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากเลยซายากะพูด โจชิโร่หันไปพบกับชิ้นส่วนหน้ากากจันทรคราสวางไว้บนเตียง

แต่ว่า รุกะจังอยู่ที่ไหนกันล่ะ?” โจชิโร่ถามซายากะ เพราะว่าตั้งแต่ที่เขาตื่นขึ้นมา เขายังไม่พบรุกะเลยสักครั้ง

เธอยังคงอยู่ข้างใน ในที่ที่เดิมที่คุณเคยพบเธอ…. เวลาเหลือไม่มากแล้วค่ะ...
ซายากะพูดพร้อมกับเดินถอยหลังจนหายตัวไปในที่สุด

คุณซายากะ!” โจชิโร่ตะโกนออกมา

ขอร้องล่ะค่ะ...

คุณโจชิโร่คะ...ดูเหมือนว่าคุณได้ช่วยเหลือดิฉันอีกครั้งแล้วนะคะ
ซายากะพูด


โจชิโร่หันหลังไปเก็บชิ้นส่วนหน้ากากส่วนตาขวาบนเตียงขึ้นมาและเขาก็เก็บเศษกระดาษที่ว่างอยู่บนโต๊ะเล็กๆ บนมุมเตียงด้วย ซึ่งคำบนกระดาษนี้ดูเหมือนจะเป็นคำที่ซาคุยะเขียนขึ้นมา

                   “ดวงจันทร์

                              ดวงจันทร์ที่ส่องสว่าง

                    เหมือนดั่งป่าที่เงียบสงัด

                               พวกเราไปพบกันที่นั่นเถอะ ไปพบกันที่นั่นเถอะ ” ***

(***ในจดหมายนี้ สิ่งที่ซาคุยะกล่าว หมายถึงเขตแดนจุดกำเนิดของวิญญาณ หรือที่เรียกว่า Zero Stage  ในมุมมองของดวงวิญญาณและซาคุยะ ดวงจันทร์นั้นก็เหมือนสิ่งที่นำไปสู่เขตแดนแห่งจุดกำเนิด และเขตแดนแห่งจุดกำเนิดนั้น ก็มีสภาพเหมือนป่าที่ดูเงียบสงบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่วิญญาณควรอยู่ และวิญญาณทุกตนก็มีความต้องการที่จะไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น ซึ่งในตอนนี้ เวลาที่จันทรคราสจะปรากฏก็ใกล้จะมาถึงแล้ว ซาคุยะจึงคิดที่จะเดินไปที่ประภาคารสึคุโยมิ ซึ่งที่นั่นเป็นสถานที่ ที่สูงที่สุดและใกล้กับดวงจันทร์มากที่สุดนั่นเอง )



หลังจากอ่านเสร็จโจชิโร่ก็ออกจากห้องเดินกลับขึ้นไป แต่ทันทีที่เขออกจากห้องจ่ายไฟ ซาคุยะก็ได้ไล่ตามเขามา ทำให้โจชิโร่ต้องวิ่งหนีขึ้นไปชั้นหนึ่ง

โจชิโร่พบโยเดินไปฝั่งโรงพยาบาลไฮบาระ เขาจึงตามไป เขาลงลิฟท์ไปยังชั้นใต้ดิน เพื่อกลับไปถ้ำบ่อน้ำจันทราสะท้อน แต่ว่า...


นี่แก…?


เสียงออกมาจากผู้ชายภายใต้หน้ากากที่กำลังจูงเด็กผู้หญิงที่ประกอบกรรมคนหนึ่งออกมา ใช่แล้วผู้ชายคนนี้คือ ชิเงโตะ ไฮบาระ ผู้อำนวยการของโรงพยาบาลแห่งนี้ แล้วยังเป็นถึงผู้นำในการจัดพิธีกรรมด้วย โจชิโร่ต้อสู้กับชิเงโตะ และลูกน้องของเขา จนเอาชนะมาได้


หลังจากการต่อสู้จบลง โจชิโร่เดินเข้าไปหารุกะในวัย 7 ปี ที่อยู่ในกลุ่มเด็กที่ถูกลักพาตัว

คุณแม่ของเธอขอร้องให้ฉันมาหาเธอน่ะ ไม่ต้องกังวลหรอกนะ

            โจชิโร่ได้มอบชิ้นส่วนหน้ากากให้รุกะ แต่ทันใดนั้นเอง โยก็เข้ามาเห็นโจชิโร่พอดี

            ไฮบาระ!”

โจชิโร่วิ่งตามโยไป แต่ก็ตามไม่ทัน โยได้ชิงขึ้นลิฟต์ไปก่อนแล้ว

            ฉันจะรอนายอยู่นั่น...

โยพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนที่ลิฟต์จะขึ้นไป

            หมายถึงที่ไหนกันนะ?”


ทางด้านรุกะ – Intro Chapter 9


รุกะอยู่ถ้ำบ่อจันทราสะท้อนที่อยู่ชั้นใต้ดินของโรงพยาบาล ในตอนนั้นเธอก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง

ในตอนนั้น...รุกะนึกภาพไปตอนที่เธอถูกจับมาที่นี่

ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร์ในตอนนั้นเธอก็เห็นเงาผู้ชายเดินเข้ามาหาเธอ


คุณแม่ของเธอขอร้องให้ฉันมาหาเธอน่ะ ไม่ต้องกังวลหรอกนะ ผู้ชายคนนั้นพูด

ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน

            ฉันรู้สึกเหมือนกำลังละลายเข้าไปในความว่างเปล่า
แต่ทันใดนั้นเอง รุกะก็เห็นผู้ชายคนเดียวกันที่เธอเคยพบ เดินเข้ามาหาเธอ

            คุณแม่ของเธอขอร้องให้ฉันมาหาเธอน่ะ ไม่ต้องกังวลหรอกนะ
แต่ว่าคราวนี้ ผู้ชายคนนั้นได้มอบชิ้นส่วนหน้ากากส่วนตาขวามาให้รุกะ ก่อนที่จะหายไป


ใช่แล้วผู้ชายคนนี้ก็คือโจชิโร่นั่นเอง แต่ในมุมมองของโจชิโร่จะเห็นรุกะยังเป็นตอนเด็กอยู่ แต่ทางด้านของรุกะจะเห็นโจชิโร่ เป็นเพียงแค่เงาคนเท่านั้น


กลับมาทางด้านโจชิโร่ใน The end of Chapter 10


ในที่สุดลิฟต์ก็ลงมาหาโจชิโร่สักที เขาขึ้นลิฟต์ขึ้นไปยังชั้น 2

คิริชิมะ นายว่ามั้ย?”

การเล่นเล่นไล่จับน่ะ มันสนุกดี แต่ว่า...

มันจบแล้วล่ะ

โยวิ่งผ่านหน้าลิฟต์ที่โจชิโร่อยู่ไปพอดี

ในยามค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง โจชิโร่วิ่งตามโยไป จนไปถึงดาดฟ้าของโรงพยาบาล แต่ก็ไม่พบใคร

ไฮบาระ!” โจชิโร่ตะโกนออกมา

ไฮบาระนายอยู่ที่ไหนน่ะ?!”

ฉึก!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เสียงมีดแทงเข้าที่โจชิโร่อย่างจัง
โจชิโร่ได้พลาดท่าถูกโยใช้มีดแทงบริเวณส่วนท้อง

เลิกเล่นวิ่งไล่จับกันได้แล้ว ทุกๆอย่างจะหายไป...ทั้งนายและฉัน....
โยพูดออกมา


ย้ากกกกก!!!!!!!”


โจชิโร่ได้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายวิ่งเข้าชนโยที่ยืนอยู่ใกล้กับราวเหล็กของดาดฟ้า จนทั้งคู่ตกลงมาเสียชีวิตทั้งคู่เหมือนในอดีตเมื่อ 10 ปีที่แล้ว


โจชิโร่ตื่นขึ้นมา ได้แต่มองร่างของตัวเองนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น


อืม....เป็นอย่างงี้นี่เองสินะ?”


โจชิโร่พึมพำออกมา ความทรงจำของโจชิโร่ได้กลับมาหลังจากที่เขารู้ว่าตัวเองได้ตายไปแล้ว

ซายากะเดินออกมาจากความมืดและมองมายังโจชิโร่.....


สุดท้าย ก็เหลือความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่จะช่วยปลดปล่อยคำสาปร้ายออกจากเกาะได้ ทายาทคนสุดท้ายแห่งมิโกะสึกิโมริ รุกะ

-จบบทโจชิโร่-


Chapter 9 Kiraigou(พิธีกรรมการหวนคืน) (ต่อจาก Chapter 6)





            หลังจากที่เธอได้หน้ากากส่วนตาขวามาจากโจชิโร่แล้ว เธอก็นึกอะไรบางอย่างออก ในตอนนั้นโยพาเธอเข้ารมาจากประตูอีกฝั่งของถ้ำ


            แต่เมื่อรุกะจะไปที่ประตูบานนั้น วิญญาณที่รับใช้ตระกูลไฮบาระก็ออกมาโจมตีเธอ รุกะใช้กล้องจัดการวิญญาณพวกนั้น และเดินเข้าประตูบานนั้นไป


หลังประตูนั้นเป็นถ้ำที่มีทางยาวแคบและลึกลงไป มีสายน้ำไหลผ่าน เส้นทางนี้ทำให้ความทรงจำของรุกะกลับมา


ฉันถูกพามาโดยผ่านเส้นทางนี้

รุกะเดินลงไปแต่ก็พบว่ามีซากปรักหักพังล้มลงมา แต่ว่ายังมีช่องแคบเล็กๆ ที่พอจะให้ผู้หญิงรูปร่างอย่างเธอลอดผ่านไปได้ ผิดกับโจชิโร่ที่ลงมาแต่ผ่านไปไม่ได้


รุกะลอดเข้ามาก็พบว่าที่นี่เป็นอุโมงค์ทางยาวที่ทอดยาวเข้าไปอีก เธอเดินต่อไปจนมาถึงทางแยก 3 ทาง


ทันใดนั้นเธอก็เห็นภาพของซาคุยะที่มีใบหน้าผลิบาน กำลังไล่ต้อนเหล่าคนรับใช้ของตระกูลไฮบาระอยู่

 รุกะเลือกที่จะเดินไปทางขวาก่อน แต่พอเธอเดินไปถึงก็กลับมีทางแยกอีก 2 ทาง เธอเลือกเดินไปทางขวาอีกทีและเดินไปจนสุดทาง


รุกะพบกับภาพวิญญาณชาย มาซาโนบุ หนึ่งในคนที่คอยรับใช้ตระกูลไฮบาระ กำลังทำท่าทางกลัวก่อนที่จะหายไป รุกะเก็บโน้ตที่ตกหลังจากที่ภาพนั้นหายไป แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นโน๊ตที่เขียนแบบเร่งรีบมากเลยทีเดียว


คราวนี้รุกะไปที่ทางซ้าย เธอพบกับวิญญาณหญิงสาวที่ชื่อว่า ซาโต้ หนึ่งในคนที่รับใช้ตระกูลไฮบาระ เธอกำลังนั่งร้องไห้อยู่ที่สุดทางเพราะความกลัว แต่เมื่อรุกะเดินเข้าไป กลับกลายเป็นว่า วิญญาณซาโต้เข้ามาโจมตีรุกะแทน


หลังจากที่จัดการซาโต้ไป รุกะก็กลับมาที่ทางแยก 3 ทางอีกครั้ง คราวนี้เธอเดินไปทางซ้าย ที่นี่ก็มีทางแยก 2 ทางเช่นกัน แต่แค่ทางซ้ายเป็นทางตัน ส่วนทางขวาเป็นบันได แถมมีน้ำไหลผ่านด้วย ตรงข้างหน้าบันได้มีทางแยกเชื่อมไปยังทางตรงกลางของทางแยก 3 ทาง


รุกะเดินขึ้นบันไปและเดินเข้าไป ผ่านทางที่มีช่องลม จนมาถึงตรงระเบียง เธอมองลงไปข้างล่างที่เป็นพื้นที่ที่กว้างมากในอุโมงค์ แต่ทว่าที่ตรงนั้นกลับมีซาคุยะในใบหน้าที่ผลิบานยืนอยู่ และกำลังจ้องมองขึ้นมาที่รุกะ เธอจึงรีบกลับลงมา แล้วเข้าสู่ทางตรงกลาง


ทางตรงกลางนั้น มีบันไดเดินลงไปข้างล่าง แต่เมื่อรุกะเดินไปถึงข้างหน้าบันใด เธอก็เห็นภาพคนรับใช้ของตระกูลไฮบาระกำลังหนีวิญญาณซาคุยะอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ที่ทางเดินที่เธอเพิ่งเดินลงมา ผ่านช่องลม


รุกะรีบเดินลงไปข้างล่างที่บริเวณที่มีที่กว้างที่สุดในอุโมงค์นี้ แต่ว่าหมอกสีดำก็ถาโถมเข้ามา ซาคุยะไล่ตามรุกะมาติดๆ จนรุกะต้องหนีผ่านลานกว้างแห่งนี้ไป รุกะลงบันไดมาก็พบกับทางแยก 2 ทาง ทางซ้ายมีบันไดขึ้นไปแต่ก็มีรูปปั้นขวางอยู่ ที่ข้างล่างรูปปั้นนั่นก็มีบันทึกที่เกี่ยวกับพิธีกรรมที่ทำในอุโมงค์อยู่ รุกะเก็บขึ้นมาอ่านแต่ก็ถูกวิญญาณมาซาโนบุโจมตี


หลังจากที่เอาชนะมาได้ รุกะก็เดินไปอีกทาง ทางในอุโมงค์คดเคี้ยวมาก ระหว่างทางรุกะก็ถูกวิญญาณโจมตี แต่ก็เอาชนะมาได้หมด จนกระทั่งเธอเดินมาถึงใกล้ทางออก เธอก็โดนซาคุยะไล่ตามมา


รุกะวิ่งหนีซาคุยะจนมาถึงทางออก รุกะเดินขึ้นบันไดออกมาจากชั้นใต้ดินและเปิดประตูออกมาสู่สถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่นี้คือ โรงจันทรคราสที่นักท่องเที่ยวมารวมตัวกัน เพื่อมาชมพิธีรำบวงสรวงของเกาะนั่นเอง


มีเสียงดังสนั่นมาถึงรุกะจากที่ลานพิธี เป็นเสียงดนตรีที่ราวกับว่าที่นั่นกำลังประกอบพิธีกรรมอยู่ แต่เมื่อรุกะไปถึงที่นั่น แล้วเปิดประตูเข้าไปในลานพิธี เสียงก็หายไป ที่ที่นั่นก็มีแต่ความว่างเปล่า


แต่ในตอนนั้นเอง รุกะก็มองเห็นภาพในอดีต เมื่ออุสึวะและคานาเดะทั้ง 5 ประกอบพิธีกรรมอยู่ แล้วก็ล้มลง ผู้คนแตกตื่นกันใหญ่ แต่ทว่า กลับมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น เมื่ออุสึวะ นั้นลุกขึ้นมา


อุสึวะและเหล่าคานาเดะ เข้ารุมโจมตีรุกะ ทำให้รุกะลำบากมาก แต่เธอก็เอาชนะมาได้ ทำให้รุกะนึกถึงอดีตได้อีกครั้ง


ในตอนนั้น ฉันถูกพาตัวไประหว่างงานพิธี

เข้าไปข้างใน... ไกลออกไป...ลึกลงไป...

รุกะนึกถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ที่ยาวมากและลึกลงไป เหมือนเป็นชั้นใต้ดิน จนผ่านประตูสองบานขนาดใหญ่เข้าไป ที่นั่น... มีคานาเดะ 4 คนและอุสึวะอีกกลุ่ม...กำลังรอเธออยู่....


รุกะออกจากลานพิธีโดยเข้าประตูอีกฝั่งจนไปถึงทางแยก 2 ทาง รุกะเห็นภาพตัวเองกำลังโดนโยจูงลงบันไดไปที่ทางขวา เธอจึงไปทางขวาก่อน


พื้นไม้ที่ดูสะอาดวาววับ สามารถสะท้อนให้สิ่งที่ตั้งอยู่ในห้องได้ มีหน้ากากใบใหญ่แขวนอยู่บนเพดานกลางห้อง ข้างในสุดห้องมีศาลเจ้าตั้งอยู่ ห้องนี้คือห้องที่ในอดีตผู้ประกอบพิธีกรรม จะต้องนั่งสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบก่อนขึ้นลานพิธีนั่นเอง


รุกะรู้สึกถึงลมที่ลอดออกมาจากหลังศาลเจ้าที่อยู่ในห้อง แต่เธอก็ไม่สามารถเคลื่อนย้ายศาลเจ้าได้ บนแท่นก็มีอะไรบางอย่างคล้ายๆหน้าปัดติดอยู่ด้วย


ในเมื่อที่รุกะไม่สามารถทำอะไรต่อได้ เธอจึงกลับไปอีกทาง แต่ทันใดนั้น เธอก็เห็นใครบางคนเดินเข้าไปในทางนั้น แผ่นหลังเป็นแผ่นหลังที่เธอคุ้นเคยดี

ข้างหน้านั่น... คุณพ่อรึเปล่านะ?”


รุกะเดินตามเข้าไป ในส่วนนี้เป็นทางเดินที่ค่อนข้างยาว รุกะเดินไปและเข้าประตูที่อยู่กลางทางก่อน
ห้องนี้คือ ห้องแห่งจิตสำนึก ข้างในห้องนี้เป็นห้องที่มีแท่นบูชาและศาลที่ผู้คนสวดมนต์กัน เมื่อรุกะเข้าไปใกล้ๆก็พบกับภาพตัวเองในตอนเด็กกำลังนอนดิ้นอย่างทรมานบนแท่นบูชา ซึ่งนั่นก็ทำให้เธอนึกถึงความทรงจำที่เธอนอนทนทุกข์ทรมานบนเตียงเช่นกัน


รุกะเข้าไปเปิดประตูที่อยู่ข้างศาลเจ้า แต่ก็เปิดมันไม่ได้ เธอจำได้ว่าหลังประตูนี้เป็นที่ที่พ่อเธอทำงานอยู่ เสียงตอกหน้ากากยังคงก้องกังวานอยู่ในหัวของเธอ


รุกะออกจากห้องนั้นมาแล้วเดินตามทางต่อไป จนกระทั่งเดินไปสุดทาง เธอเปิดประตูเข้าไป พบกับสถานที่ที่เธอรู้จักดี....


ที่นี่คือ...บ้านที่ฉันเคยอยู่งั้นเหรอ?”



Chapter 11 – จันทรคราส



            รุกะเดินเข้าไปในบ้าน เธอเดินตามโซยะที่เธอเห็นเข้าไปข้างใน จนกระทั่งโซยะเดินเข้าไปในห้องของตัวเองที่มียันต์แปะเอาไว้ที่หน้าประตู รุกะเปิดเข้าไปไม่ได้ เธอจึงถ่ายรูปยันต์นั้น เป็นภาพหน้ากากที่มียันต์แบบเดียวกันติดไว้อยู่


            รุกะเดินสำรวจบ้านของเธอเพื่อตามหาหน้ากากที่ว่า เธอเริ่มจากสำรวจในบริเวณที่เธออยู่ เธอเข้าไปในห้องของโคซุกิ ทาคาฮิสะ ลูกศิษย์ของพ่อเธอและเจอหน้ากากที่ว่านั่นวางอยู่ รุกะสำรวจหน้ากากนั่นทำให้พลังของยันต์แผ่นหนึ่งหายไป


            ทันใดนั้นเองวิญญาณทาคาฮิสะก็ได้เข้ามาโจมตีรุกะ แต่รุกะก็ได้ใช้กล้อง Obscura เอาชนะทาคาฮิสะได้


รุกะเดินเข้าไปสำรวจในส่วนหน้าบ้าน (ที่เธอเข้ามาคือประตูบ้านที่เชื่อมกับโรงจันทรคราส) รุกะเดินเข้าไปตรงประตูพบกับหน้ากากที่ว่า ติดอยู่ตรงที่ประตูหน้าบ้าน แต่ในตอนนั้นโทรศัพท์บ้านของเธอก็ดังขึ้น เธอจึงเข้าไปรับโทรศัพท์ก่อน


รุกะ...


            เสียงที่ออกมาจากโทรศัพท์นั่นเป็นเสียงของผู้หญิงที่รุกะรู้จะเป็นอย่างดี เสียงของซายากะแม่ของเธอนั่นเอง

แม่จำอะไรบางอย่างได้...

สิ่งที่แม่อยากจะมอบให้ลูก...

แม่ทิ้งมันไว้อยู่บนเกาะนั่น...

เสียงได้หยุดลงเพียงแค่นี้
           
รุกะสงสัยว่าสิ่งที่แม่จะมอบให้เธอนั้นคืออะไร แต่ว่าตอนนี้ เธอควรไปปลดพลังของยันต์ที่แปะอยู่บนหน้ากากก่อน


รุกะ...


หลังจากพลังของยันต์อันที่ 2 หายไปภาพ วิญญาณซายากะก็ปรากฏตัวอยู่ข้างหลังรุกะพร้อมเรียกเธอ


รุกะเข้าสู่วังวนแห่งความทรงจำอีกครั้ง เธอเดินตามแม่ของเธอเข้าไปในบ้านจนมาถึงชั้นสอง เสียงของเปียโนที่เธอคุ้นเคยลอยเข้ามาในหู

เสียงเปียโน... บางทีอาจจะมาจากห้องของเรา

รุกะเปิดประตูเข้าไปในห้องของเธอ ก็พบกับภาพของแม่ กำลังสอนเธอเล่นเพลงสึกิโมริอยู่

นี่มันเพลงที่เราฝึกนี่นา ฉันจำได้รางๆว่า คุณแม่สอนสิ่งนี้ให้เรา

โน๊ตเพลงนี่.... งั้นเพลงนี้ก็ต้องเป็น....

รุกะเริ่มบรรเลงเพลงตามตัวโน๊ตที่ถูกเขียนไว้ จนเธอจำอะไรบางอย่างได้

ดีมากจ้ะ... นี่....รุกะ ถ้าลูกเล่นได้ดีขึ้นล่ะก็... แม่ก็มีบางอย่างที่จะมอบให้ลูกด้วยนะ


คำพูดของแม่ของเธอลอยเข้ามาในหัว ทำให้ภาพบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกับกระจกลอยเข้ามาในหัวของเธอ ซึ่งสิ่งนั้นก็คงอยู่ในบ้านหลังนี้


รุกะเข้าไปสำรวจในห้องของคุณแม่ของเธอ แต่เมื่อรุกะเดินผ่านตู้เก็บของที่เปิดอยู่ในห้อง อยู่ดีๆตู้นั้นก็ปิดเอง ทำให้รุกะเกิดความสงสัย และเปิดมันออกมา


ในขณะที่รุกะกำลังเพ่งไปที่ชั้นบนของตู้นั้นด้วยความสงสัย ตุ๊กตาที่อยู่หลังบานประตูของตู้นั้น ก็ล้มลงมา ทำให้รุกะตกใจ


รุกะมองลงไปยังชั้นล่างของตู้ ก็พบกับกระจกสึกิโมริวางอยู่


นี่คือ...ของสำคัญของคุณแม่


รุกะเก็บกระจกขึ้นมาพร้อมกับเหลือบไปเห็นแท่นวางที่ตั้งอยู่ในห้องใกล้ๆกับหน้าต่างที่มีแสงจันทร์ส่องเข้ามา ซึ่งเธอมั่นใจว่ากระจกนี่ต้องวางไว้บนแท่นนั่นแน่ๆ


เธอเก็บบันทึกลับสึกิโมริที่อยู่ในตู้ขึ้นมา มันเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับบทเพลงสึกิโมริ ที่ถูกสืบทอดมารุ่นสู่รุ่น แล้วนำกระจกที่เก็บมาไปวางไว้บนแท่น


แสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาสะท้อนกับกระจก ทำให้กล้อง Obscura มีปฏิกิริยาบางอย่าง รุกะใช้กล้องถ่ายไปที่ผนังด้านหลังของเธอ


แม่จะปกป้องลูกเอง


ภาพบทดนตรีขนาดใหญ่บนผนัง ซึ่งเป็นบทดนตรีอันเก่าแก่ของบทเพลงสึกิโมริปรากฎขึ้นมา





ก่อนจะออกจากห้องไป รุกะได้ดึงยันต์ออกจากหน้ากาก ทำให้พลังของยันต์อันสุดท้ายหายไป ระหว่างทางที่เธอเดินกลับ วิญญาณทาคาฮิสะก็เข้าจู่โจมเธออีกครั้ง


รุกะเอาชนะมาได้แล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องของพ่อเธอ รุกะทำการสำรวจห้อง เธอพบกับบันทึกของพ่อพร้อมกับชีทเพลงที่คล้ายๆกับ ชีทดนตรีที่ฉายอยู่บนกำแพงในห้องของแม่ ตามที่ในบันทึกของพ่อเธอเขียนไว้ ชีทดนตรีนี้เป็นชีทที่ไฮบาระเป็นคนรื้อฟื้นขึ้นมาจากของเก่าและสิ่งนี้ ก็เอาไว้ใช้ไขปริศนาบนศาลเจ้าในห้องมุข


รุกะเข้าไปสำรวจที่โต๊ะของพ่อเธอ เธอเก็บหน้ากากของคานาเดะขึ้นมา พร้อมกับตารางถอดรหัส


รุกะออกจากบ้าน มุ่งหน้ากลับไปยังห้องมุขเหมือนเดิม แต่เมื่อรุกะเดินเข้าไป ความทรงจำบางอย่างของเธอก็กลับมาอีกครั้ง

ฉันถูก... ฉันถูกเอาตัวไป ระหว่างงานเทศกาลในวันนั้น...
เข้าไปข้างใน... ไกลออกไปๆ... ลึกลงไปๆ


ทันใดนั้นประตูของห้องโถงใต้ดินก็เปิดออก ซาคุยะกับเพื่อนๆของเธอ 4 คน ก็รออยู่ข้างใน ซึ่งความทรงจำนี้เป็นความทรงจำเดียวกับอันก่อน ตอนที่เธอถูกคานาเดะและอุสึวะโจมตี


ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน รุกะถูกคานาเดะทั้ง 5 คนโจมตี หลังจากที่รุกะเอาชนะมาได้ รุกะก็นำหน้ากากของคานาเดะวางไว้บนแท่น จากนั้นก็มีเสียงกลไกอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากในศาลเจ้า รุกะทำการจัดหน้าปัดให้เป็นเหมือนในชีทดนตรีที่เก็บได้จากในห้องของพ่อของเธอ


หลังจากทำเสร็จ ศาลเจ้าก็ได้เลื่อนออกไปทางด้าน เผยให้เห็นประตูที่อยู่ข้างหลัง รุกะเปิดประตูเข้าไปก็พบทางบันไดที่ลงไปชั้นใต้ดินซึ่งลงไปลึกมาก เมื่อรุกะลงมายังชั้นได้ดิน เธอก็เดินตามทางยาวๆต่อไป จนพบกับภาพโยในอดีตที่กำลังพาตัวเธอไปในสถานที่แห่งหนึ่ง


รุกะเดินมาจนสุดทาง เธอเปิดประตูบานใหญ่เข้าไป ที่นี่คือลานประกอบพิธีกรรม Kiraigou ที่ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำของเธอ รุกะเดินไปที่ตรงกลางของลานพิธี เธอเก็บชิ้นส่วนหน้ากากจันทรคราสส่วนซีกซ้ายที่มิซากิทำตกไว้ขึ้นมา (ข้างๆจะมีมิยะตกอยู่ด้วย แต่รุกะไม่ได้เก็บขึ้นมา)


ความทรงจำกลับมาเข้ามาหารุกะอีกครั้ง เป็นความทรงจำในช่วงที่ประกอบพิธีกรรมและสิ้นสุดด้วยการที่พิธีล้มเหลว หน้ากากของซาคุยะแตกออก ในขณะนั้นรุกะก็มองเห็นถึงความทรงจำของมิซากิอีกด้วย ความทรงจำที่มิซากิทำมิยะตกไว้ที่กลางลานพิธี


กลับมาที่ปัจจุบัน รุกะกำลังจะเดินออกจากลานพิธีแต่ทว่า หมอกสีดำก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ซาคุยะเข้าจู่โจมรุกะ ทำให้เธอต้องวิ่งหนีกลับขึ้นไป


รุกะหนีซาคุยะมาได้สำเร็จ เธอเดินกลับไปที่ห้องแห่งจิตสำนึก เธอพบภาพตัวเธอในอดีตเดินเข้าไปในประตูข้างๆศาล ซึ่งครั้งที่เธอมาครั้งล่าสุดมันถูกล็อกอยู่ รุกะเก็บชิ้นส่วนหน้ากากจันทรคราสส่วนปากขึ้นมา และเดินตามตัวเธอในอดีตไป


รุกะเปิดประตูเข้าไปก็พบกับตัวเธอเองในอดีตกำลังยืนมองอะไรบางอย่างด้วยความกลัว เมื่อรุกะตามเข้าไปดูก็พบกับพ่อของเธอกำลังทำหน้ากากอยู่


คุณพ่อคะ....

คุณพ่อคะ....

รุกะพยายามเรียกพ่อของเธอ

คุณ....พ่อ....คะ....

โซยะหยุดและวางอุปกรณ์ในมือลงพร้อมกับหันหน้ามาหารุกะ ด้วยใบหน้าที่สวมหน้ากากอยู่

รุกะ

โซยะค่อยๆลุกขึ้นและเดินมาหารุกะ ในขณะที่รุกะเดินถอยหลังไป

มันเสร็จสมบูรณ์แล้ว

หน้ากากจันทรคราส

คุณพ่อคะ!”

รุกะเดินถอยออกมาที่ห้องแห่งจิตสำนึก

โซยะก็เข้าจู่โจมรุกะโดยหวังที่จะให้รุกะสวมหน้ากากที่เขาทำเสร็จ แต่รุกะก็เอาชนะพ่อของเธอได้
รุกะ... จันทรคราสใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว...

โซยะพูดก่อนที่จะเดินหายไปในเงามืด

ช่วงเวลาของจันทรคราสได้ใกล้เข้ามาแล้ว รุกะจะสามารถแก้ไขสิ่งที่พ่อของเธอทำลงไปได้เปล่านะ.....?


Final Chapter – เขตแดนแห่งจุดเริ่มต้น





          รุกะจ้องมองออกไปนอกห้อง ดวงจันทร์กำลังถูกบดบัง ทันใดนั้นแสงไฟจากยอดประภาคารสึคุโยมิก็เปิดขึ้น เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างใกล้จะจบลง

รุกะเข้ามาในห้องทำงานของพ่อเธอ

คุณพ่อมักจะเก็บตัวอยู่ในห้องนี้ เอาแต่ตอกหน้ากากตลอดเลย

ฉันจำเสียงตอกหน้ากากนั่นได้

แต่ฉันเคยได้แค่มองจากด้านหลังเท่านั้น

แต่เมื่อฉันมองไปที่หน้าของเขา... ฉันกลับจำหน้าเขาไม่ได้

เธอพูดกับตัวเองในใจ

รุกะสำรวจห้องทำงานของพ่อเธอ เธอเก็บบันทึกที่เกี่ยวกับหน้ากากจันทรคราส และบันทึกของพ่อเธอที่วางไว้อยู่บนศาล กล่าวถึงความผิดและความสับสนที่เขาทำให้พิธีกรรมล้มเหลว


ทันใดนั้นภาพของซาคุยะที่ตื่นขึ้น ก็ผุดเข้ามาในหัวของรุกะ พร้อมเสียงของพ่อรุกะที่กำลังพูดอยู่


ในความว่างเปล่าอันเป็นนิรันดร ผมเชื่อว่าซาคุยะจะต้องตื่นขึ้นมา ดั่งดอกไม้ที่ผลิบานยามราตรี ดูสงบและสูงส่ง ในตอนนี้ เธอตื่นขึ้นมาและคงเดินไปทั่ว ผู้คนที่ซาคุยะมอง ล้วนจะต้องผลิบาน บ้างก็หนีไปที่ทะเล บ้างก็หนีไปซ่อนที่ใต้ดิน ในไม่ช้าเธอก็คงมา มาที่ชั้นใต้ดินอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผมใช้เวลาทำงานอยู่ทั้งวัน เพื่อที่จะสร้างหน้ากากจันทรคราส…”


ภาพสุดท้ายที่รุกะเห็นคือสถานที่ๆในถ้ำแห่งหนึ่ง


ที่ไหน... พ่อไปที่ไหนกัน?”

ฉันรู้สึกถึงลมอ่อนๆ จากข้างหลังศาลนี่ ดูเหมือนว่าตัวกลไกอาจจะยังใช้ได้อยู่


รุกะขยับกลไกทำให้ศาลเลื่อนไปทางด้านซ้าย เผยให้เห็นประตูลับอยู่ข้างหลัง เธอเลื่อนบานประตูและเข้าไป เธอเดินไปตามทางลงไป พร้อมกับพบภาพของซาคุยะที่กำลังเดินไปตามทางเป็นระยะๆ 

ผลิบาน 
ทุกๆคนจะต้องผลิบาน 
ผลิบานกันต่อไป

ซาคุยะพูดระหว่างเดินไปตามทาง


รุกะเดินตามซาคุยะมาเป็นระยะๆ จนมาโผล่ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง



ทางในถ้ำนั้นลึกลงไปอีก รุกะเดินตามทางไปเรื่อยๆ จนสุดทาง ทันใดนั้นวิญญาณทาคาฮิสะก็เข้าจู่โจมเธออีกครั้ง หลังจากที่รุกะเอาชนะมาได้ เธอก็พบว่ามีช่องอยู่พอที่จะให้เธอลอดผ่านไปได้


เมื่อรุกะลอดผ่านมาเธอก็พบกับทางแยกสองทาง (ทางซ้ายเป็นทางตันแต่จะมีตุ๊กตาให้ถ่ายและบันทึกของพ่อ) รุกะเดินเข้าไปทางขวาและพบทางแยกอีกสองทาง เธอเห็นซาคุยะเดินเข้าไปทางขวาเพื่อไปหาใครบางคน รุกะก็ตามไป จนเธอพบพ่อของตนกำลังนั่งรอซาคุยะอยู่


สถานที่ที่พ่อเธอรออยู่คือภาพสุดท้ายที่เธอเห็นในภาพที่ซาคุยะตื่นขึ้นมานั่นเอง รุกะเก็บบันทึกของพ่อเธอขึ้นมาซึ่งกล่าวเกี่ยวกับความรู้สึกของเขาในขณะที่รอความตาย


หลังจากนั้น รุกะก็เดินตามภาพของซาคุยะที่ปรากฏออกมาเป็นระยะๆ 

ทุกสิ่งทุกอย่างจะมลายหายไป
ดวงวิญญาณหลายดวงจะเข้ามาสู่ร่างกายฉัน

ซาคุยะพูดไปพลางๆระหว่างเดินไปตามทาง


รุกะเดินตามซาคุยะจนมาโผล่ที่ชายหาดสึคุโยมิ จากที่นี่มองเห็นประภาคารและดวงจันทร์ที่ถูกเงามืดบดบังไปแล้วครึ่งดวงได้อย่างชัดเจน ในกลางทะเล มีประตูโทริอิขนาดใหญ่ตั้งอยู่ (เมื่อถ่ายรูปจะเห็นวิญญาณต่างๆกำลังมุ่งหน้าไปยังประตูโทริอิ เพื่อมุ่งสู่โลกหลังความตาย)


รุกะมุ่งหน้าไปยังถ้ำอีกฟากหนึ่ง ซึ่งเธอมั่นใจว่าถ้ำนี้เชื่อมไปยังประภาคาร



สถานที่ที่ใกล้ดวงจันทร์ที่สุด... ซาคุยะจะต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ


รุกะเดินตามทางไปแล้วก็พบกับภาพซาคุยะที่กำลังเข้าประตูไป 



พวกเราจะกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ซาคุยะพูดก่อนที่จะเข้าประตูไป



แต่เมื่อรุกะจะเปิดประตูตามเข้าไป เธอก็ถูกวิญญาณสึบากิ โทโนะในชุดของอุสึวะโจมตี


หลังจากที่เอาชนะมาได้ รุกะก็เข้าไปในประภาคารได้สำเร็จ เธอมองขึ้นไปยังจุดสูงสุดของประภาคารซึ่งสูงมากเลยทีเดียว ในตอนนั้นเธอก็พบว่ามีใครบางคนกำลังยืนอยู่ใกล้ๆเธอ

ด้วยสิ่งนี้... หน้ากากได้สมบูรณ์อย่างแท้จริง ใบหน้าของซาคุยะที่จริงแล้วก็คือหน้ากาก
โซยะหันหน้ามาหารุกะ
ทุกๆคนจะผลิบาน...


โซยะได้โจมตีรุกะอีกครั้ง ทำให้รุกะต้องปราบโซยะลง หลังจากที่โซยะหายไปก็มีหนังสือบางอย่างตกลงมาจากเขา


ข้างในหนังสือกล่าวไว้ว่าผู้ที่กลายเป็นหน้ากากจะถูกผนึกและกลายเป็นหน้ากากจันทรคราส และถ้ามันเกิดการสะท้อนออกมา ทุกคนบนเกาะจะต้องผลิบาน ผู้ที่จะสามารถมองใบหน้าของผู้ที่มีใบหน้าเป็นหน้ากากจันทรคราสได้ คือจะต้องเป็นผู้ที่สวมหน้ากากเดียวกัน แต่ระวังไว้ว่าความกลัวจะทำให้หน้ากากผลิบาน!


หลังจากอ่านจบ ทำให้รุกะรู้ว่า การที่จะทำให้เธอชนะซาคุยะได้ คือเธอต้องมีหน้ากากจันทรคราส ซึ่งเธอก็มีชิ้นส่วนหน้ากากใบนั้นอยู่เกือบครบ แต่ยังขาดชิ้นส่วนชิ้นสุดท้ายไป


ระหว่างที่รุกะเดินขึ้นไปบนยอดประภาคาร พ่อของเธอก็เข้าโจมตีเธอถึง 2 ครั้ง ซึ่งครั้งสุดท้าย รุกะสามารถจัดการพ่อของเธอได้ ทำให้บันทึกของพ่อรวมทั้งชิ้นส่วน หน้ากากส่วนหน้าผาก ซึ่งเป็นชิ้นส่วนสุดท้ายตกลงมาจากพ่อของเธอ


ในตอนนี้เธอก็มีอาวุธครบครัน ที่จะสามารถแก้ไขคำสาปบนเกาะนี้ได้ รุกะขึ้นมาบนประภาคารได้สำเร็จ เธอเห็นภาพซาคุยะกำลังเดินขึ้นไปที่ชั้นบนสุดของประภาคาร (เมื่อมองออกจากระเบียงไปจะมองเห็นทะเลอันมืดมิดไปจนสุดขอบฟ้า //ผมชอบตรงนี้สุดแล้ว)


จงอย่าลืมตัวฉัน เพราะฉันเองก็ลืมไปหมดแล้ว....
ซาคุยะพูดก่อนที่จะขึ้นประภาคารชั้นบนสุด


หลังจากที่ซาคุยะหายไป รุกะก็เดินไปข้างหน้าเล็กน้อย ทันใดนั้นเองรุกะก็พบกับแม่ของเธออีกครั้ง

รุกะ...เพลงสึกิโมริ

หลังจากที่แม่ของเธอหายไป เธอก็เห็นหนังสือที่เขียนถึงตำนานของเพลงสึกิโมริ ว่าเพลงนี้จะทำให้วิญญาณไปสู่สุขติได้


หลังจากที่อ่านทุกอย่างเสร็จ รุกะก็ปีนบันไดขึ้นไปที่จุดยอดสุดของประภาคารสึกุโยมิ สถานที่ที่อยู่ใกล้ดวงจันทร์ที่สุด


ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์กำลังจะถูกบดบังจนมืดมิด ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเหลือเวลาไม่มากแล้ว บนยอดสุดของประภาคาร ซาคุยะผู้นำมาซึ่งหายนะได้เดินขึ้นมาถึงจุดสูงสุดและเป็นสถานที่ที่ใกล้ดวงจันทร์มากที่สุด ถ้าหากเวลาแห่งจันทรคราสมาถึงเมื่อใด ดวงจันทร์เกิดความโกลาหล วิญญาณบนเกาะจะเกิดความคลุ้มคลั่ง มันจะทำให้ซาคุยะสะท้อนระยะผลิบานของตนออกไปยังนอกเกาะและทุกๆคนจะผลิบาน ในฐานะทายาทคนสุดท้ายของมิโกะสึกิโมริ รุกะ จะต้องแก้คำสาปให้ได้


           รุกะมองไปทางด้านหลังซาคุยะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเกสโซ และภายในศาลเจ้านั้นมีออแกนตั้งอยู่ แต่การที่จะไปเล่นเพลงสึกิโมริเพื่อแก้คำสาปได้ รุกะจะต้องปราบซาคุยะเสียก่อน



             “เธอจะต้องผลิบานด้วย!”



ซาคุยะได้พุ่งโจมตีรุกะ ทำให้ทั้งสองต้องสู้กันอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งซาคุยะมาหยุดอยู่หน้าศาลเจ้า และค่อยๆลอยขึ้นไป ก่อนที่จะใช้พลังของเธอเพื่อหวังให้รุกะผลิบาน แต่ตามในหนังสือที่รุกะได้มาจากพ่อของเธอ ผู้ที่จะสามารถมองใบหน้าของผู้ที่มีใบหน้าเป็นหน้ากากจันทรคราสได้ คือจะต้องเป็นผู้ที่สวมหน้ากากเดียวกันนั่นก็หมายความว่า ถ้ารุกะสวมหน้ากากจันทรคราส ซึ่งเป็นเป็นใบหน้าเดียวกันกับของซาคุยะ จะทำให้เธอไม่ผลิบาน


รุกะหยิบหน้ากากจันทรคราสมาสวม ทำให้เธอไม่ผลิบานและจัดการซาคุยะได้ในที่สุด
ในระหว่างที่ซาคุยะหายไป รวมถึงเวลาที่จันทรุปราคาใกล้จะเต็มดวงแล้ว เธอจะต้องรีบเล่นเพลงสึกิโมริเพื่อสะกดพลังของซาคุยะ ก่อนที่ซาคุยะจะฟื้นพลังกลับมาเหมือนเดิม

รุกะมุ่งหน้าไปยังออแกนที่ตั้งอยู่ในศาลเจ้า


รุกะ... เพลงสึโมริ

เสียงของแม่รุกะดังเข้ามาในหัวเธอ

เพลงสึกิโมริ...

รุกะหยิบของสองสิ่งที่เธอเก็บมาจากบ้านของเธอขึ้นมา

ภาพชีทเพลงที่ถ่ายมาจากห้องของคุณแม่และก็...

ตารางถอดรหัสจากห้องของคุณพ่อ

รุกะใช้ตารางถอดรหัส ช่วยถอดรูปดวงจันทร์ข้างขึ้นข้างแรมที่อยู่ในภาพถ่ายออกมาเป็นตัวโน๊ต

นี่คือเพลงสึกิโมริสินะ

เพลงของดวงจันทร์... ยามที่ดวงจันทร์เป็นทุกข์ เพลงนี้จะช่วยปลอบประโลมดวงจันทร์ที่คลุ้มคลั่งและวิญญาณของผู้ที่ตายไป ถ้าเพลงสื่อไปถึงพวกเขา.... พวกเขาก็จะกลับไปสู่โลกหลังความตาย

เหลือเวลาอีกไม่นาน ซาคุยะจะฟื้นกลับขึ้นมา รุกะรีบนั่งลงพร้อมกับบรรเลงเพลงสึกิโมริตามตัวโน๊ตที่เธอถอดออกมา แต่ทว่า

แก๊ง!”

เสียงกดคีย์ผิดก็ดังขึ้น

ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนี้สิ เพลงที่เราฝึกมาตอนยังเด็กมัน....
ต้องรีบเล่นแล้ว ซาคุยะใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้ว

รุกะเริ่มบรรเลงครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้เธอกลับรีบร้อนเกินไป
            “พลังของซาคุยะใกล้จะกลับมาแล้ว
            “อย่ารีบ... ไม่งั้นจะไม่ทันเวลานะ...

ถ้ารุกะเล่นเพลงพลาดอีกครั้ง ซาคุยะจะฟื้นขึ้นมาอีกรอบและจะทำให้ไม่ทันเวลา เธอรวบรวมสมาธิ และบรรเพลงเป็นครั้งสุดท้าย

            เพลงนี้... ใช่แล้วเพลงที่ฉันเคยได้ยินมาก่อน...

รุกะบรรเลงเพลงไปเรื่อยๆ ทำให้ซาคุยะกรีดร้องอย่างทรมาน เนื่องจากถูกบทเพลงพยายามสะกดเอาไว้ ในขณะที่บทเพลงกำลังสะกดพลังของซาคุยะ รุกะจะต้องนำหน้ากากจันทรคราสไปสวมที่ใบหน้าของซาคุยะ เพื่อให้ซาคุยะเป็นสื่อกลางในการนำพาวิญญาณไปที่โลกหลังความตาย แต่ด้วยพลังกดดันอันมหาศาล ที่เกิดจากการปะทะกันของบทเพลงและคำสาป รวมทั้งความเหนื่อยของรุกะที่มีมาตลอดทั้งคืน ทำให้เธอล้มลง รุกะพยายามลุก แต่ก็ลุกไม่ขึ้น


ในตอนนั้นเอง โจชิโร่ก็เดินเข้ามาหยิบหน้ากากจันทรคราส และนำไปสวมให้ซาคุยะ ร่างของซาคุยะล้มลง แต่โจชิโร่ก็รับร่างของเธอไว้ แล้วหันหน้ามามองรุกะ


ดวงจันทร์ถูกปิดจนมิด ทำให้เงามืดสะท้อนลงมาที่มหาสมุทรเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ วิญญาณหลายร้อยดวงบนเกาะ ไหลเข้ามาสู่ร่างของซาคุยะ ก่อนที่จะมุ่งตรงไปยังหลุมขนาดยักษ์ รวมทั้งร่างของโจชิโร่และซาคุยะ

 (****ฉากนี้เป็นฉากจบเพิ่มเติม จะได้ก็ต่อเมื่อเล่นระดับความยาก Hard ขึ้นไป)
***อีกด้านหนึ่ง มิซากิที่ตื่นขึ้นมาก็พบกับวิญญาณมาโดกะ เธอทิ้งมิยะที่อยู่ในมือแล้ววิ่งไปหามาโดกะ มาโดกะที่เห็นดังนั้นแล้ว ก็ส่งยิ้มให้มิซากิเพราะตอนนี้มาโดกะรู้แล้วว่าสายตาของมิซากิที่จ้องมองมาหาเธอนั้น เป็นสายตาที่มิซากิมองว่าตัวเธอนั้นคือเพื่อนสนิท มิใช่ตัวแทนแต่อย่างใดแล้ว มาโดกะยิ้มอำลามิซากิจนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนที่จะหายไปรวมกับวิญญาณตนอื่นๆ แล้วมุ่งสู่โลกหลังความตาย

หลังจากที่มาโดกะหายไป มิซากิก็เอาแต่ยืนมองดูวิญญาณเหล่านั้นที่ชายหาดสึกุโยมิ ซึ่งในมุมมองจากชายหาด ทำให้เห็นเหล่าวิญญาณที่ผ่านประตูไปสู่โลกหลังความตาย บรรจบกับโทริอิที่อยู่กลางทะเลกันพอดี****



ทางด้านรุกะ หลังจากที่ซาคุยะหายไป หน้ากากจันทรคราสจึงร่วงหล่นมาสู่พื้น ชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามาเก็บหน้ากากใบนั้น


คุณพ่อ...

รุกะลุกขึ้นมาพร้อมกับเรียกพ่อของเธอ

รุกะ...

โซยะหันมาหารุกะ ทำให้รุกะเห็นใบหน้าที่เธออยากจะเห็นมานาน ใบหน้าที่แท้จริงของคุณพ่อของเธอ

แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกัน โซยะก็สลายไป กลายเป็นดวงวิญญาณ ไปสู่สุขติตามวิญญาณดวงอื่นๆ

เดี๋ยวสิ!”

เดี๋ยวสิคะ!”

รุกะที่ยังไม่ได้พูดแม้แต่คำอำลา ก็วิ่งไปที่ระเบียงของประภาคาร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว พ่อของเธอได้เข้าประตูสู่โลกหลังความตายไปแล้ว...

คุณพ่อคะ!”

คุณพ่อ!”

คุณพ่อออออออออ!”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.



               ผ่านมาหลายวัน รุกะกำลังเล่นเพลงสึกิโมริในห้องแห่งหนึ่งที่ดวงจันทร์สาดส่องเข้ามาเหมือนตอนแรก แต่คราวนี้เธอสามารถบรรเลงเพลงสึกิโมริได้จนจบแล้ว บทเพลงสึกิโมริที่เธอเล่นมันทำให้เสียงเพลงจันทราที่แสดงถึงตัวตนของเธอนั้นมีความสงบ ดั่งป่าอันเงียบสงัดในเขตแดนแห่งจุดกำเนิดของเหล่าวิญญาณ........
            



--------------------------------------- FIN ---------------------------------------



เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจาก Fatal Frame IV

- สำหรับฉากจบของภาค 4 ไม่มีการยืนยันว่าภาคไหนเป็นฉากจบที่แท้จริง แต่คุณ มาโคโตะ ชิบาตะ Director ของเกมนี้ บอกว่า เขาชอบฉากจบที่มิซากิรอดมากกว่า

- เหล่านางเอกในภาคนี้ เป็นตัวละครหญิงเล่นได้ที่แก่ที่สุดในซีรี่ย์ ถ้าเปรียบเทียบกับภาค 3 พวกรุกะจะมีอายุ 25 ปี ซึ่งมากกว่าเรย์ 2 ปี และน้อยกว่าเคย์ 1 ปี และยิ่งเอาไปเทียบกับภาค 5 ล่ะก็ ............คุณป้า......

- ใน Chapter 9 ตอนที่รุกะจะเดินตามพ่อเธอไป ระหว่างทางจะมีสัญญาณเตือนไอเทมอยู่ตรงโคมไฟ แต่เมื่อไปสัมผัสจะพบกับวิญญาณเคียวโกะออกมาโจมตีทันที เป็นการ Jump Scare เล่นๆ

- โจชิโร่จะหยิบของและขึ้นบันไดเร็วกว่าสาวๆในเกม

- ใน Intro Chapter ช่วงได้ใช้กล้องครั้งแรก มาโดกะจะไม่มีวันตาย  


ในที่สุดภาคนี้ก็เสร็จสักที ได้เวลาแปลมังงะที่ดองไว้แล้ว ลงทีนึง 10 ตอนเลยละกัน


อ่านเนื้อเรื่อง Fatal Frame ภาคอื่นๆได้ที่หน้าหลัก(กลับสู่หน้าหลักโดยการกดลิงค์ด้านล่างหรือชื่อของบล็อก)
กลับสู่หน้าหลัก

--------------------------------------------
Update History
- 09/12/2561 เสริมเนื้อเรื่องของมาโดกะ และไฟล์ของมาโดกะ รวมถึงเรื่องต่างๆให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


6 ความคิดเห็น:

  1. รออ่านอยู่เรื่อยๆนะครับ รอ ภาค 3

    ตอบลบ
  2. พออ่านอัมบัมตัวละคร + วิญญาณมากเลย แล้วมาอ่านเนื้อเรื่องในเกม เหมือนอ่านนิยายเลย เขียนดีมากค่ะ // ขอให้ทำครบทุกภาคนะคะ ><

    ตอบลบ
  3. รออ่านภาคอื่นๆอยู่นะครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณครับ แต่คงอีกนานเลยน่ะครับถ้าจะเขียนพาร์ทสองของภาคอื่นๆจนหมด 5555 แต่ก็เรื่อยๆน่ะครับ บางทีพิมพ์เขียนอะไรเยอะมากไปก็เอียน ต้องมานั่งทำอย่างอื่นแก้หัวตื้อ

      ลบ
  4. - ใน Chapter 9 ตอนที่รุกะจะเดินตามพ่อเธอไป ระหว่างทางจะมีสัญญาณเตือนไอเทมอยู่ตรงโคมไฟ แต่เมื่อไปสัมผัสจะพบกับวิญญาณเคียวโกะออกมาโจมตีทันที เป็นการ Jump Scare เล่นๆ

    ผม: ฟวย!

    ยังไงก็ขอบคุณสำหรับเนื้อเรื่องครับ ละเอียดยิบ เป็นภาคที่เมาที่สุดแล้ว ถ้าเอาตามจริง เรื่องเกิดราวๆ 1980 เลยนะเนี่ย จะใช้ Cassette Tape เป็นเทคโนโลยีที่ดีสุดที่เห็นในเรื่องก็ไม่แปลกละ เดี๋ยวเล่นภาค 5 ต่อเลยครับ กำลังเมานม เอ้ย ผี อิอิ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ 555 คนเรียบเรียงอย่างผมตอนนั่งเขียน ผมก็เมาเหมือนกันครับ ภาค 5 นี่เอาจริงๆผมก็อยากเล่นนะติดแค่ตอนนี้ ผมหา WiiU ไม่ค่อยได้ละ ซื้อมาเพื่อเกมเดียวก็คงไม่คุ้มอีก แต่ถ้าจะให้เล่นได้ง่ายสุดสำหรับผมคงเป็นอีมูอะนะ แต่เห็นยังมีปัญหาแสงเงาอยู่ อยากให้ปู่นินไฟเขียว เอาภาค 5 หรือภาคใหม่มาบน switch บ้าง

      ลบ