วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2564

[เนื้อเรื่อง] Fatal Frame 5: Maiden of Black Water มิโกะแห่งวารีทมิฬ - คำสาปสายน้ำบนภูเขามรณะ

[SPOILER  ALERT!!] ระวังสปอยล์ บทความนี้เหมาะกับผู้เล่นที่เล่นจบแล้ว อ้างอิงมาจาก เอกสาร ไฟล์ในเกม รวมถึง Spirit List และแปลมาจากเกมอังกฤษ บางคำศัพท์อาจคลาดเคลื่อนจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นนะครับ....


 Fatal Frame: Maiden of Black Water

    

        ในที่สุดผมก็ได้เล่นภาคนี้เสียทีหลังจากที่รอคอยมายาวนานถึง 7 ปี หลังจากที่ผมแพลตเกมนี้เคลียทุกอย่าง 100% จบหมดเมื่อกลางเดือนที่แล้ว ผมก็ใช้เวลา 1 เดือนกว่าๆในการเรียบเรียงเนื้อเรื่อง ในที่สุดก็เสร็จเสียที ส่วนด้านเกมเพลย์และความรู้สึกของผมตอนได้เล่นเกมนี้ครั้งแรก เอาไว้ผมเขียนบทความแยกอีกทีเหมือนทุกครั้งนะครับ


          คำเตือน!! บทความข้างล่างมีการสรุปเนื้อหา สปอยล์ยับๆ รวมทั้งมีการสปอยเนื้อหาและฉากจบของภาคเก่าๆ จนอาจจะทำให้คุณหมดสนุกกับการเล่นเกมครั้งแรกได้ ดังนั้นผมขอแนะนำไปเล่นเกมก่อนแล้วค่อยกลับมาอ่านเนื้อเรื่องเพื่อเพิ่มความเข้าใจนะครับ แต่ถ้าใครเล่นมาแล้วก็ไปอ่านกันเลย!!


ซื้อเกม Fatal Frame: Maiden of Black Water บน PC ได้ที่ Steam!! => กดซะ







------------------------------------------------------------------








          มีข่าวลือมากมายอันน่ากลัวที่เล่ากันปากต่อปาก ว่ากันว่าที่นั่นคือภูเขาแห่งความตาย มีเรื่องราวสยองขวัญมากมายเกิดขึ้นที่นั่น แม้แต่การมองตะวันตกดินตอนพลบค่ำหลังภูเขานั่นก็เป็นเรื่องต้องห้าม ใครก็ตามที่ได้หลงเข้าไปในภูเขาลูกนั้นจะหายไปตลอดกาล แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีผู้คนมาเล่าเรื่องราวที่น่ากลัวของมันให้ฟัง ทุกเรื่องราวนั้นมีหลายเรื่องกันออกไป แต่ก็ยังมีเรื่องหนึ่งที่ทุกคนมักจะพูดคล้ายๆกัน “ที่นั่นมีกลุ่มหญิงสาวในชุดสีขาวอาศัยอยู่ ใครก็ตามที่โดนสายตาของพวกนางจับจ้อง คนพวกนั้นจะต้องตาย”






                “ฉันน่ะไม่กลัวหรอกนะ ฉันไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้ว เพราะงั้นฉันเลยไม่กลัวอะไรเลย”

                                                                                                      ฮินาซากิ มิอุ ถึง โคซุคาตะ ยูริ



     






    ในเขตมิโกะโมริ ที่แห่งนี้ผู้คนมีความเชื่อกันว่าน้ำคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนบูชาและเทิดทูนสายน้ำ ว่ากันว่ามันคือแหล่งกำเนิดของดวงวิญญาณ และเมื่อตายวิญญาณของคนตายก็ต้องกลับลงสู่สายน้ำ ดังนั้นเมื่อผู้คนได้ตระหนักถึงความตายของตน คนเหล่านั้นจะทำการขึ้นภูเขาเพื่อไปฆ่าตัวตาย และมอบวิญญาณของตนให้แก่มิโกะบนภูเขา เพื่อให้มิโกะเหล่านั้นนำวิญญาณของตนกลับลงสู่สายน้ำ ผู้คนเชื่อว่าการทำแบบนี้ เป็นการตายอย่างเหมาะสม ด้วยประเพณีเหล่านี้จึงทำให้ภูเขานี้มีความเกี่ยวข้องกับความตาย ผู้คนรู้จักภูเขาลูกนี้ในนามว่า “ภูเขาฮิคามิ(Mt. Hikami)



ภูเขาฮิคามิ



ภูเขาฮิคามิเป็นภูเขาที่มีความสูง 700 เมตรและตั้งอยู่ในเขตมิโกะโมริ ย้อนกลับไปในสมัยอดีตกาล บนยอดสุดของภูเขาฮิคามินั้น เป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟอันกว้างใหญ่ที่เรียกว่าทะเลสาบแห่งการลาจาก(Lake of Departed) ซึ่งน้ำจากทะเลสาบแห่งนี้จะไหลลงไปตามที่ต่างๆของภูเขา เป็นทั้งแม่น้ำ ลำธารหรือแม้แต่ทะเลสาบที่ด้านล่าง ราวกับว่ามันเป็นกระแสเลือดที่ไหลเวียนอยู่ในภูเขา และน้ำเหล่านี้ก็ได้ทำให้เกิดหมอกที่คอยปกคลุมภูเขามาเป็นเวลาช้านาน ว่ากันว่าทะเลสาบแห่งการลาจากนี้ได้ซุกซ่อนเส้นทางสู่โลกอีกโลกหนึ่งเอาไว้



ทะเลสาบแห่งการลาจาก


           ในกลางทะเลสาบแห่งการลาจาก จะมีประตูโทริอิขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ซึ่งหลังประตูโทริอินั้นจะเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเหนือน่านน้ำ(Shrine on the Water) ไม่มีใครรู้ว่าศาลเจ้านี้ถูกสร้างมาเมื่อไหร่ แต่มีความเชื่อกันว่าสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต เป็นถึงบ้านของสุริยะเทพและเป็นเส้นทางที่ไปสู่พระเจ้า แต่ถึงกระนั้นศาลเจ้านี้ก็เป็นสถานที่ที่ลึกลับ ไม่มีใครสามารถมองเห็นศาลเจ้าแห่งนี้จากชายฝั่งของทะเลสาบได้เพราะที่บริเวณทะเลสาบมีหมอกหนามาก แต่ต่อให้วันนั้นเป็นวันที่หมอกเบาบางผู้คนก็จะมองเห็นได้เพียงแค่ประตูโทริอิขนาดใหญ่ ที่เป็นทางเข้าของศาลเจ้าเท่านั้น ผู้ที่จะได้ย่างกรายเข้ามายังที่ศาลเจ้าแห่งนี้มีเพียงแค่ผู้ถูกเลือกเท่านั้น จนบางครั้งผู้คนในช่วงยุคหลังก็ยังคิดว่าศาลเจ้านี้อาจจะมีเพียงแค่ชื่อก็เป็นได้ มีความเชื่อกันว่าศาลเจ้าแห่งนี้คอยให้พรแก่สายน้ำในทะเลสาบที่ไหลลงสู่ด้านล่างอีกด้วย


ศาลเจ้าเหนือน่านน้ำ



            หลังประตูบานใหญ่ที่อยู่ด้านในสุดของศาลเจ้าเหนือน่านวารี จะเป็นทางเดินที่นำไปสู่สถานที่อีกแห่งซึ่งเหมือนกับเป็นอีกมิติหนึ่ง เป็นอีกตัวตนหนึ่งของทะเลสาบแห่งการลาจาก ผู้คนเรียกพื้นที่แห่งนั้นว่า ทะเลสาบดำ (Shadowspring) ทะเลสาบนี้จะกักเก็บน้ำสีดำเอาไว้ ผู้คนเชื่อกันว่าน้ำสีดำที่ว่านี้มันคือนรก และมันคือประตูที่จะนำไปสู่โลกหลังความตาย ใครก็ตามที่ได้สัมผัสน้ำสีดำนี้ จะถูกความมลทินของมันดึงให้เข้าสู่ความตาย ผู้คนที่อาศัยอยู่ในระแวกนั้นจึงเรียกน้ำสีดำนี้ว่า วารีทมิฬ




ทะเลสาบดำ

เหนือทะเลสาบดำจะมีดวงอาทิตย์ยามพลบค่ำขนาดใหญ่หรือที่เรียกกันว่า ตะวันมืด เหนืออยู่น่านฟ้า ซึ่งมันตั้งอยู่ระหว่างโลกของคนเป็นและคนตาย มันจะฉายแสงตะวันสีแดงฉานของมันทั่วทั้งสถานที่แห่งนี้ตลอดเวลา ทำให้ที่แห่งนี้นั้นไร้ซึ่งกลางวันและกลางคืน มีแต่แสงแห่งยามพลบค่ำเท่านั้น ว่ากันว่าในหนึ่งปี จะมีช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ตะวันตกดินจะสาดแสงสีส้มสะท้อนกับผืนน้ำของทะเลสาบแห่งการลาจาก ผู้ใดที่มีชะตาถึงฆาตจะมองเห็นดวงตะวันมืดดวงนี้ในช่วงเวลาตะวันตกดิน เนื่องจากมันเป็นช่วงเวลาที่โลกของคนเป็นและคนตายเข้าใกล้กันมากที่สุดนั่นเอง


ตะวันมืด

            

            ผู้คนส่วนใหญ่ในอดีต เมื่อรู้ว่าตัวเองจะถึงฆาต ด้วยความเชื่อที่ว่ามนุษย์เกิดมาจากสายน้ำ เมื่อตายต้องกลับมาสู่สายน้ำ พวกเขาก็จะถูกอำนาจของตะวันมืดชักจูงให้ขึ้นมาบนภูเขาในช่วงเวลาตะวันตกดิน พวกเขาจะเดินขึ้นมายังทะเลสาบแห่งการลาจาก และจ้องมองตะวันมืดจนกระทั่งตนเองได้สูญสลายมลายหายไป ซึ่งหมายถึงการเข้าสู่โลกหลังความตายหรือหลอมรวมเป็นหนึ่งไปกับสายน้ำบริสุทธิ์นั่นเอง ผู้คนเชื่อว่าการทำแบบนี้เป็นการตายอย่างเหมาะสม แต่ถึงกระนั้นมันก็ทำให้เกิดข้อห้ามสำหรับผู้ที่ไม่ได้อยากจะจบชีวิตตัวเองที่ว่า ห้ามมองไปยังดวงอาทิตย์หลังภูเขาตอนตะวันตกดิน หรือไม่ก็การนอนโดยเอาเท้าชี้ไปยังภูเขานั่นเอง


            ข้างๆ ทะเลสาบแห่งการลาจากจะเป็นสถานที่ที่เหมือนกับชายหาด ที่เรียกว่า ยอดเขาสนธยา(Twilit Peak) สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักสิทธิ์ เต็มไปด้วยหินภูเขาไฟ มีน้ำพุร้อนและไม่มีพืชพรรณเนื่องจากก๊าซระเหยที่ล่องลอยออกมาจากซอกก้อนหิน แต่ถึงอย่างนั้นสถานที่แห่งนี้ก็เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าตุ๊กตาที่เก่าแก่ ซึ่งในภายหลังศาลเจ้าตุ๊กตานี้จะถูกว่าศาลเจ้าตุ๊กตาด้านใน(Rear Shrine of Dolls) ตุ๊กตาเหล่านี้จะเป็นตุ๊กตาตัวแทนของเหล่าเด็กๆ ที่ผู้คนนำมาเซ่นไหว้กัน ว่ากันว่าที่นี่ในอดีตมีเหล่าเด็กกำพร้าถูกตะวันมืดให้ดึงดูดเข้ามาที่ภูเขาและถูกส่งไปยังโลกหลังความตาย ตุ๊กตาตัวแทนที่อยู่ในศาลเจ้า รูปปั้นจิโซและกังหันลมกระดาษที่ตั้งอยู่ในยอดเขาสนธยาจะช่วยปลอบประโลมวิญญาณและนำทางวิญญาณของเด็กๆ ไปสู่โลกหลังความตาย



ยอดเขาสนธยา

ศาลเจ้าตุ๊กตาด้านใน





แต่ทว่าในสมัยแรกสุดนั้น ก็ได้เกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติขึ้น เมื่อจู่ๆ ภูเขาก็ได้กรีดร้อง ผืนแผ่นดินสั่นไหว น้ำวารีทมิฬในทะเลสาบดำได้เกิดทะลักขึ้นมา และมันก็กำลังจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างให้เข้าสู่ความตาย รวมทั้งเปลี่ยนแปลงวิญญาณของผู้ที่กลับไปสู่สายน้ำให้กลายเป็นผีร้าย แต่ในสมัยนั้นได้มีมิโกะใจกล้าสามคน ได้ร่วมมือกัน กระโดดเข้าไปในวารีทมิฬ จนทำให้น้ำวารีทมิฬนั้นสงบนิ่ง มิโกะสามคนนั้นจึงได้เป็นเสาหลักมนุษย์อันยิ่งใหญ่ ที่คอยค้ำจุนไม่ให้วารีทมิฬทะลักออกมา แต่ผ่านไปนานเข้า สามคนนั้นที่เป็นเสาหลักมนุษย์ก็ได้สูญสลายและรวมไปกับน้ำวารีทมิฬตามกาลเวลา ทำให้มีหญิงสาวอีกห้าคน ต้องสังเวยตัวเองเพื่อคอยค้ำจุนต่อจากเสาหลักสามคนแรกอีกที จึงทำให้บริเวณอาณาเขตภูเขาฮิคามิกลายเป็นเกราะป้องกันที่คอยไม่ให้วารีทมิฬพุ่งทะลักออกมาจากทะเลสาบสีดำ


เหล่าผู้คนได้เริ่มคิดที่จะทำพิธีเพื่อป้องกันไม่ให้วารีทมิฬทะลักออกมาได้อีกครั้ง พวกเขาจึงได้สร้างศาลเจ้าแห่งความไม่จีรัง (Shrine of Ephemeral) ขึ้นมา แล้วนำรูปปั้นของมิโกะทั้งสามซึ่งเคยเป็นเสาหลักมนุษย์กลุ่มแรก มาประดิษฐานตั้งอยู่ข้างใน ซึ่งมีความเชื่อกันว่า มิโกะทั้งสามนี้จะคอยปกป้องสิ่ง 3 สิ่ง นั่นคือ เปลวเพลิงต้องห้าม หีบสักการะ และผืนวารี 


ศาลเจ้าแห่งความไม่จีรัง


มิโกะผู้ดูแลโลงสักการะ

มิโกะผู้ดูแลเปลวเพลิงต้องห้าม

มิโกะผู้ดูแลผืนวารี


ศาลเจ้าแห่งความไม่จีรังนี้จะตั้งอยู่ถัดลงมาจากยอดเขา ภายในศาลเจ้าจะเป็นสถานที่เก็บโลงศพที่ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ นอกจากนี้ศาลเจ้านี้ยังมีหน้าที่ขจัดมลทินภายในน้ำที่ไหลลงมาจากทะเลสาบแห่งการลาจากและไหลผ่านตัวศาลเจ้าไป เพื่อให้น้ำเหล่านี้กลายเป็นวารีบริสุทธ์ และไหลลงสู่พื้นที่ด้านล่างต่อไป โดยการใช้พลังของเปลวเพลิงต้องห้าม(Forbidden Flame) 


เปลวเพลิงต้องห้าม


ไม่มีบันทึกไหนกล่าวไว้ว่าเปลวเพลิงนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร แต่มันมีความสามารถในการขับไล่มลทินของวารีทมิฬออกไปได้ เปลวเพลิงนี้มีกลุ่มคนที่คอยดูแลอยู่ พวกเขาถูกเรียกว่า นักบวชผู้พิทักษ์เปลวเพลิง (Flamekeepers) พวกเขาได้สร้างบ้านแห่งเปลวเพลิง(Hall of Fire) ขึ้นมา เพื่อกักเก็บและคอยดูแลไม่ให้เปลวเพลิงนี้มอดดับไป เหล่านักบวชจะต้องชำระล้างร่างกายก่อนเข้าใกล้เปลวเพลิง และสวมผ้าปิดใบหน้าตลอดเวลา เพราะเปลวเพลิงนี้บริสุทธ์เกินกว่าที่สายตาเปล่าๆ ของมนุษย์จะมองมันได้ พวกเขาจะทำการนำเปลวเพลิงนี้ไปที่ศาลเจ้าแห่งความไม่จีรัง แล้วจุดใส่ตะเกียงและรอบๆศาลเจ้า เพื่อช่วยขจัดมลทินของน้ำที่ไหลผ่าน ทำให้น้ำเกิดความบริสุทธิ์และไหลลงสู่ด้านล่าง



บ้านแห่งเปลวเพลิง

ผู้พิทักษ์เปลวเพลิง

           เนื่องจากเหตุการณ์วารีทมิฬทะลักครั้งแรก มันได้ทำให้สายน้ำของภูเขาไม่บริสุทธิ์และผู้คนก็ไม่สามารถตายอย่างเหมาะสมโดยการกลับไปยังสายน้ำได้ ดังนั้นการที่จะทำให้ผู้คนกลับสู่สายน้ำได้เหมือนเดิม พวกเขาจำเป็นต้องมอบความคิดและจิตวิญญาณของตัวเองให้กับมิโกะที่อยู่บนภูเขาและให้มิโกะคนนั้นสังเวยชีวิตในฐานะเสามนุษย์ เพื่อกลายเป็นเสามนุษย์เพื่อชำระล้างสายน้ำของภูเขา แล้ววิญญาณของคนเหล่านั้นจะได้กลับลงสู่สายน้ำ


            ในการหาหญิงสาวที่จะมาเป็นเสามนุษย์ จะต้องทำการเลือกหญิงสาวที่มีพลังวิญญาณจากหมู่บ้านโดยรอบมาฝึกฝนให้เป็นมิโกะภายในภูเขา โดยมิโกะเหล่านี้จะถูกเรียกว่า มิโกะแห่งวารีทมิฬ (Maiden of Black Water)  โดยเหล่ามิโกะที่อาศัยอยู่ที่นี่ จะมีการปกครองและดูแลกันเอง เมื่อพวกเธอเข้ามาเป็นมิโกะ พวกเธอจะได้รับนามสกุลใหม่ที่เรียกว่า มิโกะโมริ และอาศัยอยู่ในศาลเจ้ามิโกะโมริตรงบริเวณทางเข้าของภูเขาฮิคามิพร้อมมีกฎเหล็กว่าห้ามไม่ให้เหล่ามิโกะออกจากภูเขาไป หญิงสาวที่ได้เข้ามาเป็นมิโกะจะต้องชำระล้างร่างกายที่สระน้ำแห่งการชำระล้าง(Pool of Purification) และอาบตัวเองด้วยสายน้ำจากภูเขา เพื่อทำให้ตัวเองสามารถเข้าใกล้ความตายได้มากที่สุด และนั่นจะทำให้พลังวิญญาณของมิโกะสูงขึ้น และใช้วิชาส่องวิญญาณ (Glancing) ได้


 

สระน้ำแห่งการชำระล้าง


เครื่องแต่งกายของมิโกะแห่งวารีทมิฬฝึกหัด


เครื่องแต่งกายของมิโกะแห่งวารีทมิฬ



วิชาส่องวิญญาณที่ว่านี้ เป็นวิชาที่ฝึกฝนกันในกลุ่มของเหล่ามิโกะแห่งวารีทมิฬบนภูเขา ว่ากันว่าเป็นวิชาจากโลกหลังความตาย โดยจะทำให้มิโกะมองเห็นถึงอดีต ความคิดและความรู้สึกของผู้ที่ถูกส่องได้ ว่ากันว่ามิโกะที่มีพลังวิญญาณอ่อนแอหรือเข้ามาเป็นมิโกะในช่วงแรกจะใช้วิชานี้ได้ด้วยการสัมผัสเป้าหมาย ส่วนมิโกะผู้ที่ฝึกฝนตนและมีพลังวิญญาณกล้าแกร่งจะสามารถทำได้เพียงใช้ตามองเท่านั้น เพราะสาเหตุนี้เองจึงทำให้มิโกะที่มีพลังวิญญาณจนสามารถใช้วิชาส่องวิญญาณได้สวมผ้าปิดตาเสมอ ต่างจากมิโกะที่เข้ามาใหม่ที่พวกเธอไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าปิดตา


การส่องเงาของมิโกะ

หน้าที่หลักๆของเหล่ามิโกะคือจะต้องดูแลผู้คนที่เข้ามาทำการฆ่าตัวตายในภูเขาแห่งนี้ เพื่อให้เหล่ามิโกะใช้วิชาที่เรียกกันว่า การส่องวิญญาณ เพื่อนำพาความทรงจำ ความรู้สึกและความคิดของพวกเขากลับลงสู่ผืนน้ำ 


การขึ้นมาบนภูเขา ผู้ที่ขึ้นมาบนภูเขาเพื่อฆ่าตัวตายจะขึ้นมาในช่วงตะวันลับขอบฟ้า เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่โลกของคนเป็นและคนตายเข้าใกล้กัน พวกเขาจะต้องเดินผ่านน้ำตกที่ไหลลงมาจากภูเขาเพื่อชำระร่างกายตนเองก่อนที่จะมุ่งสู่ศาลเจ้ามิโกะโมริบนตีนเขา เมื่อมาถึงศาลเจ้า พวกเขาจะทำการเลือกมิโกะหนึ่งคนให้ไปส่องวิญญาณให้ตนในขณะที่ตนเองฆ่าตัวตาย ซึ่งหลังจากขึ้นภูเขามาแล้ว พวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากภูเขา 


หลังเลือกมิโกะเสร็จ มิโกะจะพาบุคคลนั้นไปยังป่าวงกต(Unfathomable Forest) ที่ว่ากันว่าผู้ใดที่ย่างกรายเข้ามาจะหลงลืมตัวตนและจุดหมายของตนเอง เมื่อเลือกสถานที่ฆ่าตัวตายในป่าได้ มิโกะจะทำการส่องวิญญาณ เพื่อดึงความทรงจำ ความคิดความเจ็บปวดสุดท้ายของบุคคลที่มาฆ่าตัวตายเข้าสู่จิตใจของตน ก่อนที่บุคคลนั้นจะฆ่าตัวตาย หลังจากที่บุคคลนั้นฆ่าตัวตาย มิโกะที่ส่องวิญญาณจะรับรู้ถึงความเจ็บปวดของพวกเขา บ้างก็ถึงกับร้องไห้ บ้างก็ทำให้ตนเองเจ็บปวดไปด้วย เพื่อที่จะได้เข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น และเป็นการดึงตนให้เข้าใกล้โลกแห่งความตาย เพื่อเพิ่มพลังวิญญาณแก่ตน





ป่าวงกต

เมื่อมิโกะได้ทำการส่องวิญญาณจนจิตใจของตนเองถูกเติมเต็มจนเอ่อล้น ก็ถึงเวลาที่พวกเธอจะต้องนำพาความทรงจำและความเจ็บปวดของคนที่เธอส่องกลับลงสู่สายน้ำ เหล่ามิโกะจะได้มีสิทธิ์ให้กลายเป็นเสามนุษย์ ซึ่งมิโกะที่มีพลังวิญญาณต่ำจะถูกทำให้เป็นเสามนุษย์(Pillar) ส่วนมิโกะที่มีพลังวิญญาณสูงมากจะถูกรับเลือกให้เป็นเสามนุษย์ที่ทรงพลังและคงอยู่ได้นานยิ่งกว่า มิโกะเหล่านั้นจะถูกเรียกว่าบุปผานิรันดร์ (Immortal Flower)


หลังจากนั้น เสามนุษย์ทั้งสองประเภทจะต้องถูกนำตัวเข้าไปอยู่ในหีบพิเศษ ซึ่งหีบพิเศษที่ว่านี้จะมีอยู่สองชนิดเช่นกัน หีบชนิดแรกคือหีบสักการะ(Reliquary) ที่มีไว้สำหรับเสามนุษย์ และอีกชนิดคือโลงสักการะ(Casket) มีไว้สำหรับบุปผานิรันดร์ ซึ่งหีบทั้งสองชนิดจะถูกสร้างโดยฝีมือของนักบวชผู้พิทักษ์เปลวเพลิง พวกเขาจะสร้างหีบพวกนี้โดยใช้ส่วนประกอบจากไม้ หลังจากนั้นแล้ว นักบวชจะทำการใช้หมึกสีดำที่ทำมาจากวารีทมิฬที่ผ่านพิธีใช้เปลวเพลิงต้องห้ามชำระล้างมาเรียบร้อยแล้ว วาดอักขระลงบนตัวหีบจนเป็นสีดำจนหมด หลังจากสร้างหีบเสร็จ หีบทั้งสองชนิดจะถูกบรรจุด้วยวารีทมิฬ นั่นก็เพื่อช่วยทำให้มิโกะที่หลับไหลอยู่ในหีบ อยู่ในช่วงระหว่างความเป็นและความตาย เพราะมีความเชื่อว่ายิ่งใกล้สู่ความตายมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้านทานความตายได้มากเท่านั้น



     
หีบสักการะ


ผู้ที่ได้เป็นเสามนุษย์จะต้องลงไปในหีบสักการะ ภายใต้การดูแลของแม่เฒ่าสัปเหร่อ(Funeral Cerebrant)ที่คอยดูแลพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการสังเวยบนภูเขา ซึ่งหีบสักการะสำหรับเสามนุษย์นี้จะมีทรงลูกบาศก์และมีขนาดใหญ่พอที่จะสามารถนำคนเข้าไปข้างในได้ มิโกะหรือหญิงสาวที่ฝึกฝนมานานแต่มีพลังวิญญาณไม่มากพอจะถูกนำตัวให้เข้าไปอยู่ข้างในหีบนี้ หากมิโกะผู้ใดมีความยินยอมหรือความตั้งใจที่จะเข้าไปอยู่ในหีบ จะทำให้พวกเธอเป็นเสามนุษย์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากผู้นั้นไม่เต็มใจ เธอผู้นั้นจะถูกบีบบังคับให้ลงหีบไป แม่เฒ่าสัปเหร่อจะสั่งให้เหล่าบุรุษทมิฬ(Shadow-touch) ยัดพวกเธอเข้าไปในหีบสักการะ แขนขาของเธอจะถูกบดขยี้จนหักในระหว่างที่ถูกบังคับให้เข้าไปในกล่อง นั่นก็เพราะความเชื่อที่ว่าความเจ็บปวดที่พวกเธอได้รับจะทำให้พวกเธอเป็นเสามนุษย์ที่แข็งแกร่งขึ้นนั่นเอง 


แม่เฒ่าสัปเหร่อ

บุรุษทมิฬ

ในบางครั้งก็มีมิโกะบางคนที่มีพลังวิญญาณน้อยเกินไปเข้าไปในหีบสักการะ คนที่ไม่มีพลังวิญญาณหรือพลังน้อยมากจะไม่สามารถต้านทานวารีทมิฬได้ ทำให้หีบของพวกเธอถูกเปิดออกและเสียชีวิต คนเหล่านี้จะกลายเป็นคนที่มีความมลทินและจะต้องถูกชำระล้างด้วยวารีบริสุทธิ์ ก่อนจะถูกส่งไปยังโลกหลังความตาย


เมื่อให้มิโกะเข้าไปหลับไหลในหีบสักการะได้สำเร็จ จะเป็นช่วงเวลาหน้าที่ของเหล่าบุรุษทมิฬ กลุ่มบุรุษทมิฬเหล่านี้คือกลุ่มคนที่ทำหน้าที่แบกหีบสักการะไปไว้ในจุดต่างๆ ที่มีน้ำไหลผ่าน พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่สัมผัสกับวารีทมิฬที่อยู่ในหีบโดยตรงเนื่องจากต้องคอยแบกมันอยู่บ่อยครั้ง และวารีทมิฬนั้นก็ทำให้ร่างกายและใบหน้าของเขาเน่าเปื่อยจนน่าเกลียด พวกเขาจึงต้องสวมหน้ากากตลอดเวลา และเนื่องจากพวกเขาเป็นผู้ที่สัมผัสกับวารีทมิฬ พวกเขาจึงไม่สามารถโดนแสงแดดได้ พวกเขาจึงมักจะทำงานแบกหีบในที่เวลากลางคืนหรือผ่านถ้ำใต้ดิน และในเวลากลางวัน เหล่าบุรุษทมิฬก็จะใช้เวลาอาศัยอยู่ในถ้ำใต้ดินเพื่อหลบแสงแดด


บุรุษทมิฬจะแบกหีบสักการะที่มีร่างของมิโกะอยู่ข้างในไปวางไว้ตามจุดต่างๆของภูเขาที่มีน้ำไหลผ่าน เพื่อชำระล้างสายน้ำที่ไหลมาจากทะเลสาบแห่งการลาจากที่อยู่บนยอดเขา หีบใดที่มีร่างของมิโกะที่มีพลังวิญญาณสูง จะถูกนำไปวางอยู่ใกล้ๆยอดเขา ส่วนหีบใดที่มีมิโกะที่มีพลังต่ำกว่า ก็จะถูกนำมาวางในที่ๆต่ำลงไป นั่นก็เพราะว่ายิ่งใกล้ยอดเขามากเท่าไหร่ สายน้ำก็ยิ่งมีความมลทินมากเท่านั้น เมื่อนำไปวางเสร็จมิโกะที่อยู่ในหีบจะทำหน้าที่ชำระล้างสายน้ำที่ไหลลงไปด้านล่างของภูเขาให้กลายเป็นวารีบริสุทธิ์ พวกเธอจะทำหน้าที่นี้จนกว่าร่างกายของพวกเธอจะสูญสลายไป


อีกสถานที่หนึ่งที่เหล่าบุรุษทมิฬจะชอบนำเอาหีบสักการะที่มีร่างของมิโกะไปวางไว้ก็คือถ้ำนาภี(Womb Cavern) เนื่องจากสมัยโบราณ ผู้คนเชื่อกันว่าภูเขาฮิคามิเหมือนกับร่างกายอันศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นถ้ำแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนครรภ์ของมารดา ถ้ำนี้เป็นถ้ำที่มีน้ำไหลมาจากข้างใต้ของทะเลสาบแห่งการลาจากและถูกกัดเซาะจนกลายเป็นถ้ำขนาดใหญ่ 


ถ้ำนาภี



            ถ้ำนาภีจะเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อไปยังทั่วอาณาเขตของภูเขา ซึ่งหนึ่งในทางเข้าของถ้ำนั้น ก็อยู่ใต้ศาลเจ้าตุ๊กตา(Shrine of Dolls) ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในป่าวงกต

      


ศาลเจ้าตุ๊กตา


ไม่มีบันทึกใดกล่าวไว้ว่าศาลเจ้าตุ๊กตาใหม่นี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อใด แต่ที่แน่ชัดคือศาลเจ้าตุ๊กตานี้ถูกสร้างขึ้นมาทีหลังศาลเจ้าตุ๊กตาที่อยู่บนยอดเขาสนธยาอย่างแน่นอน ผู้คนมักจะนำตุ๊กตาตัวแทนมาเซ่นไหว้เหมือนเช่นเคย ซึ่งตุ๊กตาเหล่านี้เป็นตัวแทนของเหล่าเด็กๆที่เสียชีวิต ที่ตัวของตุ๊กตาเหล่านี้จะมีชื่อของเด็กสลักไว้อยู่ และข้างในตัวตุ๊กตาจะมีเถ้ากระดูก ฟัน หรือแม้แต่มวนผมของเด็กที่เสียชีวิตอยู่ เพื่อทำการระลึกถึงเด็กที่เสียชีวิตไปแล้ว เมื่อมีคนมาเซ่นไหว้เยอะขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ศาลเจ้านี้มีตุ๊กตาอยู่เต็มทั่วศาลเจ้า


ภายในตัวศาลเจ้าตุ๊กตา ตรงทางเดินข้ามระหว่างตัวศาลเจ้าจะมีทางน้ำที่เชื่อมกับลำธารในภูเขาอยู่ ซึ่งทางน้ำนี้จะถูกใช้ในการทอดตุ๊กตาลงสู่สายน้ำตามความเชื่อที่ว่าวิญญาณของมนุษย์เมื่อตายจะต้องกลับลงสู่สายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นกระดูกของผู้เสียชีวิต หรือตัวตุ๊กตาที่เป็นตัวแทนของเด็กที่เสียชีวิตจะต้องถูกทอดลงสู่สายน้ำ ทำให้ในร่องน้ำของภูเขาบางที่อาจจะเห็นตุ๊กตาจมอยู่


ทางน้ำระหว่างตัวศาลเจ้า


กลับมาที่เหล่ามิโกะอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกรับเลือกให้เป็นบุปผานิรันดร์ เมื่อใดก็ตามที่ภูเขาได้กรีดร้อง และสั่นไหว ผู้คนเชื่อว่ามันเป็นลางร้ายและเป็นชั่วโมงแห่งภัยพิบัติ โดยปกติแล้วทุกๆปีชาวบ้านที่อยู่รอบๆภูเขาในเขตมิโกะโมริ จะนำถังมาตักน้ำวารีบริสุทธิ์ที่ได้รับการชำระล้างในภูเขากลับบ้านไป เพื่อไปประดิษฐานไว้ที่บ้านและใช้ทำพิธีต่างๆ เช่นใช้วารีบริสุทธิ์อาบให้เด็กแรกเกิด หรืออาบให้ศพในตอนทำพิธีเตรียมฝังศพ ผู้คนเรียกวิธีการใช้วารีบริสุทธิ์แแบบนี้ว่า มิโกะโมริซัง แต่สำหรับในชั่วโมงแห่งภัยพิบัติซึ่งนำมาสู่หายนะแล้ว ช่วงเวลานี้เชื่อกันว่าการมองตะวันตกดินในช่วงเวลานี้เป็นสิ่งต้องห้าม ถึงแม้มันจะสวยงาม แต่ยังไงก็ตามถ้าหากใครมองตะวันตกดินในช่วงนี้เข้า จะถูกอำนาจของตะวันมืดสะกดจิตให้ขึ้นบนภูเขาและถูกวิญญาณลักซ่อนไป ในช่วงเวลานี้ ชาวบ้านจะทำการปิดล็อคบ้านอย่างแน่นหนา และนำวารีบริสุทธิ์ที่ได้มาอาบตัว เพื่อเป็นการปกป้องตัวเองจากชั่วโมงแห่งภัยพิบัติ แต่สำหรับมิโกะบนภูเขาฮิคามิแล้ว การที่ภูเขากรีดร้องนั้นหมายถึงเสามนุษย์ที่เป็นเสาหลักหลักอันยิ่งใหญ่คนเก่ากำลังจะเสื่อมสลายไป และมันก็ถึงเวลาแล้วที่ภูเขาจะต้องทำการเลือกบุปผานิรันดร์คนใหม่ให้กลายมาเป็นเสาหลักแทนที่ นี่จึงเป็นหน้าที่หลักของมิโกะผู้ที่จะมาเป็นเสาหลักเพื่อค้ำจุนไม่ให้วารีทมิฬพรั่งพรูออกมา



เหล่ามิโกะที่กลายเป็นบุปผานิรันดร์จะเป็นมิโกะที่มีพลังวิญญาณสูง แต่จะมีแค่บุปผานิรันดร์ที่พลังแข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะได้กลายเป็นเสาหลัก(Great Pillar)และจะต้องดำดิ่งสู่วารีทมิฬที่ทะเลสาบดำ พวกเธอจะต้องลงไปในหีบสักการะที่ลักษณะพิเศษที่เรียกว่า โลงสักการะ โลงสักการะนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าหีบสักการะปกติ มีขนาดบรรจุให้คนเข้าได้ถึงสองคน บุปผานิรันดร์จะต้องลงไปในโลงสักการะที่เต็มด้วยวารีทมิฬและนำพาความเจ็บปวดและความทรงจำของคนตายที่เธอเคยส่องลงไปอยู่กับตัวเองด้วย เธอจะต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดและความทรงจำของบุคคลที่เธอเคยส่องไปเรื่อยๆ พวกเธอจะอยู่ในสภาพที่ก้ำกึ่งระหว่างโลกความเป็นความตายอย่างโดดเดี่ยว จนกว่าร่างกายของพวกเธอจะเสื่อมสลายและหลอมรวมไปกับสายน้ำ แต่ถ้าตราบใดพวกเธอสามารถระลึกถึงตัวตนของตัวเองได้ พวกเธอก็จะอยู่คงสภาพเดิมเป็นเวลาเดิมได้นานยิ่งขึ้น แต่เพราะสาเหตุที่พวกเธออยู่ในโลงสักการะราวกับเป็นอมตะและยังคงความงดงามของพวกเธอได้ในขณะที่อยู่ในวารีทมิฬนี้เอง จึงทำให้พวกเธอถูกเรียกว่าบุปผานิรันดร์ 


โลงสักการะ


           โลงที่มีร่างของเหล่าบุปผานิรันดร์จะถูกนำไปตั้งไว้ในสถานที่สำคัญต่างๆของภูเขาและใกล้กับยอดเขาเพื่อชำระล้างสายน้ำ แต่วิธีการนั้นจะแตกต่างจากเสามนุษย์ปกติ นั่นก็คือการทำพิธีสำหรับบุปผานิรันดร์นั้น จะต้องสังเวยมิโกะอีกห้าคนในฐานะผู้พิทักษ์โลงสักการะ โดยที่มิโกะทั้งห้าจะต้องเดินจูงมือกันและดำดิ่งลงสู่สายน้ำพร้อมกัน เหล่ามิโกะจะห้อมล้อมโลงสักการะเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความอันตรายกับบุปผานิรันดร์


แต่สำหรับบุปผานิรันดร์ที่จะถูกเลือกให้เป็นเสาหลักในการค้ำจุนทะเลสาบดำนั้น ผู้ที่ได้รับเลือกจะได้รับนามสกุลใหม่ที่มีนามว่า คุโรซาวะ และเมื่อถึงเวลา พวกเธอจะต้องเดินทางไปยังศาลเจ้าแห่งความไม่จีรัง และได้รับการยอมรับจากสามเสาหลักเสียก่อน นั่นก็คือการได้รับการยอมรับจากมิโกะที่คอยปกป้องเปลวเพลิงต้องห้ามและการได้รับการยอมรับจากมิโกะที่คอยปกป้องหีบสักการะ แล้วหลังจากนั้นบุปผานิรันดร์จึงจะได้รับพรจากมิโกะผู้ดูแลผืนวารี การได้รับการยอมรับและการได้พรที่ว่านี้หมายถึงการที่บุปผานิรันดร์ที่เป็นเสาหลักคนนี้จะได้รับกุญแจ ซึ่งจะสามารถทำให้เธอเดินทางไปยังศาลเจ้าเหนือน่านน้ำโดยใช้เรือฮิกัง(Boat of Passage) ได้นั่นเอง




เรือฮิกัง

            เรือฮิกังนี้จะตั้งอยู่ในสวนที่ใจกลางของศาลเจ้าแห่งความไม่จีรัง มีเพียงมิโกะหรือบุคคลที่ส่องวิญญาณของผู้คนและรับความทุกข์ความโศกเศร้ามามากพอเท่านั้นจึงสามารถใช้เรือลำนี้ได้ เมื่อมิโกะได้รับพรจากเสาหลักมิโกะแห่งผืนวารีมาแล้ว ประตูสู่ศาลเจ้าเหนือน่านน้ำก็จะเปิดออกและเรือลำนี้ก็จะพามิโกะที่โดยสารอยู่ไปสู่ศาลเจ้านั้นโดยอัตโนมัติ ว่ากันว่าหากผู้ใดก็ตามที่ไม่มีคุณสมบัติมากพอแล้วมานั่งเรือลำนี้ เรือลำนี้จะพาคนผู้นั้นไปไม่ถึงศาลเจ้าเหนือน่านน้ำ และหลงทางท่ามกลางสายหมอกที่คอยปกคลุมพื้นที่แห่งนั้น บ้างก็จมเหลือแต่ซากเรือ บ้างตัวเรือก็กลับมาถึงฝั่งแต่ในสภาพที่ไร้ผู้โดยสาร



เมื่อบุปผานิรันดร์ที่เป็นเสาหลักมาถึง เธอจะต้องเดินเข้าไปที่ทะเลสาบดำ ซึ่งเป็นสถานที่ส่วนลึกที่สุดของศาลเจ้าเหนือน่านน้ำ เธอจะลงไปในโลงสักการะก่อนจะรำลึกถึงความทรงจำ ความคิด จิตวิญญาณของผู้ที่เธอส่องวิญญาณมาแล้วดำดิ่งสู่ทะเลสาบดำเพื่อค้ำจุนไม่ให้วารีทมิฬพรั่งพรูออกมาให้ได้นานที่สุด พร้อมกับมีการสังเวยมิโกะอีก 5 คน เพื่อเป็นผู้พิทักษ์คอยปกป้องบุปผานิรันดร์อีกขั้น



แต่ว่าเหล่าบุปผานิรันดร์ที่อยู่ในโลงสักการะอย่างเดียวดาย ไม่ว่าจะเป็นเสาหลักหรือไม่ก็มิอาจจะต้านทานความเจ็บปวดที่เธอได้รับด้วยตัวคนเดียวไหว ดังนั้นทางภูเขาจึงทำจัดทำพิธีอีกพิธีหนึ่งซึ่งเรียกว่า พิธีสมรสวิญญาณ(Ghost Marriage) ขึ้นมา




พิธีสมรสวิญญาณคือพิธีที่จัดขึ้นภายใต้การดูแลของแม่เฒ่ามัคนายก(Wedding Celebrant) เป็นพิธีที่จะเชิญชายหนุ่มที่มีความพร้อมจากนอกภูเขา หรือที่เรียกว่าคนนอก เข้ามาแต่งงานกับเจ้าสาวหรือก็คือมิโกะที่เป็นบุปผานิรันดร์ เพื่อหมายที่จะให้วิญญาณของชายหนุ่มคนนั้นไปอยู่ในโลงสักการะเดียวกันกับมิโกะที่ตนรัก เพื่อปลอบประโลมและช่วยให้มิโกะทนกับความเจ็บปวด กลายเป็นบุปผานิรันดร์ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่โลงสักการะมีขนาดใหญ่กว่าหีบสักการะนั่นเอง ซึ่งในพิธีสมรสวิญญาณจะมีแค่ฝ่ายชายเท่านั้นที่เลือกเจ้าสาวได้ แต่มิโกะจะไม่มีสิทธิ์เลือกว่าจะให้ใครมาเป็นเจ้าบ่าวได้


แม่เฒ่ามัคนายก


พิธีสมรสวิญญาณจะจัดอยู่ที่เรือนสมรส(House of Joining) ที่บ้านแห่งนี้เปรียบเสมือนระหว่างโลกของคนเป็นและคนตาย สำหรับคนปกติจะมองไม่เห็นทางเข้ามาสู่บ้านหลังนี้ เพราะว่าทางเข้านั้นจะถูกปิดโดยผืนป่าไม่สามารถไปต่อได้ ดังนั้นจึงมีเพียงแค่ชายหนุ่มที่ถูกเชิญเท่านั้นที่จะพบทางเข้ามาสู่บ้านหลังนี้ ที่รอบๆเรือนสมรสจะมีดอกฮิกังบานะปลูกไว้อยู่มากมาย ดอกฮิกังบานะมีความเชื่อว่าเป็นดอกไม้ที่เกี่ยวข้องกับความตายตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น ที่เรือนสมรสนี้เองจะเป็นบ้านที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะได้มาพบกัน


เรือนสมรส

ในขั้นแรกที่เจ้าบ่าวได้เข้ามาในเรือนสมรส เขาจะต้องเลือกบุปผานิรันดร์หนึ่งคนจากภาพวาดที่ประดับอยู่ตามกำแพงในห้องแท่นบูชาพิธีสมรสเพื่อไปอยู่ด้วย ภาพวาดเหล่านี้เป็นเหมือนดั่งคำมั่นสัญญาที่ทั้งสองคนได้ทำกันไว้ทันทีที่เจ้าบ่าวเลือก เมื่อทำการเลือกมิโกะที่ตนรักเสร็จสิ้น เขาจะต้องไปนั่งรอที่ห้องรับแขกชั้นสองของบ้านเพื่อรอเจ้าสาว ที่ห้องข้างๆจะมีห้องที่ใช้ส่องตรวจดูเจ้าบ่าวอีกด้วย ในระหว่างนั้นเอง แม่เฒ่ามัคนายกจะทำการอัญเชิญวิญญาณของบุปผานิรันดร์ที่อยู่ในโลงสักการะออกมาในฐานะเจ้าสาว ซึ่งเธอจะออกมาในสภาพนี้ได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และรอคอยชายหนุ่มที่ห้องพิธีสมรส


           เมื่อถึงเวลาสมรส ชายหนุ่มจะถูกแม่เฒ่ามัคนายกเชิญชวนให้เข้ามาพบกับเจ้าสาว เมื่อชายหนุ่มเห็นหน้าเจ้าสาว เขาจะพบกับเจ้าสาวในสภาพน่ากลัวที่เต็มไปด้วยคราบของวารีทมิฬ หากชายหนุ่มเกิดความกลัวขึ้นมาทันทีที่พบหน้าเจ้าสาว หรือเกิดความลังเลสองจิตสองใจในระหว่างทำพิธี พิธีสมรสของทั้งคู่ก็จะล่มทันที เพราะมิโกะที่เป็นเจ้าสาวนั้นเป็นถึงบุปผานิรันดร์ พวกเธอสามารถอ่านใจและอ่านความคิดของผู้เป็นเจ้าบ่าวได้ หากเจ้าบ่าวเกิดความกลัวและความลังเลจะเป็นการสร้างความลำบากใจต่อความรู้สึกของเจ้าสาวในการที่จะเป็นเสามนุษย์ต่อไป ทันทีที่พิธีล่มชายหนุ่มที่เป็นเจ้าบ่าวคนนั้นก็จะตัวหักบิดเบี้ยวและเสียชีวิตทันที ร่างของเขาจะถูกบรรจุลงไปในหีบสักการะที่ถูกคำขึ้นแยกไว้ต่างหาก และถูกบุรุษทมิฬนำไปวางไว้ในส่วนลึกสุดของถ้ำนาภี ส่วนวิญญาณของเขาจะถูกนำไปไว้ที่กองเนินป้ายหลุมศพใน หุบเขาต้องห้าม(Forbidden Valley) แต่ไม่มีการจารึกชื่อลงไปที่ป้ายหลุ่มศพของเขาไว้ ส่วนวิญญาณมิโกะจะกลับไปอยู่ในโลงสักการะตามเดิมและรอวันที่ชายคนใหม่จะมาเลือกเธอ


หุบเขาต้องห้าม

แต่ถ้าเจ้าบ่าวผู้นั้นมีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ที่จะรักมิโกะคนนั้นแบบจริงใจ วิญญาณของเขาจะลงไปอยู่กับมิโกะที่ตนรักในโลงสักการะเพื่อให้พวกเขาทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เป็นการปลอบประโลมจิตใจอันเงียบเหงาของบุปผานิรันดร์และเสริมให้บุปผานิรันดร์กลายเป็นเสามนุษย์ที่แข็งแกร่งขึ้นจนพวกเธอกลายเป็นเสามนุษย์ที่อยู่ได้นานที่สุดตราบเท่าที่พวกเธอจะอยู่ได้ ส่วนร่างกายของเจ้าบ่าวคนนั้นจะถูกนำไปฝังไว้ที่หุบเขาต้องห้ามเช่นเดียวกัน แต่มีการสลักชื่อไว้ หุบเขาต้องห้ามที่ว่านี้จะตั้งอยู่ตรงหน้าทางเข้าบ้านจัดสรรและก่อนเส้นทางที่จะขึ้นไปสู่ยอดเขาสนธยาบนยอดสุดนั่นเอง


เหล่ากลุ่มคนที่อาศัยอยู่บนภูเขาฮิคามิได้จัดพิธีเสามนุษย์เพื่อชำระล้างสายน้ำ และจัดพิธีสำหรับบุปผานิรันดร์เพื่อค้ำจุนวารีทมิฬทุกครั้งเมื่อภูเขากรีดร้องและสั่นไหวเรื่อยมาตั้งแต่อดีตกาล จนเรื่องเล่าเกี่ยวกับพิธีสมรสวิญญาณได้แพร่กระจายออกมาจนมันกลายเป็นพื้นฐานให้กับการละเล่นของเด็กๆ


การละเล่นที่ว่านี้เป็นการละเล่นที่นิยมกันมากในหมู่เด็กๆแถบมิโกะโมริ มันถูกเรียกว่าสมรสวิญญาณตามชื่อของพิธีต้นแบบ เด็กๆ ส่วนใหญ่จะใช้ตุ๊กตาไม้ที่ทำมาจากกิ่งไม้บนภูเขา จะมีเด็กคนหนึ่งจะถูกเลือกให้เป็นคนนอก และพวกเด็กๆ ที่้เหลือจะซ่อนตุ๊กตาของตัวเอง เด็กที่เป็นคนนอกจะต้องเลือกคู่ครองหนึ่งคนที่เป็นเพศตรงข้ามแล้วตามหาตุ๊กตาของคู่ครองคนนั้น หากคนนอกเจอตุ๊กตาของคู่ครองตนก็จะถือว่าเด็กที่เป็นคนนอกนั้นได้แต่งงานกับคู่ครองตน แต่ถ้าหากเด็กที่เป็นคนนอกเจอตุ๊กตาผิดตัว เจ้าของตุ๊กตาตัวนั้นจะต้องกลายเป็นคนนอกเสียเอง  


นอกจากการละเล่นที่มีพื้นฐานมาจากพิธีสมรสวิญญาณแล้ว แถบนี้ก็ยังมีอีกการละเล่นหนึ่งซึ่งจะถูกเรียกว่าผีลักซ่อน ในเกมนี้ทุกคนจะต้องสลับเอาตุ๊กตาไม้ของคนอื่นๆ ไปซ่อน ซึ่งแน่นอนว่าใครหาของตัวเองเจอเป็นคนสุดท้ายจะถูกผีลักซ่อนไป ซึ่งมันก็คล้ายกับเกมซ่อนแอบที่เด็กในแถบอื่นๆเล่นกัน


นอกจากนั้นพิธีสมรสวิญญาณก็ได้ให้กำเนิดเรื่องราวอยู่มากมาย ซึ่งในเรื่องราวหลายเรื่องดังกล่าวก็คือเรื่องราวของเด็กจากนรก(Shadowborn) หรือที่ภูเขาฮิคามิเรียกว่าเด็กจากวารีทมิฬ เด็กเหล่านี้เป็นเด็กต้องคำสาปที่เกิดมาจากคนเป็นและคนตาย เรื่องราวนี้มีเนื้อเรื่องอยู่ว่า


      “ครั้งหนึ่ง มีหญิงสาวคนหนึ่งในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง ได้ตกหลุมรักกับชายหนุ่มในขณะที่หลงทางเข้าไปในภูเขา ทุกๆวัน หญิงสาวคนนี้จะไปที่ศาลเจ้าบนภูเขาเพื่อขอพรให้เขากลับมา แต่หลายปีผ่านไป ชายผู้นั้นก็ไม่กลับมาหาเธอ 

ผ่านไป 10 ปี หญิงสาวคนนั้นได้สูญเสียจิตใจไป เธอมีชีวิตอยู่ไปเรื่อยๆและก็คุยกับชายหนุ่มที่ไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนั้น

วันหนึ่ง ชาวบ้านได้สังเกตเห็นว่าเธออยู่กับเด็กคนหนึ่ง เธอได้บอกชาวบ้านว่าชายหนุ่มที่หายตัวไปเป็นคุณพ่อของเด็กคนนี้ ด้วยการที่ไม่สนใจคำพูดคำนินทาของคนในหมู่บ้านเกี่ยวกับคนที่เป็นพ่อ เธอจึงได้กำเนิดลูกคนเดียวตามลำพัง เด็กผู้หญิงที่เกิดมาคนนั้นมีสายตาของชายหนุ่มที่หายตัวไป เมื่อเด็กสาวที่เกิดมาคนนั้นพูดได้ เธอจึงถามชาวบ้านไปว่า พวกคุณฆ่าพ่อหนูทำไม?”

เรื่องราวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นพลังวิญญาณอันรุนแรงของเด็กที่เกิดมาจากคนเป็นและคนตาย เพราะเด็กในเรื่องสามารถสัมผัสถึงอดีตที่พวกคนในหมู่บ้านได้ลงมือสังหารพ่อของเธอที่เป็นคนนอกได้ ทำให้เรื่องเล่านี้เป็นเรื่องเล่าที่ถูกเล่ากันต่อมาตามกาลเวลา

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.



ภูเขาฮิคามิได้ทำพิธีเรื่อยมาจนผ่านมาจนถึงถึงในยุคสมัยหนึ่ง ในระแวกมิโกะโมรินั้น นอกจากจะมีภูเขาฮิคามิแล้ว ก็ยังมีที่ตั้งของหมู่บ้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านทาไมที่ตั้งอยู่ใกล้ๆบ่อน้ำ หมู่บ้านอายุคาวะที่อยู่ใกล้ๆกับแม่น้ำ หมู่บ้านคาตาเซะที่อยู่ใกล้กับแก่ง และสถานที่ที่เรียกว่านารุทากิ ซึ่งอีกฝั่งหนึ่งข้างหลังของนารุทากินี้เองก็เป็นที่ของภูเขาอีกลูกหนึ่งที่ชื่อว่า ภูเขาคางิโร่ย(Mt. Kagiroi)

ภูเขาคางิโร่ยนี้เปรียบเสมือนเป็นภูเขาพี่น้องกับภูเขาฮิคามิมาอย่างช้านาน ที่ภูเขานี้เองก็มีพิธีกรรมที่จัดมาตั้งแต่อดีตควบคู่กับภูเขาฮิคามิเช่นกัน ซึ่งมิโกะบนภูเขาคางิโร่ยมักจะเป็นเด็กผู้หญิง ตามความเชื่อที่ว่าอัตราการเสียชีวิตของเด็กๆนั้นมีสูง ทำให้วิญญาณของเด็กๆ จึงอยู่ระหว่างขอบเขตของโลกแห่งความเป็นและความตาย ว่ากันว่าจนกว่าเด็กคนนั้นจะมีอายุ 7 ปี พวกเธอจะอยู่ในการดูแลของพระเจ้า เมื่อใดที่อายุครบ 7 ปี เธอเหล่านั้นจะลงมายังโลกมนุษย์ ดังนั้นตามความเชื่อนั้น พ่อแม่ของเหล่าเด็กพวกนี้จะทำการมอบเด็กๆให้ทางศาลเจ้าคางิโร่ยดูแลจนกว่าเด็กเหล่านี่นจะมีอายุถึง 7 ปี ถึงจะกลับไปหาพ่อแม่ได้ ซึ่งเด็กสาวเหล่านั้นจะกลายเป็นมิโกะของศาลเจ้า หากเด็กสาวที่เป็นมิโกะคนนั้นมีพลังวิญญาณสูง เธอคนนั้นก็มีโอกาสที่จะต้องถูกทำพิธีลงหีบสักการะ เพื่อส่งตัวไปที่ภูเขาฮิคามิในฐานะเสามนุษย์


ผ่านมาหลายปี ในสมัยปลายยุคเอโดะ บนภูเขาคางิโร่ยได้มีเด็กสาวคนหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมานามว่า ชิรางิคุ เธอเป็นเด็กที่มีผมสีขาว ผิวซีด ดวงตาสีแดง เธอเป็นเด็กที่มีพลังวิญญาณสูงมากตั้งแต่กำเนิด เธอสามารถอ่านจิตใจคนอื่นได้เพียงแค่มองได้ พลังของเธอนั้นมีมากเทียบเท่ากับพลังของมิโกะแห่งวารีทมิฬที่แข็งแกร่งที่สุดในภูเขาฮิคามิเลยก็ว่าได้ แต่ถึงอย่างนั้นร่างกายของเธอก็อ่อนแอมากเช่นเดียวกัน

        ด้วยรูปลักษณ์ของชิรางิคุ จึงทำให้ชาวบ้านพากันกลัวและหลบหน้า พวกเขาบอกว่า ชิรางิคุจะมีชีวิตได้ไม่ถึง 7 ปี แต่ตามธรรมเนียมของภูเขาแล้ว จนกว่าจะถึง 7 ปี ชิรางิคุจะต้องเป็นมิโกะที่ศาลเจ้าคางิโร่ยไปก่อน


ชิรางิคุ

       ครั้งหนึ่งชิรางิคุได้ล้มป่วยหนัก ด้วยร่างกายที่อ่อนแอ จึงทำให้เธอล้มป่วยจนเกือบตาย แต่เพราะว่าเธอนั้นมีเพื่อนที่ชื่อว่า อาโซ คุนิฮิโกะ อยู่เคียงข้างเธอ จึงทำให้เธอรอดจากความตายนั้นมาได้

อาโซ คุนิฮิโกะ เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของชิรางิคุ เขาเป็นเด็กชายที่มีความเชื่อว่าโลกหลังความตายมีตัวตนเป็นอย่างมาก เด็กชายคนนี้แตกต่างจากชาวบ้านคนอื่น เขาเข้ามาสนิทกับชิรางิคุได้อย่างปกติโดยไม่กลัวเธอเลย

ทุกครั้งที่เล่นซ่อนแอบกัน ชิรางิคุมักจะชอบชวนให้คุนิฮิโกะไปซ่อนตัวกับเธอที่ใต้บันไดของศาลเจ้าเสมอ เพราะที่นั่นเป็นสถานที่ลับที่ทั้งสองจะได้อยู่ด้วยกันสองคนและไม่มีใครหาทั้งสองเจอได้ ชิรางิคุชอบที่นี่มากๆ เพราะเธอจะได้อยู่กับเด็กชายที่เธอรักกันแบบส่วนตัว แต่เมื่อหมดเวลาเล่นและต้องแยกย้ายกันกลับบ้าน ชิรางิคุจะรู้สึกเสียใจมากจนครั้งหนึ่งเธอได้ร้องไห้ออกมาเป็นครั้งแรก เพราะเธอรู้ตัวว่าเวลาที่เธอจะใช้เล่นกับคุนิฮิโกะในสถานที่ลับในวันนั้นได้หมดลงแล้ว


ชิรางิคุกับคุนิฮิโกะในที่ซ่อนลับ


    ด้วยเรื่องราวที่ว่าชิรางิคุนั้นเคยเฉียดตายมาแล้วครั้งนึง ตามความเชื่อที่ว่าผู้ใดที่เข้าใกล้ความตาย แต่รอดมาได้ เขาคนนั้นจะกลายเป็นเสามนุษย์ที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น รวมกับที่เธอมีพลังวิญญาณสูงระดับบุปผานิรันดร์แต่จะมีอายุสั้นโดยมีชีวิตไม่ถึง 7 ปี จึงทำให้ชาวบ้านตัดสินใจให้ชิรางิคุเข้าพิธีลงโลงสักการะ ซึ่งชิรางิคุก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้เลย เธอยอมรับการเข้าพิธีนี้เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่เธอจะมีชีวิตต่อไปได้ แต่เธอก็กังวลว่าเธอจะต้องอยู่แบบนี้อย่างโดดเดี่ยวตลอดไป เธอจึงเลือกให้อาโซ คุนิฮิโกะมาเป็นเจ้าบ่าวของเธอ ที่เธอสามารถเลือกคู่ครองของตนได้นั้น เป็นเพราะบนภูเขาคางิโร่ยมีกฎที่ว่ามิโกะสามารถเลือกคู่ครองของตนได้ ต่างกับมิโกะบนภูเขาฮิคามิที่เลือกคู่ครองของตนเองไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นแล้ว ชาวบ้านก็ไม่สามารถให้คุนิฮิโกะลงโลงสักการะไปพร้อมกับชิรางิคุได้เพราะอายุของคุนิฮิโกะยังไม่ถึงวัยอันเหมาะสม ชิรางิคุจึงดัดสินใจคิดจะให้ของดูต่างหน้าของเธอชิ้นหนึ่งให้แก่คุนิฮิโกะเพื่อเป็นคำมั่นสัญญาว่าคุนิฮิโกะจะกลับมาหาเธอเมื่อเขาโตจนเข้าสู่วัยที่พร้อมแล้ว


    ชิรางิคุใช้เวลาเล่นกับคุนิฮิโกะ และชวนเขามาที่สถานที่ลับของพวกตนจนกระทั่งถึงวันพิธีกรรม ในช่วงเวลาพิธีกรรมชิรางิคุได้หันมาสบตากับคุนิฮิโกะก่อนที่เธอจะหันกลับไป เธอยอมให้คุนิฮิโกะใช้มีดที่อยู่ในมือตัดเส้นผมของเธอออกมาจำนวนหนึ่งไว้เป็นของดูต่างหน้า ก่อนที่เธอจะกระโดดลงไปในโลงสักการะ 


พิธีกรรมของชิรางิคุและคุนิฮิโกะ


หลังจากพิธีกรรมโลงสักการะของชิรางิคุก็ถูกนำส่งขึ้นภูเขาฮิคามิ โลงของเธอได้ถูกนำไปวางในส่วนลึกสุดที่ใต้ดินของศาลเจ้าแห่งตุ๊กตา ถึงแม้ว่าชิรางิคุจะอยู่ที่นั่นคนเดียว แต่ที่นั่นชิรางิคุก็มักจะออกมาวิ่งเล่นกับวิญญาณของเด็กๆที่อยู่ในศาลเจ้าแห่งตุ๊กตาเป็นประจำ ส่วนทางด้านคุนิฮิโกะ เขากลับบ้านมาและได้นำมวยผมของชิรางิคุเก็บเข้ากล่องเพื่อรอวันที่ตนเองจะเข้าสู่วัยอันสมควรและกลับมาหาชิรางิคุ



มวยผมของชิรางิคุ


    ในช่วงเวลานั้นเอง ได้เกิดเหตุการณ์อุทกภัยขึ้นกับพื้นที่ที่อยู่ใกล้ๆ กับหมู่บ้านคาตาเซะในเขตมิโกะโมริ ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นเสียชีวิตจนหมดเหลือรอดเพียงแค่เด็กผู้หญิงคนเดียวที่ตื่นขึ้นมาอย่างเดียวดายท่ามกลางกองศพ เด็กผู้หญิงคนนี้มีชื่อว่าโอเสะ ทันทีที่เธอตื่นขึ้นมา เธอก็เริ่มมองเห็นวิญญาณและสิ่งที่คนธรรมดามองไม่เห็น  นั่นก็เป็นเพราะเธอรอดจากประสบการณ์เฉียดตาย ราวกับว่าเธอได้เข้าสู่ขอบเขตโลกแห่งความตายและกลับมายังโลกคนเป็น มันทำให้พลังวิญญาณของเธอสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งพอทางภูเขาฮิคามิได้รับรู้เข้า โอเสะจึงถูกเชิญให้มาที่ภูเขาฮิคามิเพื่อฝึกฝนให้กลายเป็นมิโกะแห่งวารีทมิฬ


    โอเสะเข้ามาที่ภูเขาฮิคามิครั้งแรกในฐานะมิโกะฝึกหัด ทันทีที่โอเสะเข้ามาอาศัยอยู่ในศาลเจ้ามิโกะโมริ เธอก็ได้รับนามสกุลใหม่นั่นก็คือมิโกะโมริ จากนี้เธอจะมีชื่อว่ามิโกะโมริ โอเสะ  


โอเสะได้อาบวารีบริสุทธิ์เพื่อทำให้ตนเองเข้าสู่โลกแห่งความตายได้มากขึ้นและเรียนรู้ประเพณีของที่นี่ รวมฝึกฝนวิธีการใช้วิชาการส่องวิญญาณ เธอสัมผัสได้ถึงชีวิตต่างๆ ที่อยู่บนภูเขาไม่ว่าจะเสียงจากต้นไม้ เสียงกระซิบของก้อนหินหรือแม้แต่เสียงร้องไห้ของสายน้ำ ในขณะที่ฝึกฝนไปเรื่อยๆ โอเสะก็ได้ยินถึงเสียงขอพรของคนที่มาสักการะในอดีตและได้กลิ่นเหม็นเน่าของความตาย แต่ถึงกระนั้นมิโกะที่เป็นรุ่นพี่ของเธอก็ได้บอกให้เธอฝึกฝนมากกว่านี้อีก ที่จริงแล้วโอเสะนั้นเธออยากจะวิ่งหนีทันทีที่เข้ามาในภูเขาฮิคามิ แต่ว่าบ้านของเธอได้หายไปในระหว่างที่เกิดเหตุอุทกภัยแล้ว ทำให้เธอไม่สามารถไปที่ไหนได้อีก เธอจึงคิดว่าตัวเองจะต้องได้อยู่ตัวคนเดียวต่อไปตลอดกาลอย่างแน่นอน


การชำระล้างร่างกายของเหล่ามิโกะ


โอเสะได้ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนให้เข้าใกล้กับความตายมากที่สุด ยิ่งใกล้ความตายมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งสูญเสียความเป็นตัวเอง แต่โอเสะก็อดทน เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่เธอจะสามารถฝึกฝนวิชาส่องวิญญาณและพาวิญญาณของคนที่เธอส่องไปยังโลกหน้าได้ ในตอนแรกที่โอเสะเข้าที่นี่มา เธอก็ใช้การสัมผัสและการโอบกอดเพื่อส่องวิญญาณของคนที่มาฆ่าตัวตาย แต่ด้วยการที่เธอมีพลังวิญญาณสูงมาก โอเสะฝึกฝนไปได้ไม่นานก็สามารถส่องวิญญาณของคนที่มาฆ่าตัวตายได้เพียงแค่การมองได้แล้ว


ผ่านมาหลายปีจากวันที่เธอเข้ามาในภูเขาครั้งแรก จู่ๆ ภูเขาก็สั่นไหวอีกครั้ง แม่เฒ่าสัปเหร่อก็ได้มาเตือนว่าเสาหลักคนปัจจุบันกำลังจะดับสลายไปแล้ว พวกแม่เฒ่าจึงทำการหามิโกะผู้ที่จะมาเป็นเสาหลักคนใหม่ โอเสะได้เห็นมิโกะรุ่นพี่ของเธอถูกรับเลือกให้เป็นบุปผานิรันดร์ มุ่งหน้าสู่ศาลเจ้าแห่งความไม่จีรังเพื่อเป็นเสาหลักที่ต้องคอยค้ำจุนวารีทมิฬต่อไป อีกทั้งโอเสะก็ได้เห็นแม่เฒ่ามัคนายกกำลังเร่งหาคู่ครองให้กับมิโกะรุ่นพี่ของเธออีกด้วย ในตอนนั้นเองที่ความคิดของโอเสะก็เปลี่ยนไป จากที่เธอเคยคิดว่าตัวเองจะต้องมีชีวิตอยู่คนเดียวและตายไปอย่างเดียวดาย กลับกลายเป็นว่าด้วยพิธีสมรสวิญญาณนี้อาจจะสามารถทำให้เธอไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว


ผ่านมาอีกหลายปีเสามนุษย์ที่เป็นรุ่นพี่ของโอเสะกำลังใกล้จะสูญสลายไป โอเสะที่เติบโตขึ้นมากลายเป็นสาวงามพร้อมกับจิตใจที่เอ่อล้น ก็ได้ถูกรับเลือกให้เป็นบุปผานิรันดร์ และด้วยการที่เธอมีพลังวิญญาณสูงมากชนิดที่ว่าสูงที่สุดในบรรดามิโกะแห่งวารีทมิฬนั้น มันจึงทำให้เธอได้กลายเป็นถึงเสาหลักที่ต้องคอยค้ำจุนวารีทมิฬพร้อมทั้งนามสกุลใหม่ที่มีชื่อว่าคุโรซาวะ ซึ่งสำหรับคุโรซาวะ โอเสะคนนี้นั้น การที่เธอเป็นเด็กหญิงจากชาวบ้านเล็กๆใกล้คาตาเซะ สู่การเป็นเสาหลัก มันทำให้เธอรู้สึกว่าตำแหน่งนี้มันมีเกียรติเป็นอย่างมาก และเธอก็ตัดสินใจแล้วว่าจะรับหน้าที่นี้ด้วยความรู้สึกที่ภาคภูมิ


ในตอนที่โอเสะถูกเลือกนั้นเอง เหล่ามิโกะที่อยู่มาพร้อมกับเธอและมิโกะรุ่นน้องของเธอก็ต่างร้องไห้ให้กับโอเสะ โอเสะที่เห็นดังนั้นแล้วจึงเข้าไปปลอบพวกเธอ


คุโรซาวะ โอเสะ
ในฐานะเสาหลัก บุปผานิรันดร์

หลังจากที่โอเสะได้ถูกรับเลือกให้ถึงเสาหลักของภูเขา ในตอนนี้กลุ่มมิโกะแห่งวารีทมิฬก็มีสมาชิกอยู่อีกไม่น้อย ในกลุ่มมิโกะจำนวนนั้นก็มีมิโกะสามคนที่ชื่อว่า มิโกะโมริ อิโนริ, มิโกะโมริ เอมิ และ มิโกะโมริ โฮโนกะ ซึ่งโฮโนกะจะเป็นเด็กใหม่และยังไม่สามารถใช้วิชาส่องวิญญาณด้วยการมองได้


พวกเธอทำการฝึกฝนและทำหน้าที่ส่องวิญญาณให้กับคนที่ขึ้นมาฆ่าตัวตาย เพื่อพาวิญญาณของพวกเขาลงสู่สายน้ำตามปกติ แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่โฮโนกะได้ถูก เรย์เซน คิริกะ เด็กสาวในชุดกิโมโนสีขาวเลือกให้ไปส่องวิญญาณให้  โฮโนกะได้พาคิริกะเข้าไปยังในป่าพร้อมทั้งส่องวิญญาณให้คิริกะก่อนที่คิริกะจะใช้มีดปาดคอตัวเองจนเสียชีวิต หลังจากที่ส่องวิญญาณเสร็จ โฮโนกะก็ได้เข้าไปโอบร่างที่ไร้วิญญาณของคิริกะ ในตอนนั้นเองโฮโนกะก็ใจกล้าเธอได้หยิบมีดของคิริกะขึ้นแทงเข้าไปที่ตัวเองจนล้มลง เพื่อที่ตัวเองนั้นจะได้รับความรู้สึกแบบเดียวกันกับคิริกะ และเป็นการทำให้ตัวเองเข้าใกล้ความตาย เพื่อเพิ่มพลังให้แก่ตน


ทางด้านของ คุนิฮิโกะ อาโซ ในตอนนี้เขาได้เติบโตขึ้นมาเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่ม ความเชื่อเรื่องโลกหลังความตายไปก็เบาบางลง และก็ช่างน่าเสียดาย เนื่องจากเวลาที่ผ่านมานาน รวมถึงในอดีตตอนนั้นเขายังเป็นแค่เด็กที่ไม่ค่อยจะรู้ประสีประสามากนัก ทำให้ตอนนี้เขาก็ลืมความทรงจำที่เกี่ยวกับชิรางิคุไปแล้ว รวมถึงเส้นผมที่เป็นของดูต่างหน้าด้วย



อาโซ คุนิฮิโกะในวัยหนุ่ม

ในสมัยนี้เป็นสมัยที่ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลเรื่องการถ่ายศพและเรื่องกล้องถ่ายรูปมาจากชาวตะวันตก ซึ่งการถ่ายศพนั้นเป็นการถ่ายภาพศพของคนตาย โดยก่อนที่จะถ่าย พวกเขาจะทำการแต่งหน้าแต่งตัวให้ศพก่อนถ่ายรูป เพื่อเป็นที่ระลึกและทำให้คนที่มีชีวิตอยู่สามารถทนกับความเศร้าโศกของตัวเองได้ ถึงแม้ว่าในสมัยนี้ การถ่ายภาพจะเป็นเรื่องหายากและเป็นสิ่งที่มีราคาแพงมากๆ แต่คุนิฮิโกะเองก็สนใจในเรื่องพวกนี้อยู่ไม่น้อย พอเขาได้ดูภาพถ่ายศพ มันก็ทำให้เขาคิดอะไรบางอย่างออก เขาคิดว่าภาพถ่ายศพเป็นมากกว่าของที่ระลึก มันสามารถจับความตายและดวงวิญญาณที่ไม่สามารถมองด้วยตาเปล่าได้ คุนิฮิโกะเลยตั้งใจที่จะประดิษฐ์กล้องให้เขาขึ้นมาหนึ่งตัว


คุนิฮิโกะจึงได้สร้างกล้องขึ้นมาหนึ่งตัวซึ่งเป็นตัวต้นแบบที่พอจะให้เขาสามารถถ่ายภาพได้ หลังจากนั้นเขาก็ออกเดินทางรับงานถ่ายภาพศพไปทั่วและมันก็ทำให้การถ่ายภาพของเขามีชื่อเสียงขึ้นมา ชาวบ้านในระแวกมิโกะโมริต่างก็รู้สึกปิติยินดีและบอกว่าภาพของเขานั้นเหมือนกับ"เสามนุษย์"เลย แต่สำหรับคุนิฮิโกะ เขายังไม่พอใจกับกล้องตัวนี้ เพราะกล้องตัวนี้ยังจับได้แค่แสง มันห่างไกลจากสิ่งที่เขาคิดไว้มาก


ชื่อเสียงการถ่ายภาพศพของคุนิฮิโกะ อาโซดังกระฉ่อนไปทั่วอาณาเขต จนมันได้ไปเข้าหูของแม่เฒ่ามัคนายกเข้า แม่เฒ่ามัคนายกสนใจในภาพถ่ายนี้ เขาจึงส่งจดหมายเชิญอาโซ คุนิฮิโกะให้ขึ้นมาบนภูเขาฮิคามิ เพื่อมาถ่ายรูปคุโรซาวะ โอเสะ ก่อนที่เธอจะเข้าโลงสักการะและเข้าสู่พิธีสมรสวิญญาณ ซึ่งครั้งนี้ก็จะเป็นครั้งแรกบนภูเขาฮิคามิ ที่เจ้าสาวจะได้ใช้รูปถ่ายของตัวเองแทนภาพวาดเหมือนสมัยก่อน ในขั้นตอนการเลือกเจ้าสาวนั่นเอง


ในช่วงเวลานั้นเองที่หมู่บ้านหนึ่งในเขตมิโกะโมริ คุรุรุกิ ชิโนะได้ตกหลุมรักกับผู้ชายคนหนึ่งและคบหากันเป็นเวลานาน แต่ทว่าน้องชายของชิโนะที่ชื่อว่าคุรุรุกิ เคียวโซ เห็นว่าชายที่พี่สาวตนเองตกหลุมรักนั้น ไม่ได้ความ ไม่ได้เรื่อง และชอบทำร้ายร่างกายพี่สาวของตน จนวันหนึ่งเคียวโซไม่อาจเห็นพี่สาวของตัวเองโดนทำร้ายได้อีกต่อไป เขาจึงสังหารชายหนุ่มผู้นั้นเสียเพื่อปกป้องพี่สาว แต่หารู้ไม่ว่าเหตุการณ์นี้ มันจะนำพาไปสู่โศกนาฎกรรมที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของภูเขาฮิคามิ


ด้วยการที่เคียวโซฆ่าคนตาย เขาก็ได้ขึ้นไปที่ภูเขาฮิคามิ เขาได้เลือกมิโกะโมริ เอมิ ให้มาส่องวิญญาณให้ตัวเอง เขาเลือกวิธีที่จะใช้มีดปาดคอตัวเอง แต่ทันทีที่เขาถูกส่องวิญญาณด้วยดวงตาของเอมิ ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป เอมิที่รู้ถึงบาปที่เคียวโซทำก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร แต่สำหรับเคียวโซที่มองเห็นสายตาของเอมิแล้ว เขากลับกลัวสายตาคู่นั้นของเอมิอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกได้ว่าเอมิรู้ได้ถึงความผิดบาปที่ตนได้ก่อไว้ เขาจึงเกิดความกลัว ในตอนนั้นเคียวโซได้ก้าวเท้าของเขาแล้วเริ่มวิ่งหนีลงภูเขาอย่างสุดชีวิต เอมิที่เห็นดังนั้นแล้วจึงวิ่งตามเคียวโซ เพราะภูเขานี้มีกฎว่าห้ามให้ผู้ที่เข้ามาสักการะออกไปได้ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่สามารถวิ่งไล่ตามเคียวโซที่มีรูปร่างใหญ่โตได้ทัน อีกทั้งงเธอต้องทำตามกฎของมิโกะ จึงไม่สามารถออกไปภูเขาได้ เลยจำใจปล่อยให้เคียวโซลงจากภูเขาไป


หลังจากนั้นไม่กี่วัน  หลังจากที่คนรักของชิโนะตายไป ถึงแม้ว่าคนรักคนนั้นจะนิสัยแย่ขนาดไหนก็ตาม แต่การที่เคียวโซไปฆ่าคนรักของชิโนะ มันก็ทำให้หัวใจของชิโนะแตกสลายเพราะเธอยังคงรักชายหนุ่มคนนั้นมาก เธอจึงขึ้นไปบนภูเขาฮิคามิ และให้มิโกะแห่งวารีทมิฬส่องวิญญาณเธอ ก่อนที่เธอจะผูกคอตายใต้ต้นไม้ในป่าวงกต เพื่อที่เธอจะได้ตายอย่างเหมาะสมแล้ววิญญาณของเธอจะได้ไปพบกับคนที่เธอรัก


ผ่านมาไม่กี่วัน ก็ถึงวันที่โอเสะจะต้องลงโลงสักการะพอดี คุนิฮิโกะได้เดินทางขึ้นมาถึงภูเขาตามคำเชิญชวนของแม่เฒ่ามัคนายก เขาได้ขึ้นมาบนภูเขาฮิคามิพร้อมกับสำรวจธรรมชาติของภูเขา เขาเริ่มที่จะเข้าใจความเชื่อเกี่ยวกับน้ำที่อยู่บนภูเขา เขารู้สึกได้ว่าธรรมชาติของภูเขานี้ล้วนแล้วแต่มีพลังทั้งสิ้น มันทำให้เขารู้สึกว่าการที่เขามาอยู่บนภูเขานี้ เขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ด้วยความรู้สึกเหล่านี้ อยู่ดีๆ มันก็ทำให้คุนิฮิโกะนึกถึงช่วงสมัยที่เขายังเด็ก ในตอนที่เขายังอยู่บนภูเขาคางิโร่ย ในตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เขายังมีความเชื่อในเรื่องโลกหลังความตายอย่างสนิทใจ คุนิฮิโกะเริ่มนึกถึงวันในอดีต แล้วมันก็เริ่มทำให้ความรู้สึกและความเชื่ออันแรงกล้าเกี่ยวกับโลกหลังความตายที่เขาเคยลืมเลือนไปกลับมา และจุดนี้เองที่เป็นเชื้อไฟที่ทำให้ความคิดอันแรงกล้าที่จะพิสูจน์ถึงการมีอยู่ของโลกหลังความตายของเขามีมากขึ้น และความเชื่อนี้ก็ส่งผลไปยังงานวิจัยต่างๆของเขาในอนาคต


    ในช่วงเวลาเดียวกันที่คุนิฮิโกะขึ้นมาบนภูเขา ชิรางิคุที่หลับไหลในศาลเจ้าตุ๊กตาก็สัมผัสได้ถึงคุนิฮิโกะ เธอจึงออกไปหา แต่กลับพบว่าคุนิฮิโกะนั้นไม่ได้เอาของดูต่างหน้าที่สัญญากันมาด้วย อีกทั้งคุนิฮิโกะไม่สามารถมองเห็นร่างวิญญาณของเธอได้เลย ชิรางิคุจึงใช้วิธีการเข้าฝัน โดยรอให้คุนิฮิโกะที่เดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อยงีบพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ และเข้าฝันไปเตือนคุนิฮิโกะ แต่กลับกลายเป็นว่าคุนิฮิโกะคิดว่ามันเป็นเรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้วมันเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น


 ทางด้านๆ คุรุรุกิ เคียวโซ หลังจากที่เขาหนีลงมาจากภูเขาได้ เขาก็พบว่าชิโนะ พี่สาวของเธอได้ขึ้นไปยังภูเขาฮิคามิแล้วฆ่าตัวตายไปเสียแล้ว เขาเชื่อว่าที่พี่สาวของตนฆ่าตัวตาย ต้องเป็นเพราะมิโกะบนภูเขาได้ใช้สายตาอันน่ากลัวของพวกเธอ ชักจูงให้พี่สาวของเขาฆ่าตัวตาย อีกทั้งเคียวโซเอง ก็กลัวสายตาของมิโกะที่สามารถล่วงรู้ถึงความผิดบาปของเขาได้ เขาจึงเตรียมการที่จะขึ้นมาบนภูเขาฮิคามิอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับมีด และคบเพลิง รวมทั้งใบหน้าของเขาที่ลงอักขระไว้เพื่อป้องกันการสัมผัสตัวตนของเหล่าผู้มีพลังวิญญาณได้อีกด้วย ในค่ำคืนนี้เคียวโซจะมาฆ่าล้างมิโกะที่อยู่บนภูเขาให้หมดสิ้น




ในที่สุดช่วงค่ำวันนั้น คุนิฮิโกะก็ได้เดินทางมาถึงบ้านแห่งการคัดสรรเสียที ตั้งแต่เดินทางขึ้นมาบนภูเขานี้ คุนิฮิโกะก็ได้ซึมซับและเรียนรู้ถึงความเชื่อของภูเขามามาก เขาได้เรียนรู้ถึงพิธีสมรสวิญญาณที่บ้านแห่งการคัดสรร ซึ่งมันทำให้เขาเริ่มมีความคิดใหม่ๆ ซึ่งแต่เดินคุนิฮิโกะเขาก็กลัวว่าเขาจะตายอย่างโดดเดี่ยว แต่พอเขาได้ยินเกี่ยวกับพิธีนี้ รวมกับความเชื่อที่ว่าคนในระแวกภูเขานี้ ไม่เชื่อในเรื่องการตายคนเดียว มันก็ทำให้เขาอยากจะตายกับใครสักคนบ้างแล้ว


คุนิฮิโกะได้เดินทางมาถึงเรือนสมรส

แม่เฒ่ามัคนายกทำการต้อนรับคุนิฮิโกะเป็นอย่างดี แม่เฒ่าได้พาคุนิฮิโกะไปยังห้องแต่งงานที่โอเสะนั่งรออยู่ ทันทีที่คุฮินิโกะเปิดประตูเข้าไป เขาก็พบกับสาวงามในชุดเจ้าสาวสีขาวที่อยู่ตรงหน้า ความงดงามของโอเสะได้เอาชนะหัวใจของคุนิฮิโกะทันทีที่เขาพบเห็น คุนิฮิโกะรู้สึกตกหลุมรักโอเสะทันที แต่เขานั้นก็ไม่กล้าที่จะพูดมันออกมา โอเสะที่เห็นคุนิฮิโกะเข้ามาก็พยายามมองคุนิฮิโกะให้ได้น้อยที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่ไปอ่านความคิดของเขา คุนิฮิโกะได้เอาอุปกรณ์และกล้องที่เขาประดิษฐ์ออกมาตั้งพร้อมที่จะถ่ายรูป โอเสะยืนด้วยท่าทางที่สำรวมและงดงาม ก่อนที่คุนิฮิโกะจะกดชัตเตอร์เพื่อถ่ายรูปโอเสะ ด้วยแสงแฟลชนั้น โอเสะจึงผงะเล็กน้อย ดูเหมือนว่ากล้องที่ทำขึ้นมาเพื่อจะจับวิญญาณของคุนิฮิโกะ จะดึงเศษเสี้ยวของวิญญาณโอเสะลงไปในรูปถ่ายเสียแล้ว 


รูปถ่ายของโอเสะ โดยฝีมือของอาโซ คุนิฮิโกะ



คุนิฮิโกะนำภาพถ่ายออกมาจากกล้องของเขาแล้วรีบเดินไปให้โอเสะดูถึงความงดงามของตัวเธอเอง แต่ทว่าตอนนั้นมือของทั้งคู่ก็ได้สัมผัสกัน 


“ข้ารักเจ้า”


ความคิดของคุนิฮิโกะที่เขาคิดในใจพรั่งพรูเข้ามาในจิตใจของโอเสะโดยไม่ทันตั้งตัว โอเสะที่เผลอได้ยินความคิดของคุนิฮิโกะดังนั้น ก็ถึงกับตกใจทำตัวไม่ถูก ตั้งแต่ที่เธอเกิดมา โอเสะไม่เคยมีประสบการณ์อะไรแบบนี้เลย ผู้ชายที่เธอเคยเจอมีแต่คนที่ขอให้เธอช่วยส่องวิญญาณเพื่อที่จะฆ่าตัวตายทั้งสิ้น แต่ครั้งนี้ต่างออกไป มันเป็นครั้งแรกที่หัวใจอันบริสุทธิ์ของโอเสะถูกมอบความรักให้ ประโยคบอกรักของคุนิฮิโกะ ถึงเขาจะไม่ได้พูดมันออกมา แต่มันก็ดันตรึงหัวใจของโอเสะราวกับเป็นคำสาปไปเสียแล้ว 


นอกจากประโยคบอกรักแล้ว ในตอนที่มือของทั้งสองสัมผัสกัน โอเสะก็ได้รู้สึกถีงความรู้สึกของคุนิฮิโกะที่เขากลัวว่าเขาจะต้องมีชีวิตอย่างโดดเดี่ยวแล้วตายคนเดียวอีกด้วย ในตอนนั้นโอเสะอยากจะพูดบอกคุนิฮิโกะว่า ถ้าเป็นที่ภูเขานี้ เขาก็จะไม่โดดเดี่ยวและไม่ต้องตายคนเดียวอีกแล้ว เพราะทั้งตัวเธอและตัวคุนิฮิโกะเองก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสายน้ำด้วยกัน แต่สุดท้ายแล้วโอเสะก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะถ้าเผลอพูดออกไป คุนิฮิโกะจะต้องรู้แน่ๆ ว่าเธออยากให้คุนิฮิโกะมาเป็นเจ้าบ่าวเพื่อเลือกเธอ และมิโกะบนภูเขาฮิคามินั้นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกเจ้าบ่าวเองด้วย เธอจึงต้องปล่อยแล้วรอให้คุนิฮิโกะมีความกล้าที่จะมาพูดบอกรักเธอเอง


สุดท้ายแล้วคุนิฮิโกะก็ไม่ได้บอกความในใจให้โอเสะได้ยิน เขาได้มอบรูปถ่ายให้แม่เฒ่าพร้อมเดินออกไป ทันทีที่ประตูปิดลงอาโซได้ออกจากห้องแต่งงานไป โอเสะได้ร้องไห้ด้วยความเสียใจเป็นอย่างมาก เธอร้องไห้จนแทบหายใจไม่ออก แต่ไม่ว่ายังไงซะเธอก็จะต้องทำหน้าที่เสาหลักให้เสร็จสมบูรณ์ เธอยอมรับในตัวเองแล้วมุ่งหน้าไปที่ศาลเจ้าแห่งความไม่จีรัง ก่อนที่จะนั่งบนเรือฮิกัง แล้วโดยสารมันเพื่อไปยังทะเลสาบดำที่อยู่หลังศาลเจ้าเหนือน่านวารี



    หลังจากเสร็จสิ้นงาน ในคืนนั้นคุนิฮิโกะก็ได้เดินทางออกจากบ้านแห่งการคัดสรรแล้วลงจากภูเขาไป แต่ในระหว่างนั้นเองเคียวโซก็กลับขึ้นมายังภูเขา พร้อมกับความกลัวและความอาฆาตแค้นในจิตใจ


คุรุรุกิ เคียวโซ ในขณะกำลังไล่สังหารเหล่ามิโกะ



      เหล่ามิโกะแห่งวารีทมิฬที่ยังไม่ได้รู้สึกถึงภัยร้ายที่จะเข้ามาหาตน ก็ทำหน้าที่ฝึกฝนกันตามปกติ อิโนริ เอมิ และโฮโนกะ กำลังเดินกันเป็นแถวอยู่ในป่าเหมือนดั่งเคย จนกระทั่งอิโนริที่มีพลังวิญญาณมากที่สุดและยืนอยู่ข้างหลังสุดได้รู้สึกถึงตัวตนของจิตอาฆาตที่กำลังวิ่งมาจากทางด้านหลังถึงแม้ว่าเคียวโซจะลงอักขระมาแล้วก็ตาม แต่ว่ากว่าอิโนริจะรู้สึกถึงตัวตนของเคียวโซก็สายไปเสียแล้ว มันใกล้เกินไปกว่าที่เธอจะหนีได้ เธอถูกเคียวโซใช้มีดฆ่าตายด้วยการฟันในครั้งเดียว 


กลุ่มมิโกะที่เห็นเหตุการณ์ก็ตกใจและวิ่งหนีตายแยกกันไป แต่ก็มีมิโกะอีกสองคนที่หนีไม่ทันโดนเคียวโซฆ่าตาย โฮโนกะถูกเคียวโซใช้มีดแทงข้างหลังทะลุอกด้านหน้าจนตาย ส่วนเอมิก็ถูกเคียวโซใช้มีดเฉือนปากฉีกจนตาย เมื่อเคียวโซสังหารมิโกะทั้งสามนี้สำเร็จ ด้วยความกลัวในดวงตาของมิโกะ เขาก็เลยใช้มีดกดไปที่ดวงตาของมิโกะที่เสียชีวิตแล้วควักพวกมันออกมา หลังจากนั้นเคียวโซก็ไล่ล่ามิโกะแห่งวารีทมิฬคนอื่นๆ บนภูเขาต่อไป


ท่ามกลางเหตุการณ์ความวุ่นวายนี้ มีมิโกะหลายคนวิ่งหนีตายกันอลหม่าน บ้างก็หนีลงมาจากภูเขา บ้างก็หนีไม่ทันถูกฆ่าตาย เคียวโซได้วิ่งไล่ล่ามิโกะจนได้ไปพบกับบ้านแห่งไฟเข้า เขาจึงลอบเข้าไปในบ้านหลังนั้น และก็สังหารเหล่านักบวชพิทักษ์เปลงเพลิงในขณะที่บำเพ็ญตน และตัดหัวของพวกเขามาวางเอาไว้ 


หลังจากที่เขาตรวจสอบรอบๆป่าในภูเขาจนแน่ใจแล้วว่าไม่เหลือใครอยู่บนนั้นอีก เขาจึงนำศพของมิโกะเหล่านั้นที่ถูกควักลูกตาออก โยนลงไปในแม่น้ำ เลือดจากศพของเหล่ามิโกะย้อมสายน้ำให้กลายเป็นสีเลือดแล้วศพของพวกเธอก็ตกสู่ สระน้ำแห่งการชำระล้าง


เคียวโซลงมาที่สระน้ำแห่งการชำระล้าง ในตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว แล้วเขาก็คิดว่าเขาคงไม่ได้รับการตายอย่างเหมาะสมอย่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เพราะตอนนี้เขาได้สังหารผู้ที่ล่วงรู้ถึงบาปของเขาไปจนหมดแล้ว แล้วคนที่เขารู้เรื่องนี้ได้ก็คือตัวเขาเอง เขาจึงปลิดชีพตัวเองด้วยการเผาตัวเองแล้วใช้มีดปาดคอจนตาย


ทางด้านโอเสะ แม่เฒ่าสัปเหร่อ และแม่เฒ่ามัคนายก ที่อยู่ในทะเลสาบดำ พวกเธอไม่รู้เรื่องราวโศกนาฏกรรมการสังหารหมู่ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในภูเขา แต่ในตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่โอเสะจะต้องนำความเจ็บปวดของผู้คนที่เธอส่องมา กลับสู่สายน้ำ และเพื่อที่เธอจะกลายเป็นเสาหลักที่ยิ่งใหญ่ แต่ก่อนที่เธอจะลงโลงสักการะ เธอก็คิดอยู่ในใจว่า ถ้าหากมิโกะเป็นคนคอยแบกรับความรู้สึกของคนอื่นแล้ว จะมีคนที่ช่วยส่องความลับของมิโกะอย่างพวกเธอบ้างมั้ย หลังจากนั้นโอเสะก็ลงไปในโลงสักการะที่ถูกเตรียมไว้ แล้วก็ทำการปิดฝาของโลง แต่ว่า…


โอเสะที่กำลังมุ่งหน้าไปลงโลงสักการะ


ทันทีที่ปิดฝาของโลง ความตายอันมหาศาลที่เคยเกิดขึ้นบนภูเขา และความตายของเหล่ามิโกะในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่กำลังเกิดขึ้นมันได้ถาโถมเข้ามาในจิตใจของโอเสะ ถึงแม้เธอจะเป็นมิโกะผู้ที่พลังสูงมาก แต่การที่โดนความตายของคนจำนวนนับไม่ถ้วนซัดเข้ามาในจิตใจราวกับคลื่นยักษ์ มันก็มากเกินกว่าที่บุปผานิรันดร์คนเดียวจะต้านไหว จิตใจของโอเสะเกินขีดจำกัด เธอไม่สามารถแบกรับสิ่งเหล่านี้ไหวได้ จึงทำให้ฝาของโลงสักการะเปิดออก วารีทมิฬทะลักออกมา ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างบนภูเขาที่สัมผัสโดนมันเกิดความมลทิน ทัศนียภาพของภูเขาถูกสายหมอกแห่งความมืดปิดจนมิดชิน โอเสะหลอมรวมไปกับวารีทมิฬ วิญญาณของเธอถูกความมลทินของวารีทมิฬกลืนกิน จนเธอกลับเป็นวิญญาณชั่วร้ายและขึ้นมาในฐานะเจ้าสาวแห่งวารีทมิฬ




วารีทมิฬทะลักและปกคลุมภูเขาให้อยู่ในความมืด



ในตอนนั้นเองที่คุนิฮิโกะลงมาถึงสะพานมิโกะโมริพอดี เขาหยิบรูปถ่ายของโอเสะอีกใบที่เขาถ่ายเก็บไว้เองขึ้นมา เขาโชคดีมากที่ระหว่างลงภูเขาไม่ได้เจอกับเคียวโซ เขาได้มองไปที่ภูเขา แต่ก็พบว่าภูเขาถูกความมืดมิดกลืนกินไปแล้ว ทำให้เขาเสียใจและคิดว่า เขาคงไม่มีทางได้เจอกับโอเสะอีกแน่นอน


วารีทมิฬได้ปลุกชีพของวิญญาณที่ควรจะกลับสู่สายน้ำบนภูเขาให้ตื่นขึ้นมาในฐานะวิญญาณแห่งความชั่วร้าย วิญญาณของเหล่ามิโกะที่ถูกสังหาร นักบวชและวิญญาณของเหล่าคนที่ฆ่าตัวตาย ได้ตื่นขึ้นมาและพวกมันก็พร้อมที่จะลากคนเป็นที่พวกมันเห็นลงสู่ความตายไปด้วยกัน


ด้านโอเสะที่กลายเป็นวิญญาณเจ้าสาวแห่งวารีทมิฬ ถึงเธอจะกลายเป็นวิญญาณชั่วร้าย แต่เธอก็ไม่ได้กลายเป็นวิญญาณที่บ้าคลั่ง เธอยังคงมีสติเหมือนเดิม โอเสะยังคงรอคอยให้มีใครสักคนมาตายไปพร้อมกับเธอ หรือมารับรู้ และเข้าใจความทรงจำที่เธอต้องแบกรับเพื่อที่เธอจะได้จากไปอย่างหมดห่วง


คุโรซาวะ โอเสะ เจ้าสาวแห่งวารีทมิฬ


นอกจากโอเสะแล้ว วิญญาณของแม่เฒ่าสัปเหร่อและแม่เฒ่ามัคนายกก็ไม่ได้กลายเป็นวิญญาณบ้าคลั่งเช่นเดียวกัน ถึงแม้จะกลายเป็นวิญญาณแล้ว แต่แม่เฒ่าทั้งสองก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเอง แม่เฒ่ามัคนายกก็ยังคงตามหาชายหนุ่มที่จะแต่งงานกับโอเสะ โดยคนที่ถูกเรียกมานั้น จะเป็นคนที่ได้พบกับภาพถ่ายของโอเสะ ส่วนทางแม่เฒ่าสัปเหร่อก็จะใช้สิ่งที่เรียกว่ากระจกตะวันมืด(Dark Sun Mirror) ที่มีความสามารถสะกดจิตคล้ายกับตะวันมืดของจริง หลอกล่อหญิงสาวที่มีพลังวิญญาณและถูกชักจูงด้วยตะวันมืด ให้ขึ้นมาเป็นเสามนุษย์บนภูเขาเพื่อคอยชำระล้างสายน้ำที่ถูกวารีทมิฬกลืนกินต่อไป




กระจกตะวันมืด


หลังจากหายนะครั้งนั้น ทำให้เรื่องราวที่เกี่ยวกับการตายของมิโกะดังสะพัดไปทั่วอาณาเขต ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงได้ ผู้คนที่ไปพบร่างของมิโกะที่อยู่ในสระน้ำแห่งการชำระล้างพร้อมกับร่างของเคียวโซ ก็ได้แต่งเป็นเรื่องเป็นราวว่าชายหนุ่มผู้นี้ได้หลงรักมิโกะคนหนึ่งในภูเขา แต่มิโกะคนนั้นก็เคารพต่อหน้าที่จึงปฎิเสธไป ทำให้ชายผู้นี้แค้นมากจึงขึ้นมาที่ภูเขาแล้วสังหารเหล่ามิโกะจนหมดเสีย ซึ่งผู้คนหลายคนก็เชื่อเรื่องราวนี้และเล่ากันต่อๆมา


ถึงแม้ว่าประเพณีและวัฒนธรรมบนภูเขาฮิคามิจะหายไปเพราะไม่มีมิโกะหลงเหลืออยู่ แต่มันก็ยังคงเป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่อเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย  รวมทั้งยังมีคนหลงและหายตัวไปในภูเขาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด จนกลายเป็นเรื่องสยองขวัญนานาชนิด โดยเฉพาะเรื่องราวของวิญญาณมิโกะบนภูเขา เป็นเรื่องที่ผู้คนกลัวกันมาก


.

.

.

.

.


ผ่านมานานหลายปีคุนิฮิโกะ ได้ออกเดินทางเรียนรู้สิ่งต่างและมีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ เขาถูกผู้คนเรียกว่า ดร.อาโซ คุนิฮิโกะ เขาได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโลกหลังความตายและการที่เขาเดินทางไปหลายๆแห่ง จนเขาสามารถสร้างโปรเจคเตอร์ วิทยุแร่วิญญาณ และกล้องต้นแบบที่เขาอยากสร้างมามากมาย ซึ่งกล้องดังกล่าวก็คือกล้อง Obscura ซึ่งมีความสามารถในการจับภาพวิญญาณได้นั่นเอง


        ในงานวิจัยเกี่ยวกับ ดร.อาโซ ของโฮโจ เรน มีหัวข้อหนึ่ง เขียนไว้ว่า มีช่วงเวลาหนึ่งในขณะที่ ดร.อาโซ กำลังออกเดินทางไปทั่วประเทศ เขาได้กลับมาบ้านในระแวกภูเขาฮิคามิ และประดิษฐ์กล้อง Obscura ที่สามารถจับวิญญาณได้ขึ้นมา 2 ตัว ซึ่งมันก็ตรงตามความฝันในช่วงวัยหนุ่มของเขา เขาได้ใช้ความเชื่อในระแวกภูเขาฮิคามิ มาเป็นส่วนประกอบหลักในการออกแบบกล้องทั้ง 2 ตัวนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะสร้างกล้องพวกนี้ขึ้นมาเพื่ออุทิศให้แก่ใครบางคน และทำให้เห็นว่าภูเขาแห่งนี้มีความสำคัญกับเขามาขนาดไหน


       โดยกล้องตัวแรกเป็นตัวเลนส์เดียว การดีไซน์กล้องตัวนี้ มีธีมเป็นหญิงสาวในโลงสักการะ สังเกตได้จากการที่กล้องตัวนี้จะมีมีฝาเปิดออกตรงด้านหน้าเหมือนกับแท่นบูชาพระหรือโลงสักการะ และมีลวดลายการประดับตกแต่งอันงดงามที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้หญิง ซึ่งอาจสื่อได้ถึงมิโกะผู้งดงามที่เป็นเสามนุษย์ ในภายหลัง กล้องตัวนี้ก็ได้ถูกส่งทอดต่อไปภายในกลุ่มผู้คนที่อาศัยอยู่ในระแวกภูเขาฮิคามิ


กล้อง Obscura เลนส์เดียว


     ส่วนกล้องตัวที่สอง จะเป็นตัวเลนส์ซ้อน การดีไซน์กล้องตัวนี้ มีธีมเป็นหีบสีดำ สามารถถ่ายได้ซ้ำติดต่อกันหลายช็อต ซึ่งในภายหลัง กล้องตัวนี้จะถูกส่งทอดต่อไปภายในตระกูลของเขา


กล้อง Obscura ตัวเลนส์ซ้อน


ผ่านมาหลายปีในช่วงวัยที่เขาอายุเริ่มมากแล้ว มีอยู่วันหนึ่งเขาได้เปิดดูของเก่าๆที่เขาเก็บไว้ตั้งแต่เด็ก เขาก็ได้พบกับกล่องที่บรรจุมวยผมของชิรางิคุไว้ข้างใน ความทรงจำที่เขาเคยคิดว่ามันคือความฝันกลับพรั่งพรูเข้ามาหาเขาอีกครั้ง และเขาก็เริ่มรู้สึกผิดที่ด้วยอายุของเขาในตอนนี้ เขาไม่สามารถเติมเต็มสัญญาที่เขามีไว้ในตอนเด็กอีกแล้ว


เวลาผ่านไปนาน จนกระทั่งคุนิฮิโกะเสียชีวิตลง เหล่ากล้อง Obsucra ที่เขาเคยสร้างก็กระจัดกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง บ้างก็ถูกส่งสืบทอดลงมาอยู่ในตระกูลของลูกหลานของเขาเอง บ้างก็ตกเป็นสินค้าในร้านขายของเก่า แต่ก็มีเรื่องเล่าว่ากล้องที่เขาประดิษฐ์จะนำมาซึ่งลางร้าย เพราะมีเจ้าของหลายคนที่เป็นเจ้าของกล้องนี้ ได้ประสบเหตุร้ายหรือหายตัวไปก็มี ส่วนกล่องที่บรรจุมวยผมของชิรางิคุนั้น ก็ถูกเก็บไว้ที่บ้านเกิดที่ภูเขาคางิโร่ย และต่อมากล่องใบนี้ก็ตกไปอยู่ในตระกูลโฮโจ ซึ่งเป็นตระกูลสาขาย่อยของตระกูลอาโซนั่นเอง


.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

            .

.

.

.

.

.




เวลาผ่านไปนานหลายปีหลังจากเกิดเหตุฆ่าล้างบางมิโกะบนภูเขาฮิคามิ ในช่วงศตวรรษที่ 20 (ปี 1901-ปี2000) ไม่มีเวลาระบุแน่ชัด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานมากเท่าไหร่ แต่เรื่องเล่าน่ากลัวบนภูเขาฮิคามิก็ยังคงมีอยู่เช่นเคย ผู้คนขึ้นไปฆ่าตัวตายหรือหายตัวไปอยู่บ่อยครั้ง บ้างก็ว่ามีเรื่องราวลึกลับว่ามีการพบเห็นมิโกะในชุดสีขาวในภูเขาบ้างอะไรบ้าง แต่สุดท้ายแล้วก็มีครอบครัวหนึ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐหยิบเอาโอกาสนี้มาสร้างภูเขาฮิคามิขึ้นมาใหม่ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพราะถึงแม้จะเป็นสถานที่ที่มีเรื่องเล่ามากมาย แต่ที่นี่เองก็มีธรรมชาติ สายน้ำที่สวยงาม และมีสถานที่โบราณที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน


ครอบครัวนี้คือครอบครัวฮาราคาวะ ชายหนุ่มที่ชื่อโทโมกิ ฮาราคาวะ และพ่อของเขากับครอบครัว ได้เข้ามาสำรวจภูเขา พ่อของโทโมกิได้ทำการสร้างโรงแรมที่มีเป็นโรงแรมบ่อน้ำพุร้อนมิโกะโมริ(Mikomori Hot Springs) ทับศาลเจ้ามิโกะโมริซึ่งในตอนนี้พุพังไปแล้ว หลังจากสร้างเสร็จ พวกเขาก็ตั้งชื่อให้โรงแรมนี้ว่า โรงแรมอิจิรุ(Ichiru Manor) หลังจากนั้นพวกเขาก็คิดริเริ่มโครงการที่จะบูรณะภูเขาทั้งลูกให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว โดยวางแผนที่จะเจาะอุโมงค์(Hikami Tunnel)เพื่อทำถนนเชื่อมไปยังยอดเขาสนธยาที่อยู่ยอดภูเขา และสร้างรถราง(Mount Hikami Cable Car)เพื่อจะได้ให้นักท่องขึ้นไปบนยอดภูเขาง่ายๆนั่นเอง



ทางเข้าอุโมงก์ฮิคามิ


สถานีรถรางที่ 1 สถานีมิโกะโมริ



หลังจากเริ่มโครงการ ก็มีการสร้างถนนเส้นทางใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการขึ้นมายังภูเขา รวมทั้งสร้างทางเดินใหม่ในภูเขา เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นภูเขาอย่างสะดวกสบาย


        เนื่องจากการจะทำถนนเชื่อมไปยังยอดเขาสนธยา จำเป็นต้องผ่านสุสานเก่าแก่อย่างหุบเขาต้องห้าม เจ้าหน้าที่ที่มีความเกี่ยวข้องจึงได้ทำการสำรวจสุสานเพื่อใช้ทำเส้นทาง และพบว่าป้ายหลุมศพจำนวนมากไม่มีชื่อแกะสลักไว้ พวกเขาจึงพยายามจะขุดหลุมศพ เพื่อใช้จัดแสดงร่างของผู้ที่ถูกฝัง แต่กลับกลายเป็นว่าภายในหลุมศพ ไม่มีร่างของผู้ที่ถูกฝังอยู่เลย พวกเขาเลยเชื่อกันว่าป้ายหลุมศพพวกนี้มีไว้เพื่อระลึกถึงคนตายที่สูญเสียร่างกายหยาบไปแล้ว


        หลังจากสำรวจภูเขาเสร็จ ก็มีการตีพิมพ์แผนที่ของภูเขาให้เหล่านักท่องเที่ยวได้ใช้ระหว่างเดินทาง มีนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาได้เข้ามาเยี่ยมชมธรรมชาติของภูเขา บ้างก็มาเพราะความสวยงาม บ้างก็มาเพราะข่าวลือและเรื่องเล่าของภูเขา ซึ่งแน่นอนว่าระหว่างที่นักท่องเที่ยวเข้ามา ก็เกิดเหตุการณ์คนหายไปในภูเขาบ้างอะไรบ้าง เช่นมีนักเรียนมาทัศนศึกษา แต่มีนักเรียนผู้หญิงสองคนได้หายตัวไป ตำรวจก็ได้ลงพื้นที่ แต่ไม่กี่วันต่อมา หนึ่งในนักเรียนผู้หญิงที่หายตัวไปก็โผล่กลับมาอีกครั้ง ด้วยสติสติที่เลือนลอย ทำให้มีข่าวลือหนาหูว่าเด็กนักเรียนคนนั้นถูกผีลักซ่อนไป ทำให้เด็กผู้หญิงที่รอดกลับมาต้องกลับไปที่ภูเขาทุกๆปี การหายตัวแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งจนโทโมกิก็เริ่มเห็นเหตุการณ์เหล่านี้จนชิน


ผู้คนมากมายได้เขามาเยี่ยมชมและเข้ามากราบไหว้ศาลเจ้าตุ๊กตา ซึ่งในตอนนั้นก็มีนักบวชศาสนาชินโตรูปหนึ่งมาประจำการอยู่ที่ศาลเจ้าตุ๊กตา เขาทำหน้าที่ซ่อมตุ๊กตาเก่าๆที่อยู่ในศาลเจ้าและคอยสืบค้นประวัติศาลเจ้าแห่งนี้


ในขณะที่นักบวชรูปนั้นกำลังซ่อมตุ๊กตา เขาก็พบว่าตุ๊กตานั้นถูกสลักชื่อเอาไว้ รวมทั้งมีเถ้ากระดูก เล็บและมวยผมอยู่ข้างในตุ๊กตา ในตอนแรกที่นักบวชมาที่นี่เขาก็ได้พบถ้ำนาภีที่อยู่ใต้ศาลเจ้าและพบว่าข้างในนั้นมีศพคนมากมาย เขาจึงคิดที่จะบูรณะใต้ดินนี้ใหม่ให้เป็นห้องเก็บของ รวมทั้งนำกระดูกของศพไปใส่ในตุ๊กตาตัวแทน เพื่อเป็นการให้วิญญาณของพวกเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอีกด้วย


แต่พออยู่ไปนานๆเข้า ทุกๆคืนที่เขานอน เขาก็จะฝันว่าเขาได้ยินเสียงเด็กๆวิ่งเล่นเกมซ่อนตุ๊กตากัน แล้วพอตื่นขึ้นมา นักบวชก็พบบางสิ่งผิดปกติในศาลเจ้า เขามักจะสังเกตเห็นตุ๊กตาที่เขาเคยวางไว้เคลื่อนย้ายไปอยู่ตำแหน่งอื่นในทุกๆคืนที่เขาฝัน ทุกๆวันเขาก็เริ่มฝันว่าได้ไปเล่นกับเด็กพวกนั้น จนถึงคืนหนึ่งที่เขาได้พบว่าลูกสาวของเขาก็เป็นหนึ่งในเด็กที่อยู่ในฝันด้วย ในตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกตัวว่าเขาถูกจ้องมองอยู่ เขาเลยสะดุ้งตื่นขึ้นมา สิ่งที่อยู่ข้างหน้าเขาคือเด็กผู้หญิงตาสีแดงผมสีขาว เด็กคนนั้นคือชิรางิคุที่ถอดวิญญาณออกมาจากโลงสักการะนั่นเอง ชิรางิคุมองไปที่นักบวชคนนั้น เธออ่านจิตใจของนักบวชเลยรู้ว่านักบวชคนนั้นคิดถึงลูกสาวของตัวเอง ชิรางิคุเลยปลอบใจนักบวชคนนั้นว่าไม่เป็นไรเพราะลูกสาวของเขากำลังเล่นกับตุ๊กตาที่เขาซ่อมอยู่ แล้วชิรางิคุก็หายตัวไป


คืนต่อมานักบวชก็ฝันถึงเด็กพวกนั้นอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาเล่นกันอย่างสนุกสนานจนในที่สุด เด็กเหล่านั้นก็หายไปในสายหมอก นักบวชจึงแอบคิดว่าจะเป็นยังไงถ้าเกิดเด็กพวกนั้นพาตัวเขาเองไปด้วย เขานอนฝันแทบทุกๆคืนจนมีคืนหนึ่ง เขาได้ฝันถึงฝันที่อึดอัดมากๆสำหรับเขา เขาฝันถึงกลุ่มผู้ชายกลุ่มหนึ่งถือโลงสักการะและคบเพลิงเดินกันมาที่ใต้ดินของศาลเจ้า ทำให้ตอนนั้นเขาได้รู้ว่าชิรางิคุ เด็กผู้หญิงผมสีขาวที่เขาเคยเจอ นอนอยู่ในโลงนั้น แต่ความรู้สึกที่เขาเห็นมันทำให้เขารู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าชิรางิคุกำลังรอใครสักคน ใครสักคนที่มีของดูต่างหน้าของเธอ และแน่นอนว่าคนๆนั้นไม่ใช่เขาแน่ๆ


        นอกจากศาลเจ้าตุ๊กตาแล้ว ก็มีสถานที่อีกสองแห่งที่ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน นั่นคือสระน้ำแห่งการชำระล้างและศาลเจ้าแห่งความไม่จีรัง


        สำหรับสระน้ำแห่งการชำระล้าง ถึงจะมีเรื่องเล่าน่ากลัวที่เกี่ยวกับเหล่าศพของมิโกะที่เคยไหลลงสู่ ณ ที่แห่งนี้ก็ตาม แต่ในตอนนี้มันได้กลายมาเป็นจุดจัดแสดงการชำระล้างร่างกายของเหล่ามิโกะให้นักท่องเที่ยวได้รับชมไปเสียแล้ว


        ส่วนศาลเจ้าแห่งความไม่จีรัง ก็เป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวไม่แพ้กัน มีการเปิดประตูด้านหน้าของศาลเจ้า ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปกราบไหว้บูชาและชื่นชมตะเกียงนับไม่ถ้วนภายในนั้นเช่นกัน




ในระหว่างที่การท่องเที่ยวกำลังไปได้สวย ทางด้านโรงแรม ในช่วงระหว่างที่คนมาท่องเที่ยวและพักที่โรงแรมอิจิรุกัน ก็ได้มีชายหนุ่มครึ่งอังกฤษครึ่งญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อว่าวาตาไร เคย์จิเข้ามาเยี่ยมชมภูเขาด้วย เคย์จิเป็นนักคติชนวิทยา เขาสนใจในประเพณีวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก เขาเดินทางไปทั่วทั้งญี่ปุ่นและศึกษาวัฒนธรรมมาหลายพื้นที่ จนมาถึงภูเขาฮิคามิ ทันที่เคย์จิเห็นธรรมชาติอันสวยงามของภูเขา เขาจึงค้นคว้าหาข้อมูลและศึกษาความเป็นมาของพื้นที่


วาตาไร เคย์อิจิ


เคย์จิศึกษาภูมิปัญญาในท้องที่จนเขาได้รู้ว่า ในอดีตคนในพื้นที่แห่งนี้จะบูชาสายน้ำกัน แต่เขาก็มีคำถามในหัวอยู่มากมาย เพื่อที่เขาจะได้เข้าใจความเชื่อนี้มากยิ่งขึ้น เขาจึงสร้างบ้าน(Watarai Residence)ไว้บนภูเขาฮิคามิ 


ในระหว่างนั้นเอง เคย์จิก็ได้ศึกษาและเก็บสะสมภาพถ่ายศพด้วย ด้วยความที่ภาพถ่ายศพนี้มีอิทธิพลมาจากทางตะวันตก มันจึงทำให้เจ้าของโรงแรมอิจิรุที่เป็นพ่อของโทโมกิสนใจ เพราะว่าพ่อของเขานั้นแต่เดิมก็เป็นคนที่สนใจในวัฒนธรรมต่างชาติอยู่แล้ว ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกัน พ่อของโทโมกิจึงช่วยเคย์จิตามหารูปถ่ายศพในระแวกรอบๆพื้นที่มาให้เคย์จิด้วย

 

เคย์จิได้ศึกษาเกี่ยวกับภาพถ่ายศพ ซึ่งเขาพบว่าการถ่ายภาพศพของญี่ปุ่นมันมีลักษณะพิเศษที่ต่างจากทางตะวันตก มันทั้งสวยงามและดูเศร้าโศก เขาศึกษาเบื้องหลังที่เกี่ยวกับภาพถ่ายเหล่านี้ เขาจึงได้พบว่าภาพเหล่านี้ถูกถ่ายโดยกล้องของ ดร.อาโซ คุนิฮิโกะ แล้วเขาก็ได้อ่านบันทึกที่หลงเหลือของคุนิฮิโกะ ทำให้เคย์อิจิรู้ว่าคุนิฮิโกะมีความตั้งใจที่จะสร้างกล้องที่จับภาพวิญญาณได้


เคย์จิทำการศึกษาวัฒนธรรมบนภูเขาไปเรื่อยๆ บ้านของเขาที่ถูกสร้างบนภูเขาฮิคามิเต็มไปด้วยเหล่าหนังสือมากมาย เคย์จิเริ่มรู้เกี่ยวกับพิธีกรรมบูชายัญเสามนุษย์ในอดีต และได้เขียนบทความและหนังสือเกี่ยวกับมันออกมามากมาย ในระหว่างนั้นเองเขาก็ยืมเทปมาจากพ่อของโทโมกิที่บันทึกเกี่ยวกับศาลเจ้ามิโกะโมริในอดีตก่อนที่จะถูกสร้างใหม่เป็นโรงแรม และมันก็ทำให้เขาได้รู้ว่าเทปนี้เป็นของบุคคลสุดท้ายที่มีชีวิตรอดออกไปจากภูเขาฮิคามิได้ นั่นก็คือ ดร. อาโซ นั่นเอง เคย์จิพบว่าระหว่างที่ ดร. คุนิฮิโกะ รับงานถ่ายภาพศพ เขาก็เคยถูกเชิญมาที่ภูเขานี้เพื่อถ่ายภาพมิโกะ และมิโกะคนนั้นก็ถูกถ่ายด้วยกล้องพิเศษที่คุนิฮิโกะสร้างขึ้นมา ทำให้เขาอยากได้ภาพถ่ายของมิโกะคนนั้นมาก เพราะมันจะทำให้เขาสามารถเปิดเผยถึงความลับของภูเขาได้มากขึ้น แต่ก็ยังมีปัญหาอีกอย่างคือ เขาได้พบว่า ดร. คุนิฮิโกะถูกเชิญไปที่บ้านแห่งการคัดสรร ซึ่งที่นั่นเป็นสถานที่ส่วนบุคคล มีแค่เฉพาะคนที่ถูกเลือกเท่านั้นที่จะไปได้ ทำให้เขาเริ่มมีความคิดที่จะไปที่บ้านแห่งนั้นบ้าง


เคย์จิออกสำรวจภูเขาเหมือนทุกที แต่เขาก็คงคิดหาวิธีที่อยากจะไปบ้านแห่งการคัดสรรอยู่ จนวันหนึ่งเขากำลังจะเดินขึ้นไปยังบนยอดเขา ที่นั่นเขาก็ได้พบกับทางเดินเล็กๆ แต่ว่าสุดปลายทางด้านหน้าของทางเดินที่ว่า ถูกต้นไม้และหญ้าขึ้นสูงปิดบังจนหมด ตรงบริเวณนั้นมีเอกลักษณ์ต่างจากที่อื่นเพราะบริเวณนั้นมีดอกฮิกังบานะอยู่เต็มไปทั่ว ในตอนนั้นเองเขาก็พบกับภาพใบหนึ่งตกอยู่ในบริเวณนั้น เขาจึงเก็บภาพนั้นขึ้นมาดู ภาพนี้ก็คือภาพของมิโกะที่มีชื่อว่าโอเสะที่ถูก ดร.คุนิฮิโกะถ่าย ซึ่งภาพนี้เป็นภาพที่เขากำลังตามหาอยู่นั่นเอง เขาได้ดูภาพของโอเสะเขาก็รู้สึกว่าคนในภาพถ่ายนี้สวยงามมาก แต่ทันทีที่เขาคิดแบบนั้น เขาก็ถูกต้องสาปทันที เศษเสี้ยววิญญาณของโอเสะที่อยู่ในรูปถ่ายนั้นได้ตรึงความรู้สึกของเคย์จิด้วยเสียงกระซิบ เคย์จิกำลังตกหลุมรักโอเสะที่อยู่ในภาพถ่ายเสียแล้ว


เคย์จิเริ่มมีความต้องการจะไปที่บ้านแห่งการคัดสรรมากขึ้น เขาจึงทำการค้นคว้าข้อมูลจนพบกับพิธีสมรสวิญญาณ รวมถึงเรื่องเล่าของรูปถ่ายด้วย แต่ว่าตอนนี้มันไม่ทันแล้ว หัวใจของเขาเริ่มใฝ่หามิโกะในภาพถ่ายนั้นมากยิ่งขึ้นไปอีก


ผ่านมาไม่กี่วันในที่สุดทางเดินที่สวนของฮิกังบานะก็เปิดออก บ้านแห่งการคัดสรรได้ต้อนรับเคย์จิเสียที เคย์จิจึงนำรูปถ่ายของโอเสะติดตัวไว้กับเขาและเดินเข้าไปในเรือนสมรสตามที่ตัวเองต้องการมานาน เขาได้เดินไปถึงหน้าห้องแต่งงาน แต่ทันทีที่ประตูเปิดออก เบื้องหน้าของเขากลับไม่ใช่เจ้าสาวในชุดสีขาวเหมือนในรูปถ่าย แต่กลับเป็นเจ้าสาวในชุดดำมืดที่มีใบหน้าอันน่ากลัวรอคอยเขาอยู่ จากจิตใจของเคย์จิที่เคยหลงไหล ก็กลับกลายเปลี่ยนเป็นความกลัวในชั่วเวลาเสี้ยววินาที ร่างกายของเขาจึงถูกดึงและหักบิดเบี้ยวเสียชีวิต เนื่องจากพิธีสมรสของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า ร่างของเขาจึงถูกจับยัดลงหีบสักการะ ส่วนบ้านของเขาที่ตั้งอยู่บนภูเขาก็ถูกสายหมอกของภูเขากลืนกินและหายไปทั้งหลัง


เป็นเวลาหลายสิบปีที่ตั้งแต่ที่วารีทมิฬทะลักออกมา ชายหนุ่มคนแล้วคนเล่าได้หลงคำสาปของรูปถ่ายโอเสะและเข้ามาหาเธอ แต่ทุกคนที่เจอเธอล้วนก็แล้วแต่เกรงกลัวไม่ก็เกิดความลังเลในใจ วิญญาณของแม่เฒ่ามัคนายกก็ได้แต่คิดในใจ ว่าคนที่โอเสะรอคอยคงจะมีแค่อาโซ คุนิฮิโกะ เท่านั้น


ทางด้านพ่อของโทโมกิที่เป็นเจ้าของโรงแรมอิจิรุพบว่าเพื่อนของเขาอย่างเคย์จิได้หายตัวไป เขาและคนหลายคนได้จัดตั้งทีมค้นหากันแต่ก็ไม่พบตัวของเคย์จิรวมถึงทางเดินที่พาไปยังบ้านของเคย์จิก็หายไปด้วย


เขาทำการออกสำรวจหลายครั้ง จนวันหนึ่งเป็นวันที่ฝนตก พ่อของโทโมกิได้ขึ้นไปบนภูเขาและก็ได้พบกับอัลบั้มภาพถ่ายศพที่เขาเคยสะสมรวบรวมกับเคย์จิ เขาได้เปิดดูแล้วรีบนำมันกลับลงมาที่โรงแรมในสภาพที่เปียกโชก


โทโมกิเห็นพ่อของตัวเองกลับมาในสภาพที่เปียกโชกพร้อมกับอัลบั้มภาพถ่าย เขาก็ได้สังเกตเห็นว่าพ่อของเขานั้นสีหน้าเป็นประกายราวกับถูกครอบงำ แล้วไม่กี่วันหลังจากนั้นพ่อของโทโมกิก็หายตัวไปอีกคนหนึ่ง


อัลบั้มภาพถ่ายศพที่พ่อของโทโมกิและเคย์อิจิช่วยกันรวบรวม



โทโมกิที่ตอนนี้เป็นเจ้าของโรงแรมอิจิรุ เขาคิดได้แต่ว่าพ่อของเขาถูกผีลักซ่อนไปเหมือนกับเคย์จิและคนอีกหลายๆคนที่เคยมาเที่ยวภูเขา ซึ่งในตอนนั้นเองอุโมงค์ที่พวกเขาเจาะสร้างก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ส่วนรถรางที่ใช้ขึ้นไปยังยอดเขาก็กำลังไปได้สวยเหมือนกัน ถึงแม้พ่อของเขาจะหายไป แต่ธุรกิจของเขากำลังจะรุ่งเรือง ซึ่งจะทำให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับลูกสาวและภรรยาของเขาเสียที


แต่วันหนึ่งการขุดเจาะอุโมงค์ที่ดูเหมือนจะไปได้สวย ได้ไปเจาะโดนผนังถ้ำของถ้ำนาภีเข้าทำให้เกิดดินถล่มสามรอบและมันก็ปิดทางออกอุโมงค์ไว้หมด ผนังถ้ำของฝั่งยอดเขาได้ถล่มลง น้ำมากมายมหาศาลที่ปนเปื้อนวารีทมิฬได้พุ่งเข้ามาจนท่วมอุโมงค์ ทำให้มีคนงาน 18 คนที่ติดอยู่ในถ้ำ เจ้าหน้าที่ได้ค้นพบว่ามีผู้รอดชีวิตอยู่ภายใน แต่การที่น้ำไหลเข้ามาจากรูถ้ำไม่หยุดทำให้การเข้าไปช่วยเหลือเป็นไปได้ยากลำบาก สุดท้ายแล้วพวกเขาจึงทำได้แค่รอให้น้ำหยุด


หลังจากน้ำหยุดหมดแล้ว ทางการจึงส่งทีมสำรวจเข้าไปข้างในอุโมงค์ พวกเขาพบศพของคนงาน 13 คน แต่กลับไม่พบศพของอีก 5 คน พวกเขาได้พบสิ่งแปลกประหลาดบนศพทั้ง 13 ศพ บนศพเหล่านั้นมีคราบน้ำสีดำติดอยู่ตามร่างกายพวกเขาทำให้ศพของพวกเขาเน่าเปื่อย พวกเขาทำการสำรวจไปจนทั่วอุโมงค์ก็ยังไม่เจอร่างของอีก 5 คน พวกเขาสำรวจเรื่อยๆ ให้แน่ใจจนพบกับรูที่ดูเหมือนว่าจะถูกขุดด้วยมืออยู่ รูนี้เชื่อมไปยังถ้ำที่อยู่ภายใน ด้วยความหวังที่จะพบผู้รอดชีวิต หน่วยค้นหาจึงได้เข้าไปข้างใน


หน่วยค้นหาได้พบกับหีบสีดำมากมาย ซึ่งพวกเขาได้ติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่เพื่อขนย้ายมัน แต่ระหว่างนั้นเองก็มีรายงานแปลกๆ กลับมาว่าพวกเขาได้พบกับผู้หญิงในชุดกิโมโนสีขาวภายในถ้ำด้วย สมาชิกในหน่วยค้นหาได้ลองสัมผัสกล่องเหล่านั้น พวกเขาพบว่ามือของตนมีน้ำสีดำเปรอะเปื้อนและมันกำลังทำให้เซลล์เนื้อเยื่อของพวกเขาเน่าเปื่อยอย่างช้าๆ พวกเขาจึงติดต่อเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการขนย้ายหีบสีดำเหล่านี้ 


หลังจากนั้นไม่นานก็มีการติดต่อกลับมาจากหน่วยค้นหาว่า มีคนสามคนได้หายตัวไป ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาก็พบศพสมาชิกทั้งสามคน ซึ่งสองคนเป็นสมาชิกภายในหน่วย และอีกคนเป็นหัวหน้าหน่วยค้นหา พวกเขานอนกลายเป็นศพอยู่ที่ทางเข้าถ้ำตรงแอ่งน้ำมิโกะโมริ กระดูกของพวกเขาหักและร่างของพวกเขาก็มีอาการเน่าเปื่อยจากน้ำสีดำอีกด้วย เนื่องจากการเสียชีวิตของหัวหน้าหน่วยค้นหา การค้นหาจึงถูกยุติลง รวมถึงการก่อสร้างเช่นกัน เหตุการณ์นี้จึงทำให้ผู้คนลือกันว่ามันเป็นคำสาป


แต่ถึงอุโมงก์จะไปได้ไม่สวยแต่การก่อสร้างรถรางก็เสร็จสมบูรณ์ รถรางนี้มีอยู่สามสถานี ได้แก่ มิโกะโมริ ป่าวงกต และศาลเจ้าแห่งความไม่จีรัง ทำให้การขึ้นไปยังยอดเขาเป็นเรื่องง่ายสำหรับนักท่องเที่ยว พอรถรางสร้างเสร็จ หลังจากนั้นอีกไม่นานสักพักการก่อสร้างอุโมงก์ก็เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยที่มันจะเชื่อมไปยังทางออกฝั่งตะวันออกของภูเขา



หลังจากที่รถรางเปิดให้ใช้งานไม่กี่วัน ก็เกิดเหตุการณ์ดินถล่มอีกครั้งและเป็นครั้งที่หนักหนาสาหัสที่สุด ดินถล่มในครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายต่อภูเขาฮิคามิและแผนการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก มันได้ถล่มทับทางเดินที่เชื่อมต่อไปยังศาลเจ้าด้านบน รวมทั้งทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมขังหุบเขาต้องห้าม เปลี่ยนแปลงภูมิประเทศของภูเขาไปอย่างถาวร รวมทั้งสร้างความเสียหายให้แก่โรงแรมอิจิรุที่ผู้คนเข้ามาพักอาศัยกัน ส่งผลทำให้มีคนเสียชีวิตรวมทั้งลูกสาวและภรรยาของโทโมกิที่เป็นเจ้าของโรงแรมด้วย


ทางการได้สั่งการระงับแผนการที่จะเปลี่ยนพื้นที่ให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทันที การก่อสร้างอุโมงค์จึงหยุดลง รถรางที่เปิดให้ใช้ขึ้นไปยังภูเขาก็ถูกปิดเช่นกัน มีข่าวลือกันหนาหูอีกครั้งว่า สาเหตุที่เกิดภัยพิบัติเกิดมาจากคำสาป เป็นเพราะการก่อสร้างที่ไปทับพื้นที่และตัดผ่านพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของภูเขาลูกนั้น


ด้านโทโมกิเจ้าของโรงแรม หลายวันหลังจากที่เกิดดินถล่ม โรงแรมเสียหายและถูกดินที่ถล่มทับกินไปครึ่งหนึ่งของอาคาร ทำให้น้ำทะลักเข้ามาท่วมข้างใน เขาได้นอนเกลือกกลิ้งคนเดียวในความมืดอยู่หลายวัน ลูกสาวและภรรยาของเขาก็จากเขาไปแล้ว เขาเดินโซซัดโซเซไปค้นของเก่าที่เขาเก็บไว้ ทำให้เขาได้พบกับอัลบั้มภาพถ่ายศพที่พ่อของเขาเคยเก็บไว้ ในตอนนี้เองโทโมกิก็ได้เข้าใจความสวยงามของภาพถ่ายศพที่พ่อของเขาและเคย์จิตามหา แต่ยังไงซะสิ่งนี้ก็เป็นแค่สิ่งเดียวที่พ่อของเขาหลงเหลือให้เขา 


ถึงจะเหลือแค่อัลบั้มภาพ แต่โทโมกิก็ไม่สามารถอดทนกับความโศกเศร้าที่สูญเสียสิ่งที่เขารักไปหมดแล้วได้ ตอนนี้เขาไม่เหลืออะไรแล้ว โทโมกิจึงขึ้นไปยังห้องสังเกตการณ์บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมก่อนที่เขาจะวางเพลิงทั้งโรงแรมนั้นให้ไม่เหลือชิ้นดี ในตอนนั้นเอง โทโมกิเขาก็ได้เห็นตะวันตกดินที่สวยงามมาก ซึ่งมันกำลังจะเรียกเขากลับสู่สายน้ำ โทโมกิได้เอาเชือกมามัดเป็นบ่วงและจะแขวนคอตัวเองจากชั้นดาดฟ้าของโรงแรม แต่ระหว่างที่เขากำลังลังเลที่จะกระโดดลงไปนั้น เขาก็ได้พบกับวิญญาณของคุรุรุกิ ชิโนะเข้า ชิโนะได้จับขาของโทโมกิซึ่งไม่ว่าโทโมกิจะดิ้นเท่าไหร่ เขาก็ไม่สามารถไปไหนได้ สุดท้ายเขาก็ตกมาจากตึก เชือกที่แขวนคอเขาได้กระตุกคอของเขา ร่างของโทโมกิก็ได้กระแทกกับกระจกของโรงแรมชั้นล่าง ทำให้เศษกระจกทิ่มร่างหลังของเขาและตายในทันที



โรงแรมอิจิรุในสภาพทรุดโทรม


        เวลาสำหรับจุดท่องเที่ยวของภูเขาฮิคามิได้สิ้นสุดลง นักท่องเที่ยวเริ่มห่างหายจากภูเขาฮิคามิ เรื่องเล่าสยองขวัญเกี่ยวกับบ้านล่องหนของวาตาไร เคย์จิและตำนานอื่นๆ ก็ถูกเล่าขานดังไปทั่วในกลุ่มสยองขวัญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกนักคติชนวิทยาที่ศึกษาพิธีกรรมมืดจับไปทำเครื่องสังเวย ไม่ก็เรื่องที่เห็นมิโกะยืนอยู่หน้าศาลเจ้าแห่งความไม่จีรังในวันที่หมอกหนา เห็นศพของมิโกะที่ถูกฆ่าไหลลงสู่สระน้ำจนถูกเรียกว่าสระน้ำของเหล่ามิโกะ เห็นเงาคนยืนถ่ายรูปอยู่ข้างรถราง เห็นเด็กผู้หญิงผมขาวยืนจ้องออกมาจากศาลเจ้าตุ๊กตา หรือแม้แต่เห็นวิญญาณของเจ้าของโรงแรมมองลงมาจากชั้นดาดฟ้า


        หลังจากที่ไร้นักท่องเที่ยว ก็มีผู้คนหลายคนขึ้นไปทดสอบความกล้าหรือฆ่าตัวตายตัวตายกันมากขึ้น ทำให้จุดที่เคยกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวกลายเป็นจุดแห่งการฆ่าตัวตายอีกครั้ง ผู้คนเดินทางไปยังภูเขาหลายวิธีไม่ว่าจะเดินขึ้นไป หรือผ่านอุโมงก์ที่ยังสร้างไม่เสร็จ ด้วยการที่มีข่าวลือว่ามีคนหายตัวไประหว่างที่เดินผ่านอุโมงค์ฮิคามิ ทางการจึงทำการเข้ามาปิดทางเข้าอุโมงค์นั้น

มีหญิงสาวคนหนึ่งได้ขึ้นไปบนภูเขาฮิคามิ เธอได้ขึ้นและพบเจอกับบ้านล่องหนของวาตาไร เคย์จิ เธอจึงเข้าไปสำรวจพร้อมอัดวิดีโอเก็บเอาไว้ แต่ว่าเธอก็ถูกวิญญาณของเคยจิเข้าโจมตีและหายสาปสูญไปพร้อมกับบ้านหลังนั้น เหลือแต่เทปที่อัดวิดีโอไว้ตกอยู่ 


บ้านร้างของวาตาไร เคย์อิจิ

หลังจากนั้นไม่นานก็มีคนไปพบกับเทปนี้ตกอยู่ใกล้กับแม่น้ำในภูเขา มันจึงถูกส่งต่อให้สตูดิโอภาพยนต์ซุยเกนฉะ ทีมงานได้ตรวจสอบวิดีโอพบว่ามันมีบางส่วนเสียหายไปเพราะน้ำ พวกเขาจึงตัดต่อมันก่อนที่จะเผยแพร่ให้คนอื่นๆ วิดีโอดังกล่าวได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้ามากมาย แต่สุดท้ายตัวต้นฉบับที่ถูกเก็บได้มาก็ถูกทางตำรวจยึดเอาไว้ ตำรวจได้ขึ้นไปตรวจสอบภูเขาฮิคามิและหลังจากนั้นภูเขาฮิคามิก็กลายเป็นเขตหวงห้าม ทางการได้นำรั้วเหล็กขึ้นมาวางกั้นไว้ไม่ให้ใครขึ้นไปอีก แต่ถึงอย่างนั้นผู้คนที่แสวงหาความตายก็ได้นำอุปกรณ์ขึ้นไปตัดแหวกรั้วนั้นเข้าไปอยู่ดี


.

.

.

.

            .


ในปี 1986 ฮินาซากิ มาฟุยุ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง และเป็นผู้ช่วยอาจารย์ จุนเซย์ ทาคามิเนะ นักเขียนชื่อดัง มาฟุยุมีน้องสาวอยู่หนึ่งคนชื่อว่าฮินาซากิ มิกุ ทั้งคู่เป็นคนที่มีพลังวิญญาณเหมือนกันและเนื่องจากพ่อแม่ของทั้งคู่เสียชีวิตไปแล้ว พวกเขาจึงใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแค่สองคน 


ฮินาซากิ มิกุ(1986) และฮินาซากิ มาฟุยุ


              วันหนึ่งอาจารย์ทาคามิเนะกับลูกทีมได้ไปสำรวจคฤหาสน์ฮิมุโระ เพื่อนำข้อมูลมาเขียนหนังสือเรื่องใหม่ แต่กลับกลายเป็นว่าหลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาและลูกทีมก็ได้ขาดการติดต่อไป มาฟุยุที่เห็นว่าอาจารย์ของตนได้หายตัวไป ก็ค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับคฤหาสน์ และมุ่งตรงไปยังคฤหาสน์ฮิมุโระพร้อมกับกล้อง Obscura ที่ถูกสืบทอดลงมาในตระกูล แต่ทว่าเขาก็หายตัวไปอีกคน


สองอาทิตย์ผ่านมา ฮินาซากิ มิกุ เห็นว่าพี่ชายของตัวเองหายตัวไป สำหรับเธอแล้วพี่ชายของเธอก็เปรียบเสมือนครอบครัวคนเดียวของเธอ อีกทั้งพี่ชายของคือเธอยังเป็นคนเดียวที่เข้าใจในพลังที่เธอมีอีกด้วย มิกุได้สำรวจเอกสารของพี่ชายและมุ่งตรงไปยังคฤหาสน์ฮิมุโระเพื่อไปช่วยเหลือพี่ชายของเธอกลับมา (เหตุการณ์ใน Fatal Frame ภาคที่ 1) 


ผ่านมา 4 คืน มิกุกลับมาคนเดียว พี่ชายของเธอหายตัวไปและสัมผัสที่หกที่เธอเคยมีก็หายไปด้วย ทำให้อาโซ ยู หนึ่งในลูกหลานของคุนิฮิโกะ อาโซและเป็นเพื่อนของมาฟยุได้รับเลี้ยงดูแลมิกุแทน


อาโซ ยู

มิกุได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านของยู ที่นั่นเธอได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ชื่อว่า คุโรซาวะ เรย์ ที่เป็นคู่หมั้น ซึ่งเรย์ก็เป็นหนึ่งในทายาทของเหล่ามิโกะที่หนีลงมาจากเหตุการณ์สังหารหมู่บนภูเขาฮิคามิ ที่นี่มิกุคิดจะเริ่มชีวิตใหม่ แล้วคิดจะลืมความโศกเศร้าของเธอที่สูญเสียพี่ชายไป


ฮินาซากิ มิกุ(1988)และคุโรซาวะ เรย์


มิกุได้ทำงานเป็นผู้ช่วยเรย์ได้การถ่ายภาพ เพราะเรย์เป็นช่างภาพ ทั้งคู่ได้ออกไปทำงานกันหลายรอบจนทั้งคู่สนิทกัน จนกระทั่งในปี 1988 เรย์ได้ขับรถออกข้างนอกกับยู แต่คืนนั้นฝนตกหนัก รถที่เรย์ขับเสียหลักพลิกคว่ำ เรย์รอดมาได้ แต่ยูเสียชีวิต


เหตุการณ์นั้นทำให้เรย์โศกเศร้าและโทษตัวเองหนักมาก มิกุจึงคอยปลอบใจเรย์และดูแลเรย์อย่างใกล้ชิด เรย์เริ่มรับงานน้อยลง แต่ทว่าก็มีครั้งหนึ่งที่เรย์ได้รับงานให้ไปถ่ายศาลเจ้าร้างแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าศาลเจ้าคุเซะ ซึ่งสถานที่นี้ก็มีชื่อเสียงความเฮี้ยนเป็นอย่างมาก และที่นั่นเองเรย์ก็พบกับวิญญาณของยู


หลังจากกลับมาที่บ้าน เรย์ก็เริ่มฝันแปลกๆเห็นคฤหาสน์แห่งนั้นซึ่งรูปลักษณ์ของคฤหาสน์นั่นก็เหมือนกับศาลเจ้าที่เธอเคยไปถ่ายรูปมา (เหตุการณ์ในภาค 3) ไม่ใช่แค่เรย์เท่านั้นที่ฝันเห็นคฤหาสน์หลังนั้น แต่มิกุเองก็เริ่มฝันแบบนั้นเหมือนกัน ทั้งคู่ได้พบกับมิโกะรอยสักและติดคำสาปรอยสัก


ความทรงจำที่อยู่ในคฤหาสน์ฮิมุโระและความโศกเศร้าของมิกุที่สูญเสียพี่ชายของเธอเริ่มหวนคืนเข้ามาหาเธออีกครั้งหนึ่ง ซึ่งในตอนนี้ทั้งเรย์และมิกุพวกทั้งคู่ได้ช่วยเหลือกันเพื่อเอาชนะคำสาปนี้


ระหว่างที่ติดคำสาปเรย์ก็ได้รู้ว่ามีชายคนหนึ่งได้ติดคำสาปเช่นกัน ชายคนนั้นคืออามาคุระ เคย์ เพื่อนของยูและมาฟุยุ เคย์ได้ติดคำสาปเพราะเขาพยายามที่จะช่วย อามาคุระ มิโอะ(นางเอกจากภาค 2)ที่ติดคำสาปนี้เช่นเดียวกัน โดยเขาจะหาข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์มาให้เรย์ ในตอนนั้นเองอาการของมิกุก็หนักขึ้น จนคืนหนึ่งเธอได้พบกับวิญญาณของมาฟุยุในคฤหาสน์นั้น เธอจึงตัดสินใจวิ่งตามมาฟุยุไปและไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าเรย์จะพยายามห้ามมิกุยังไง มันก็ไม่ทันเสียแล้ว



อามาคุระ มิโอะ และ อามาคุระ เคย์


หลังจากนั้น เคย์ก็ได้มุ่งตรงมายังบ้านของเรย์พร้อมนำข้อมูลสุดสำคัญที่จะใช้พิฆาตคำสาปครั้งนี้มาให้เรย์ เขาได้อาสาว่าจะทำแผนนี้ด้วยตัวเขาเอง


ด้านมิกุที่ได้เจอพี่ชายในโลกระหว่างความเป็นความตาย เธอได้เข้าไปคุยกับมาฟุยุและครั้งนี้มิกุจะไม่ยอมเสียพี่ชายของเธอไปอีก เพราะเธอไม่อยากสูญเสียบุคคลที่เข้าใจตัวเองมากที่สุดไปอีกแล้ว ด้วยความปราถนาอันแรงกล้าที่อยากอยู่กับพี่ชายของเธอ ณ สถานที่ระหว่างคนเป็นและคนตายแห่งนั้น จึงกำเนิดพลัง กลายเป็นชีวิตใหม่ระหว่างคนเป็นและคนตายขึ้นมาระหว่างมิกุกับมาฟุยุ ซึ่งหนึ่งชีวิตที่เกิดขึ้นมานั้นก็ได้อยู่ภายในครรภ์ของมิกุนั่นเอง


ด้านเคย์ที่วางแผนจะไปพิชิตคำสาปก็มุ่งตรงไปห้องด้านในสุดของศาลเจ้าคุเซะ แต่ว่าแผนของเขากลับผิดพลาดและถูกมิโกะรอยสักเล่นงานจนนอนหลับไม่ตื่นตามมิกุไปอีกคน จึงทำให้เรย์ที่ตอนนี้เหลือคนสุดท้าย ต้องมุ่งหน้าไปหยุดคำสาปรอยสักที่ตัวเองมี


เรย์ได้เอาชนะมิโกะรอยสัก และใช้วิชาส่องวิญญาณไปที่มิโกะรอยสักแบบไม่รู้ตัว เธอได้ไปที่ห้วงลึกแห่งขอบฟ้าพร้อมกับส่งร่างของมิโกะรอยสักไปยังโลกอีกฝากหนึ่ง ซึ่งที่นี่เองเรย์ก็ได้พบกับยูอีกครั้งและเป็นครั้งสุดท้าย


เรย์ได้แก้คำสาปรอยสัก เธอได้ช่วยชีวิต มิกุ เคย์ และมิโอะ ให้รอดพ้นจากคำสาปนี้ได้ ทุกอย่างกำลังกลับสู่ความสุขอีกครั้ง แต่สำหรับมิกุนั้น มันมีบางสิ่งที่บางติดมากับเธอด้วยนั่นเอง


หลังจากรอดมาได้ มิกุก็ได้เข้าใจว่าทำไมเธอถึงยังมีชีวิตอยู่และต้องรอดต่อไป เธอจึงตั้งใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ตอนนั้นเองเธอก็เริ่มรู้ว่าตัวเองได้ตั้งท้อง ทำให้มิกุต้องเลิกทำงานจากการเป็นผู้ช่วยเรย์


หลังจากที่มิกุเลิกทำงานกับเรย์ เธอได้มุ่งหน้าไปหาหญิงชราที่บ้านหลังหนึ่งที่เธอรู้จัก และที่นั่นเองมิกุก็ได้คลอดเด็กสาวคนหนึ่งออกมา เธอตั้งชื่อให้เด็กคนนี้ว่า ฮินาซากิ มิอุ ในฐานะเด็กจากนรกเพราะเป็นลูกครึ่งมนุษย์ครึ่งวิญญาณนั่นเอง


การคลอดเด็กที่ต้องคำสาปนี้มันได้พลัดพรากบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญต่อตัวมิกุไป นั่นคืออายุขัยของเธอ และมันก็ทำให้เธออายุสั้นลงเป็นอย่างมาก 


ในปี 1992 มิกุได้เลี้ยงดูมิอุจนมิอุมีอายุถึงสามปี มิกุที่รู้ว่าเธอจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ในใจลึกๆแล้วเธอก็อยากจะพบพี่ชายอีกสักครั้ง วันหนึ่งมิกุได้อ่านหนังสือและรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพิธีสมรสวิญญาณเข้าเธอจึงมีความคิดที่จะไปที่ภูเขาฮิคามิ ก่อนที่เธอจะไปเธอได้กอดมิอุเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นมิกุก็ได้มอบมิอุให้ อิยามะ ซาจิ เพื่อนของเธอช่วยดูแลแทน เพื่อที่มิกุจะได้ทำสิ่งที่เธอต้องการเป็นครั้งสุดท้าย 


มิกุได้มาที่ภูเขาฮิคามิเพื่อทำพิธีสมรสวิญญาณ แม่เฒ่ามัคนายกจึงได้ทำพิธีให้มิกุโดยการอัญเชิญวิญญาณมาฟุยุมาให้ ก่อนที่จะให้มิกุลงไปในโลงสักการะ ด้วยวิธีนี้เองชีวิตของมิกุจึงถูกแช่เอาไว้ทำให้เธอไม่แก่ไม่ตาย มีชีวิตอยู่ต่อไปในโลงสักการะนั่นเอง

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.


    ถึงแม้ประเพณีของภูเขาฮิคามิจะหายไปนานตั้งแต่อดีต แต่ในแถบภูเขาฮิคามิก็ได้มีวิชาหนึ่งที่สืบทอดกันลงมาในคนกลุ่มหนึ่ง นั่นคือวิชาอ่านเงา(Shadow Reading) วิชานี้เป็นวิชาที่จะสามารถทำให้ผู้ใช้มองเห็นร่องรอยของสิ่งของหรือบุคคลที่หายไปผ่านของดูต่างหน้าหรือของกลาง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้ตามหาของหายหรือคนที่หายไป


ในแถบภูเขาฮิคามิก็ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ใช้วิชานี้เช่นกัน เธอชื่อว่า คุโรซาวะ ฮิโซกะ เธอเป็นคนที่มีพลังวิญญาณแต่ไม่อาจมองเห็นวิญญาณตัวเป็นๆได้ เธอได้รับการเรียนรู้วิชานี้มาจากหญิงชราในหมู่บ้านระแวกนั้น หลังจากหญิงชราผู้นั้นสอนฮิโซกะเสร็จ เธอก็มอบกล้อง Obscura ที่ประดิษฐ์โดย ดร.อาโซ คุนิฮิโกะ หนึ่งตัวให้ฮิโซกะ ซึ่งฮิโซกะก็ได้ใช้พลังของเธอบวกกับพลังของกล้อง Obscura ในการช่วยเหลือผู้คนที่ตกที่นั่งลำบากต่างๆ


คุโรซาวะ ฮิโซกะ

กล้อง Obscura เลนส์เดียวที่ปัจจุบันเป็นของฮิโซกะ


 ฮิโซกะเปิดร้านขายของเก่า(Kurosawa Antiques Shop)ในแถบภูเขาฮิคามิ แถมนอกจากจะเป็นร้านขายของเก่าแล้ว ร้านนี้เองก็เป็นร้านกาแฟเล็กๆ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยเช่นกัน ที่นี่มีเครื่องดื่มหลายอย่าง เช่นกาแฟ ชา นม และขนมหวาน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังเก็บเครื่องดื่มที่ไม่ได้มีอยู่ในเมนู เช่นพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่มีไว้เสิร์ฟให้กับลูกค้าบางคนอีกด้วย  


ภาพภายในร้านขายของเก่าของฮิโซกะ

ฮิโซกะมักจะดูดวงให้เด็กนักเรียนที่เรียนอยู่ในระแวกนั้น ทำให้ร้านเธอกลายเป็นร้านที่นิยมมากสำหรับเด็กๆ แต่หลายๆครั้งก็มีคน มาจ้างให้เธอตามหาของหายเช่นกัน ซึ่งลูกค้าที่มาจ้าง จะบอกข้อมูลของสิ่งของหรือบุคคลเหล่านั้น พร้อมให้ของกลางมาซึ่งส่วนมากจะเป็นรูปถ่าย เพื่อให้ฮิโซกะใช้วิชาเงาแกะรอยและตามหาของจนเจอ


ฮิโซกะได้รับงานมาหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น แหวนเพชร กุญแจ ไดอารี่ และอื่นๆ อีกมากมาย แล้วในระหว่างที่ฮิโซกะอยู่ที่ร้านของตัวเอง ก็มีนักเรียนส่วนใหญ่เข้ามาดูดวงและนั่งที่ร้านเธอ หนึ่งในนั้นก็มักจะเป็นเด็กสาวสองคนที่ชื่อว่า ฮิมิโนะ ฟุยุฮิ และโมโมเสะ  ฮารุกะ ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่อนุบาล ชนิดที่ตัวแทบจะติดกันเลยทีเดียว ในตอนที่ทั้งคู่เรียนจบอนุบาล พวกเธอก็ร้องเพลงแห่งความทรงจำด้วยกัน ครั้งหนึ่งที่ฟยุฮิจัดบ้านใหม่เธอก็จะไปนอนที่บ้านฮารุกะ ช่วงเวลาเหล่านั้นคือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของทั้งคู่เลย


มีครั้งหนึ่ง ฟุยุฮิเคยจ้างวานให้ฮิโซกะช่วยตามหารูปถ่ายคู่ของเธอกับฮารุกะ สำหรับเธอแล้วภาพใบนั้นสำคัญกับเธอมากๆ และแน่นอนว่าฮิโซกะก็หามันพบ ซึ่งฟุยุฮิก็ดีใจมากอีกด้วย


รูปถ่ายของฮารุกะ(ซ้าย)และฟุยุฮิ(ขวา)

ทางด้านฮินาซากิ มิอุ เธอเติบโตมาเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น หลังจากที่มิกุทิ้งเธอไปตอนอายุ 3 ขวบ เธอก็ใช้ชีวิตอยู่กับแม่บุญธรรมที่ชื่ออิยามะ ซาจิ ซึ่งเป็นเพื่อนของแม่แท้ๆ ของเธอ เนื่องจากเป็นเด็กที่เกิดจากคนเป็นและวิญญาณทำให้มิอุเป็นคนที่มีวิญญาณสูงอย่างมาก เธอมักจะได้ยินเสียงความคิดของผู้คนรอบกาย เธอสามารถอ่านและรู้ถึงอดีตของผู้คนที่เธอสัมผัส เธอได้รู้จักคำโกหกจากจิตใจของผู้คนมากมาย ถึงภายนอกคนพวกนั้นจะพูดดีแค่ไหนก็ตาม แต่ในใจของคนพวกนั้นมักจะต้องการผลประโยชน์จากเธอเสมอ ยิ่งเธอรู้สิ่งนี้มากเข้าก็ทำให้เธอกลายเป็นคนเย็นชามากขึ้น เธอรู้สึกว่าตัวเองว่างเปล่า เธอจึงไม่สนใจอะไร และทำตามสิ่งที่ผู้คนรอบข้างเธอต้องการ


ฮินาซากิ มิอุ


มิอุได้มีความปราถนาที่จะเป็นนักแสดง เธอจึงเข้าทำงานในวงการบันเทิง ถึงแม้เธอจะตามใจคนที่เธอทำงานด้วย จนเธอมีโอกาสได้แสดงอยู่ในละครทางทีวีอยู่บ้าง แต่งานส่วนใหญ่ที่เธอได้ มักจะเป็นงานถ่ายแบบกราเวียร์สำหรับนิตยสารซะส่วนใหญ่


มิอุในงานถ่ายแบบ


                ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน มิอุเริ่มรู้สึกเศร้าและตั้งคำถามว่าทำไมแม่ที่แท้จริงของเธอถึงทิ้งเธอไป ซาจิที่ดูแลมิอุเห็นดังนั้น ก็รู้สึกว่ามิอุกำลังคิดถึงแม่ที่แท้จริงของเธอ ซาจิไม่สามารถติดต่อมิกุได้เลย ไม่ว่าจะทำยังไงก็ตาม และไม่รู้ว่ามิกุอยู่ที่ไหน ในตอนนั้นที่ซาจิได้รู้จักฮิโซกะ เธอจึงจ้างวานให้ฮิโซกะตามหามิกุให้โดยใช้ภาพถ่ายของมิกุที่มีอยู่เป็นของกลาง 


ภาพถ่ายของ ฮินาซากิ มิกุก่อนที่จะหายตัวไป

ฮิโซกะได้ตรวจค้นข้อมูลของมิกุ และใช้วิชาส่องวิญญาณที่เธอมีตามหาร่องรอยอยู่หลายครั้ง แต่กลับพบว่า ร่องรอยที่เธอพบมันเบาบางเกินไป ราวกับมิกุไม่อยากให้ใครพบเจอ แต่เธอยังรู้สึกได้ว่ามิกุยังมีชีวิตอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ต้องการของกลางที่ทำให้ร่อยรอยชัดเจนกว่านี้ ทำให้เธอต้องพักงานหามิกุไป


นอกจากคดีของมิกุแล้ว ฮิโซกะก็มีงานหาคนหายอยู่หลายอย่างที่เธอไม่สามารถทำสำเร็จได้ เช่นคดีการหายตัวไปของ คาตาชินะ สึมุกิ 



รูปถ่ายของคาตาชินะ สึมุกิ


พ่อแม่แท้ๆ ของสึมุกิได้หย่าร้างกัน ทำให้สึมุกิต้องย้ายไปอยู่กับแม่ของเธอ หลังจากที่แม่แต่งงานใหม่ พ่อใหม่ของสึมุกิก็มีลูกผู้หญิงติดมาเหมือนกันแถมอายุมากกว่าเธอซะด้วย ครอบครัวของเธอไม่ค่อยมีความสุขกันเท่าไหร่ ในขณะที่พี่สาวของเธอถูกดูแลอย่างดี สึมุกิกลับถูกรังแกทางด้านอารมณ์ จนไปถึงโดนใช้กำลังด้วย ทำให้เธอมีความเครียดมากจนพยายามจะฆ่าตัวตายหลายรอบแต่ทำไม่สำเร็จ


ในระหว่างนั้นเอง สึมุกิก็ได้พบกับเด็กสาวผมสีม่วงคนหนึ่งที่มีชื่อว่าอายาเนะ อายาเนะได้บอกให้สึมุกินั้นแข็งแกร่งขึ้นและได้มอบกำไลที่มีด้ายสีม่วงให้เธอ ซึ่งกำไลนี้มันจะเชื่อมอายาเนะกับตัวสึมุกิไว้ 


สำหรับสึมุกินั้น การที่จะเข้มแข็งได้ด้วยสภาพจิตใจแบบนี้มันยากมาก เธอจึงขึ้นไปยังภูเขาฮิคามิและหายตัวไป หลังจากนั้นไม่นาน หมอประจำตัวของเธอก็ได้จ้างวานให้ฮิโซกะตามหาสึมุกิ โดยใช้ของกลางเป็นรูปถ่าย


ฮิโซกะค้นหาข้อมูลก็พบว่า สึมุกิหายตัวไปมีสาเหตุมาจากครอบครัวที่มีความเคร่งครัดกับสึมุกิ ฮิโซกะจึงคิดว่าถ้าเจอตัวสึมุกิ ก็จะให้หมอดูแลไปก่อน แต่หลังจากนั้นไม่นาน ครอบครัวของสึมุกิก็ติดต่อมาขอยกเลิกงาน และคดีนี้ก็ถูกยกไปให้ตำรวจทำแทน


ฮิโซกะรับงานตามหาคนหายมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งฮิโซกะนั่งอยู่ที่ร้านคาเฟ่ของตัวเอง จู่ๆก็ได้มีสายโทรเข้ามาจากลูกค้าคนหนึ่งที่มีชื่อว่า นารุมิ เคียวโกะ เธอได้โทรมาหาว่าเด็กที่อยู่ในครอบครัวเธอที่ชื่อ นารุมิ อาคาริได้หายตัวไป ฮิโซกะได้รับภาพถ่ายของอาคาริมาและใช้วิชาหาร่องรอยของอาคาริ พอฮิโซกะรู้ถึงตำแหน่งของอาคาริ เธอก็รีบขึ้นไปภูเขาฮิคามิทันที แต่ทว่าเมื่อเธอมาถึงมันก็สายไปเสียแล้ว อาคาริ ได้บอกฮิโซกะว่า ยกโทษให้ฉันด้วย ก่อนที่จะกระโดดลงหน้าผาไปต่อหน้าต่อตาเธอ เหตุการณ์ครั้งนี้ฝังใจฮิโซกะเป็นอย่างมาก ฮิโซกะเอาแต่โทษตัวเองว่าการที่ตัววิ่งไล่ตามอาคาริไปดันเป็นการผลักดันอาคาริมากขึ้น คำพูดที่อาคาริพูดไว้ได้ก้องอยู่ภายในจิตใจของฮิโซกะ และมันก็กลายเป็นฝันร้ายของเธอนับตั้งแต่นั้นมา



รูปถ่ายยับเยิน ของนารุมิ อาคาริ

        ฮิโซกะกลับมาบ้านแล้วโทรหาเคียวโกะ เธอรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับอาคาริให้เคียวโกะฟัง ซึ่งเคียวโกะก็รู้สึกโศกเศร้า แต่เธอก็ยินดีเพราะมันก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ขอบคุณฮิโซกะก่อนจะวางสายไป ซึ่งหลังจากวางสายไป ฮิโซกะก็ร้องไห้ไม่หยุดเพราะเธอเสียใจอย่างมาก ตั้งแต่นั้นมาฮิโซกะก็หยุดรับงานคนหาย หลังจากนั้นเป็นต้นมาจำนวนคนที่สูญหายไปในภูเขาก็เพิ่มมากขึ้น


ทางด้านของฮินาซากิ มิอุ หลังจากที่เธอคิดถึงเรื่องแม่ของเธออยู่นานเข้า เธอก็รอไม่ไหว ยิ่งเธอคิดมากเท่าไหร่เธอก็คิดถึงแม่ของเธอมากขึ้นเท่านั้น มิอุมีเรื่องหลายอย่างที่เธออยากจะคุยกับแม่ของเธอ วันหนึ่งเธอจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านเพื่อที่จะไปตามหามิกุแม่ของตน ที่ภูเขาฮิคามิ


มิอุได้เดินทางมาถึงภูเขาฮิคามิ เธอใช้รถรางที่ถูกปิดตายไปนานแต่ยังคงมีไฟฟ้าอยู่ เดินทางขึ้นสู่ศาลเจ้าแห่งความไม่จีรังเพื่อหาร่องรอยของแม่เธอ แต่เนื่องจากเธอเป็นคนที่มีพลังวิญญาณสูงมากเกินไป เหล่าวิญญาณชั่วร้ายที่อยู่ในศาลเจ้าก็แห่กันออกมาต้อนรับเธออย่างไม่หยุดหย่อน มิอุรีบวิ่งหนีทันที แต่ก็ไม่สามารถวิ่งรอดจากมือนับร้อยนับพันของเหล่าวิญญาณที่เอื้อมมาจับตัวเธอ แล้วเธอก็หายตัวไป


มิอุโดนเหล่าวิญญาณจับตัว


ซาจิที่เห็นว่ามิอุหายไปก็โทรมาจ้างวานฮิโซกะ ซาจิบอกฮิโซกะว่ามิอุคิดถึงแม่ที่แท้จริงของเธอมาก และก่อนที่จะหายไป มิอุก็เอาแต่พูดถึงเรื่องจะไปตามหาแม่ และพูดถึงภูเขาฮิคามิด้วย ซาจิจึงส่งรูปถ่ายของมิอุมาให้ฮิโซกะเพื่อเป็นของกลางในการใช้วิชาส่องเงา แต่ฮิโซกะในช่วงนั้นเลิกรับงานคนหายไปแล้ว จึงทำให้ซาจิพูดอ้อนวอนฮิโซกะ จนผลักดันให้ฮิโซกะกลับมารับงานคนหายได้ในที่สุด แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ ฮิโซกะก็หามิอุไม่พบ






        วันหนึ่งเด็กสาวที่มีชื่อว่า โคซุคาตะ ยูริ ได้ออกจากบ้านไปพร้อมกับครอบครัว แต่ทว่าเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ครอบครัวของเธอและตัวเธอประสบอุบัติเหตุขั้นรุนแรงจนยูริหมดสติไป เมื่อเธอตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีศพมากมายนอนอยู่รอบกายเธอ รวมถึงครอบครัวของเธอด้วย เหตุการณ์นี้ทำให้ยูริรู้สึกตกใจและเศร้าเป็นอย่างมาก




ยูริที่อยู่ท่ามกลางกองศพ

      

หลังจากวันนั้นก็เกิดเรื่องแปลกๆขึ้น ยูริเริ่มมองเห็นในบางสิ่งบางอย่างที่คนอื่นมองไม่เห็น เธอมองเห็นภาพเหตุการณ์ในอดีตและวิญญาณที่อยู่รอบๆเธอได้ ใบหน้าเละๆ ของวิญญาณที่เธอเห็น มันทำให้เธอรู้สึกกลัวอย่างบอกไม่ถูก วิญญาณพวกนั้นเริ่มจ้องมองเธอ เข้ามาหาเธอ กระซิบใส่เธอ ถึงแม้ว่ายูริจะหลับตาหรือรอให้วิญญาณเหล่านั้นเดินผ่านไป พวกมันก็เอาแต่กระซิบและจ้องมาที่เธออยู่ดี เธอไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอจึงไปหาหมอ หมอได้บอกเธอว่า โรคของเธอเป็นอาการทางประสาทที่เกิดจากการช็อค และหมอก็แนะนำให้ยูริเขียนไดอารี่บันทึกเรื่องราวของเธอเอาไว้ในตอนที่หายดีจะได้กลับมาอ่านอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหมอก็ไม่ได้เชือในสิ่งที่ยูริพูด เขาบอกยูริว่าอาการของเธอดีขึ้นและเธอก็ไม่เป็นไรแล้ว





โคซุคาตะ ยูริ


แต่หลังจากนั้นยูริก็มองเห็นวิญญาณอีกเหมือนเดิม เธอเริ่มทนไม่ไหว สิ่งที่เธอทำได้มีแค่ ปิดหู ปิดตา แล้วก็หลอกตัวเองว่าเธอไม่ได้ป่วยแล้ว เธอหายแล้ว แต่พอเธอลืมตาขึ้น เธอก็ต้องพบกับความจริงว่าเธอมองเห็นวิญญาณได้อยู่


เธอไม่สามารถอธิบายให้ใครฟังได้ เธอเริ่มปลีกตัวและอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่เมื่อเธออยู่แบบนี้นานไปเรื่อยๆ ยูริเริ่มทนไม่ไหวกับสิ่งที่เธอเจอ มีสิ่งเดียวที่เธอคิดว่าเป็นทางออกของเรื่องนี้ นั่นคือการที่เธอจะต้องจบชีวิตตัวเอง เธอจึงขึ้นไปที่ภูเขาฮิคามิเพื่อฆ่าตัวตาย


ในช่วงเวลานั้นเองที่ฮิโซกะก็ได้ถูกวานให้ช่วยตามหายูริที่อยู่ดีๆ ก็หยุดไปโรงเรียน เธอจึงนำเรื่องของยูริไปสอบถามเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ๆบ้านยูริ เพื่อนบ้านแถวนั้นบอกฮิโซกะว่ายูริออกจากบ้านเหมือนปกติเช่นเคย ฮิโซกะค้นหาข้อมูลของยูริจนไปเจอรูปถ่ายประจำตัวของยูริ เธอใช้วิชาส่องเงาและสามารถแกะร่องรอยของยูริได้สำเร็จ แล้วรีบวิ่งไปที่ภูเขาฮิคามิเพื่อช่วยเหลือยูริทันที


รูปถ่ายของโคซุคาตะ ยูริ


ด้านยูริที่มาอยู่บนปลายหน้าผา สถานที่นี้ก็เป็นที่เดียวกันกับที่อาคาริกระโดดฆ่าตัวตาย แต่ในขณะนั้นฮิโซกะก็มาถึงพอดี ทันที่เห็นยูริยืนอยู่ริมผา ความทรงจำเกี่ยวกับอาคาริของฮิโซกะก็ผุดขึ้นมาในหัว แต่ฮิโซกะจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีกแล้ว ในขณะที่ยูริกำลังจะก้าวเท้าออกไปเพื่อจบชีวิตตัวเอง ฮิโซกะที่ก้าวข้ามความรู้สึกของตัวเองก็ได้พุ่งเข้ามาคว้าตัวยูริมากอดเอาไว้ทันเวลาพอดี ทันทีที่ฮิโซกะที่แตะตัวยูริ เธอก็รู้สึกถึงความมืด ความสับสนและความอยากที่จะตายในจิตใจของยูริ จนฮิโซกะร้องไห้ออกมาแล้วบอกกับอยู่ว่าเธอจะไม่ทิ้งยูริไปไหน คำพูดนั้นได้ดึงสติของยูริให้กลับมา


ฮิโซกะช่วยยูริไว้ได้ทัน


            ฮิโซกะพายูริกลับไปที่บ้านของเธอ เธอชงกาแฟให้ยูริดื่มเพื่อให้ยูริใจเย็นลง ยูริได้หยิบกาแฟขึ้นมาแล้วจิบอย่างช้าๆ เธอรู้สึกได้ถึงรสชาติที่อร่อยและอบอุ่นจากกาแฟถ้วยนี้อย่างที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน เธอไม่เคยรู้เลยว่าความอุ่นที่แตกต่างกันของกาแฟจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันถึงเพียงนี้ มันเหมือนประโยคสุดโปรดของฮิโซกะที่เคยพูดไว้ว่า บางครั้งความอุ่นของกาแฟถ้วยนึง ก็สร้างความแตกต่างได้หลายอย่าง จากก่อนหน้านั้นที่ยูริอยากจะฆ่าตัวตาย อยากจะกระโดด ตอนนี้ความคิดนั้นของยูริได้หายไปแล้ว ยูริจึงขออาศัยอยู่ที่บ้านของฮิโซกะชั่วคราว


    ในตอนแรกที่ยูริเข้ามาที่บ้านของฮิโซกะ เธอได้นอนอยู่ที่ห้องเก็บของชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องพักที่ฮิโซกะให้คนหายที่เธอตามเจอมาพักอาศัย แต่พอยูริได้ย้ายเอาข้าวของของเธอเข้ามาในบ้านฮิโซกะ ฮิโซกะก็มอบห้องส่วนตัวของตัวเองที่อยู่บนชั้นสองพร้อมโต๊ะทำงานหนึ่งตัวให้ยูริ ส่วนฮิโซกะเองก็ย้ายไปอยู่ห้องตรงกลางบ้านบนชั้นสองแทน


    หลังจากที่ยูริย้ายเข้ามาอยู่ ฮิโซกะก็ได้ให้ยูริช่วยงานอยู่ที่ร้าน แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นทำความสะอาด นานๆทีเธอจะต้อนรับลูกค้า เพราะว่ายูริกลัวที่จะเห็นจิตใจของผู้คน เธอจึงหลีกเลี่ยงพบปะกับคนอื่นๆเท่าที่ทำได้ แต่ก็มีอยู่หลายครั้งที่ยูริรู้สึกกังวล เพราะนิสัยของยูรินั้น เป็นคนที่ทนเห็นคนอื่นกำลังลำบากไม่ได้ แต่เธอก็ต้องยอมเลือกที่จะไม่ช่วยอะไร เพราะเธอกลัวว่า เธอจะไปอ่านจิตใจของของพวกเขาทันทีที่ได้สัมผัส เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่ยูริเครียด เธอก็จะออกไปปั่นจักรยานคนเดียว เพราะช่วงเวลานั้นเป็นเวลาที่เธอผ่อนคลายได้ดีที่สุด



ทางด้านของ มิอุที่หายตัวไปเพราะถูกเหล่าวิญญาณจับตัวไว้ เธอได้สติและตื่นขึ้นมาในสถานที่ที่มีน้ำท่วมขังในศาลเจ้าแห่งความไม่จีรัง แต่ทันใดนั้นเองวิญญาณของเหล่ามิโกะผู้พิทักษ์ก็ได้รุมเข้ามาโจมตีเธอ ทำให้มิอุต้องวิ่งหนีออกไปจากบริเวณนั้น เธอเห็นว่าตัวเองอยู่ในชั้นใต้ดิน และเธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแต่สิ่งที่เธอทำได้ก็มีแค่การวิ่งหนีอย่างเดียว มิอุวิ่งหนีจากเหล่าวิญญาณแต่ก็ถูกเหล่าวิญญาณดักทางไว้ แถมโชคร้ายเธอดันไปพบกับโอเสะ มิอุที่สัมผัสพลังอันมหาศาลของโอเสะได้ ทำให้เธอต้องวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตไปที่ห้องโลงสักการะราวกับถูกไล่ต้อน แต่ก็โชคร้ายซ้ำซ้อน ที่นั่นเธอได้พบกับวิญญาณบุปผานิรันดร์ที่หลับไหลอยู่ในโลงสักการะ ด้วยการที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้แล้ว มิอุจึงถูกวิญญาณตนนั้นดึงลงไปในโลงสักการะที่อยู่กลางห้องนั้น


มิอุในขณะที่กำลังถูกวิญญาณบุปผานิรันดร์จับตัว

     


             กลับมาทางด้านฮิโซกะ ที่ได้ยูริมาอยู่ในบ้าน เธอคอยดูแลเอาใจใส่ยูริเป็นพิเศษเพื่อที่เธอจะไม่ต้องซ้ำรอยเหตุการณ์เก่าอย่างอาคาริ แต่ถึงอย่างนั้นหลายๆครั้ง เธอก็ต้องออกไปทำงาน เธอจึงปล่อยให้ยูริเฝ้าร้านคนเดียว ซึ่งงานที่ว่าก็คืองานปกติเหมือนเคยอย่างตามหาของหาย และหนึ่งในนั้นก็มีงานที่ได้รับมาจาก โฮโจ เรนอีกด้วย


            โฮโจ เรน ชายหนุ่มนักเขียนที่มีพลังวิญญาณ เขาเป็นชายหนุ่มที่สืบเชื้อสายมาจาก ดร.อาโซ คุนิฮิโกะ แต่เขาอยู่ในตระกูลสาขาย่อย ในวัยเด็กช่วงฤดูร้อน เขามักจะได้ไปอาศัยอยู่กับตระกูลหลักบนภูเขาคางิโร่ย เรนมักจะไปเล่นกับเด็กในระแวกศาลเจ้าคางิโร่ยเสมอๆ

โฮโจ เรน

ปัจจุบัน เรน ได้ย้ายมาอยู่บ้านหลังที่สองของตระกูลโฮโจ ที่ตั้งอยู่ในระแวกภูเขาฮิคามิ และเป็นนักเขียนซึ่งไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นัก


วันหนึ่งที่เรนกำลังค้นของในบ้านของตน เขาก็ได้พบกลับกล่องที่เก็บมวยผมของชิรางิคุไว้ พร้อมกับกล้อง Obscura ที่ถูกสืบทอดมายังรุ่นสู่รุ่นจากต้นตระกูลในตระกูลหลัก เรนจำได้ว่า เวลาฮิโซกะจะไปทำงานทีไรเธอต้องพกกล้อง Obscura ติดตัวตลอด เรนจึงส่งกล้อง Obscura ให้ฮิโซกะตรวจสอบดู หลังจากนั้นฮิโซกะก็เขียนจดหมายส่งกลับมาเล่าให้เรนฟังว่า กล้องนี้เป็นกล้อง Obscura มีสถานเป็นของวิเศษในตลาดขายของเก่าและหายากมาก ซึ่งของเรนเองก็เป็นตัวแรกเลยที่ฮิโซกะเคยเห็นว่ามันมีเลนส์ซ้อนด้วย แต่มันก็มีข่าวลือนับไม่ถ้วนว่า เจ้าของกล้องนี้ส่วนใหญ่จะพบแต่เรื่องร้ายๆ



กล้อง Obscura ตัวเลนส์ซ้อน ของเรน


แต่ตั้งแต่ที่เรนสัมผัสกับกล่องที่ใส่มวยผมของชิรางิคุพร้อมกับตอนที่เจอกล้องด้วยนั้น มันทำให้เขาเริ่มฝันประหลาดๆ ทุกๆวัน เกี่ยวกับพิธีกรรมในอดีต เขาฝันว่าตัวถือมีดและสับสนว่าตัวเองได้สังหารชิรางิคุไปหรือเปล่า ก่อนที่ชิรางิคุจะกระโดดลงไปในโลงสักการะ ทั้งที่เขาก็ไม่ได้รู้จักหน้ารู้จักชื่อของเด็กผู้หญิงผมสีขาวคนนั้นเลย สายตาที่ชิรางิคุมองไปหาเรนในฝัน ทำให้เรนเริ่มกลายเป็นคนที่กลัวผู้หญิง และไม่กล้าสบตาเวลาคุยกับผู้หญิง แล้วเรนเองก็เริ่มฝันถึงแบบนี้ทุกๆวัน


ในระหว่างนั้นเองเขาก็ได้พบกับคากามิยะ รุย ผ่านการแนะนำของทีมงานที่สำนักพิมพ์ แล้วหลังจากนั้นรุยก็ได้กลายเป็นผู้ช่วยของเรนในด้านการหาข้อมูล ซึ่งเรนนั้นไม่มีปัญหาเวลาคุยกับรุยไม่เหมือนตอนคุยกับผู้หญิงคนอื่นๆ เพราะรุยมักจะแต่งกายเหมือนผู้ชาย เพื่อที่จะได้ทำงานกับเรนได้ง่ายขึ้นนั่นเอง




คากามิยะ รุย


            ฮิโซกะได้มาช่วยเหลือเรนอยู่หลายครั้ง แล้วก็ได้อธิบายพูดถึงหลักการของวิชาอ่านเงากับสิ่งของที่หายไปให้รุยกับเรนฟัง ซึ่งตอนแรกรุยก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรจนเธอไปเจอสิ่งของหนึ่งในตอนที่กำลังจัดของ เธอนำของสิ่งนั้นไปใส่ไว้กองข้างๆเพื่อที่จะนำกลับมาจัดมันอีกรอบ แต่พอเธอจะมาจัดมันจริงๆ มันก็หายไปแล้ว ซึ่งมันทำให้เธอเข้าใจในสิ่งที่ฮิโซกะพูดมากขึ้น





วันหนึ่งเด็กสาวที่ชื่อว่า ชิอากิ เธอได้เดินเข้าไปในภูเขาฮิคามิและเจอกับวิญญาณชั่วร้ายของมิโกะผู้พิทักษ์เข้า ชิอากิโดนวิญญาณเหล่านั้นครอบงำและวันต่อมา เธอจึงได้ไปพูดหว่านล้อมให้เพื่อนในกลุ่มๆ ของเธอมาฆ่าตัวตาย ซึ่งเพื่อนในกลุ่มของเธอนั้นก็มีฟุยุฮิและฮารุกะด้วย


ฮารุกะที่โดนชิอากิชวนไปก็ได้ตอบตกลงที่จะไปด้วย ฟุยุฮิที่เห็นฮารุกะเพื่อนสนิทของตนไป ตัวเองก็เลยตามไปด้วยอีกคน


ฮารุกะ ฟุยุฮิ ชิอากิ นัทสึโฮะและสึยุโนะ ทั้งห้าคนได้ขึ้นไปที่ถภูเขาฮิคามิและพร้อมใจที่จะฆ่าตัวตายกันโดยการเดินลงไปในบึงมิโกะโมริ ทั้งห้าคนร้องไห้โดยไม่ทราบสาเหตุพร้อมกับจับมือกันเดินลงไปในน้ำเหมือนกับเหล่ามิโกะผู้พิทักษ์ที่สังเวยตัวเองเพื่อปกป้องบุปผานิรันดร์



ฟุยุฮิ ฮารุกะ และเพื่อนอีกสามคนจูงมือกันฆ่าตัวตาย


             แต่แทนที่ทุกคนจะตาย ฟุยุฮิกับฮารุกะกลับรอดชีวิตมาได้ พวกเธอไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ตอนที่ทั้งคู่รอดมาได้ พลังวิญญาณของฮารุกะก็เพิ่มขึ้น เธอเริ่มมองเห็นตะวันตกดินอันงดงาม แต่ที่แปลกใจคือ ฟุยุฮิเธอมองไม่เห็นตะวันตกดินนั้น



ในตอนนี้เรนได้คิดที่จะเขียนหนังสือเล่มใหม่ เขาได้ค้นคว้าเรื่องราวของนักคติชนวิทยาและภาพถ่ายศพที่มีมาตั้งแต่ในอดีต ในระหว่างการค้นคว้าเรนโชคดีได้ภาพถ่ายศพมาหนึ่งใบ เขาได้ติดต่อไปยังเพื่อนของเขาที่ชื่อว่า ซาคากิ คาซุยะ เพื่อขอร้องให้เขามาช่วยหาอัลบั้มภาพถ่ายศพที่ภูเขาฮิคามิ


รูปถ่ายของซาคากิ คาซุยะ

 ซาคากิ คาซุยะ เป็นชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนของเรนตั้งแต่สมัยอยู่ที่มหาวิทยาลัย ปัจจุบันเขาเป็นเจ้าของร้านอาหาร และเขามักจะคอยช่วยเหลือเรนในเรื่องต่างๆ แต่คาซุยะเป็นคนที่มีนิสัยหลงตัวเอง ซึ่งมันก็สร้างปัญหาให้กับการทำงานและชีวิตส่วนตัวพอควร แม้แต่ฮิโซกะยังแนะนำเรนว่า เรนจะอยู่ดีกว่านี้ถ้าไม่มีคาซุยะ


เมื่อเรนได้ขอให้คาซุยะช่วยหาอัลบั้มภาพถ่ายศพ เขาจึงเดินทางมาที่ภูเขาฮิคามิ แต่ในระหว่างที่เขากำลังค้นหา เขาก็ได้ไปสะดุดเจอกับบ้านล่องหนของวาตาไร เคย์จิ คาซุยะเดินเข้าไปสำรวจข้างในบ้าน แต่โชคร้ายที่นั่นเขาก็พบกับรูปเจ้าสาวของโอเสะ แล้วคาซุยะก็หายตัวไปติดต่อไม่ได้อีกเลย


เรนที่ติดต่อเพื่อนของตัวเองไม่ได้ เขาพยายามติดต่อหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ เขาจึงได้จ้างวานฮิโซกะให้ช่วยตามหาคาซุยะ พร้อมทั้งอัลบั้มภาพถ่ายศพ ซึ่งเขาก็แนบภาพถ่ายของคาซุยะ และภาพถ่ายศพที่ได้มาด้วย แต่คาซุยะมีนิสัยชอบหนีเที่ยวในตอนที่กำลังตามหาภาพให้เรนอยู่แล้ว จึงทำให้ฮิโซกะไม่ได้กังวลกับการหายตัวไปของเขามากเท่าไหร่



            ทางด้านฮารุกะ หลังจากที่เธอและฟุยุฮิรอดตายกันมา ฮารุกะเป็นคนเดียวที่มองเห็นตะวันตกดิน หลังจากที่ชั่งใจมานานเธอจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปหาแสงของตะวันตกดินบนภูเขาโดยไม่ได้บอกฟุยุฮิ ฮารุกะเดินขึ้นมาบนภูเขาและตามตะวันตกดินราวกับต้องมนตร์สะกด เธอรู้สึกว่าเหมือนตัวเองกำลังจะละลายไปพร้อมกับสายน้ำ เธอเดินมาเรื่อยๆ และเข้ามายังถ้ำนาภีที่อยู่ใต้ศาลเจ้าตุ๊กตาอย่างไม่มีสติ ฮารุกะไม่รู้เลยว่าเธอนั้นได้ถูกวิญญาณแม่เฒ่าสัปเหร่อหลอกล่อด้วยกระจกตะวันมืด เพื่อให้ฮารุกะที่มีพลังวิญญาณมาลงหีบสักการะเพื่อกลายเป็นเสามนุษย์


ทันทีที่ฮารุกะรู้สึกตัว เธอก็พบว่าตัวเองอยู่ในหีบเสียแล้ว และฝาหีบของเธอก็ปิดลง น้ำวารีทมิฬก็เพิ่มขึ้นมาตามกลไกของตัวหีบ ฮารุกะพยายามดันฝาหีบให้เปิด แต่ว่าเธอก็ทำไม่สำเร็จ ฮารุกะเปิดฝาหีบได้เพียงเล็กน้อย มีแค่แขนของเธอที่ออกมาจากตัวหีบและตัวเธอก็นอนสลบอยู่ในหีบใบนั้น


             ฟยุฮิที่พบว่าฮารุกะหายตัวไป เธอก็รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก เธอมีบางสิ่งที่ยังไม่ได้บอกฮารุกะ เธอไม่คิดว่าฮารุกะจะหายตัวไปคนเดียว แต่ฟุยุฮิก็รู้สึกได้ว่าฮารุกะจะต้องขึ้นไปบนภูเขาฮิคามิ เธอลองค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับภูเขาฮิคามิ รวมทั้งคิดจะเขียนส่งจดหมายจ้างวานฮิโซกะพร้อมแนบรูปถ่าย เพื่อให้ฮิโซกะมาช่วยตามหาฮารุกะที่หายตัวไป

รูปถ่ายของโมโมเสะ ฮารุกะ

ฮิโซกะที่ได้งานมามากมายเกี่ยวกับคนหายที่ยังไม่ได้สะสาง เธอจึงไล่จัดการงานเรื่อยๆ เริ่มจากงานอย่างการหาอัลบั้มภาพถ่ายศพที่เรนขอมา ก่อนที่จะทำงานตามหาคนที่เป็นงานที่ยากกว่า ซึ่งตอนนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะกับการที่อาการของยูริเริ่มดีขึ้น ฮิโซกะจึงใช้โอกาสนี้เพื่อจะสอนให้ยูริควบคุมพลังของตัวเองเป็น โดยจะให้ยูริใช้วิชาส่องเงาตามหาภาพถ่ายศพที่เรนต้องการ และนี่จะเป็นครั้งแรกที่ยูริจะได้ใช้กล้อง Obscura อีกด้วย


พอตกเย็น ช่วงตะวันลับขอบฟ้า เป็นช่วงเวลาที่โลกคนตายได้เข้าใกล้โลกคนเป็นมากที่สุดพอดี ฮิโซกะก็ได้พายูริมุ่งหน้าไปยังโรงแรมอิจิรุที่เหลือแต่ซาก เพื่อตามหาอัลบั้มภาพถ่ายศพ…..



 “ฉันรู้ว่าเธอก็กลัว กลัวที่จะต้องอยู่อย่างเดียวดาย”

                                               โคซุคาตะ ยูริ ถึง ฮินาซากิ มิอุ 

.

.

.

.

            .

.

.

.

.

.





โปรดติดตามเรื่องราวต่อไปในเกม




------------------------------------------------------------------




อะไรกัน?! มีพวกคุณบางคนยังไม่ได้เล่นเกมแต่ก็อ่านมาถึงตรงนี้แล้วงั้นเหรอ?! ไม่ได้การ เพื่อเป็นการสนับสนุนเกมที่เรารักต่อไป เราต้องอุดหนุนเกมด้วย เพราะฉะนั้นผมก็จะแปะอีกรอบ

ซื้อเกม Fatal Frame: Maiden of Black Water บน PC ได้ที่ Steam!! => กดซะ

ปล. ผมจะเขียนแค่พาร์ทในอดีตพาร์ทเดียวพอนะครับ เพราะเนื้อหาช่วงต่อไปสามารถเล่นได้ภายในเกมแล้ว ถ้าหากใครซื้อมาบน PC ล่ะก็ ตอนนี้เขาก็แก้บัคจนสามารถเล่นเกมจบได้แล้วครับ ส่วนบนเครื่องคอนโซล ถ้าหากซื้อในโซนบ้านเราที่เป็นเวอร์ขั่นภาษาจีนอย่างเดียว ตอนนี้สามารถเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษใน Option ได้แล้วนะครับ



ไหนๆก็ใกล้คริสมาสต์แล้วก็ Merry X'mas ขอให้ทุกคนมีความสุข ร่างกายแข็งแรงนะครับ

------------------------------------------------------------------

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

- ธีมสีของภาค 5 คือสีดำ (แต่บล็อกผมไม่ใช้สีดำเพราะมันมองไม่เห็น)

- ยูริไม่ชอบพับผ้าห่มทำใหฮิโซกะมักจะบ่นเรื่องนี้ประจำ

- ฮิโซกะชอบอ่างอาบน้ำใหญ่ๆ แต่ยูริคิดว่ามันใหญ่เกินไป

- รุยเป็นตัวละครเดียวที่ไม่ปรากฎเพศออกมาเลยในสื่อต่างๆ และดูเหมือนว่าผู้กำกับจะหลีกเลี่ยงการบอกเพศของตัวละครตัวนี้ จนกระทั่งเกมออกมา ทำให้เราได้รู้ว่า รุยมีผลกระทบจากการโดนภูเขาเรียกหา ซึ่งมีแค่ตัวละครเพศหญิงเท่านั้นที่จะเกิดอาการแบบนี้ และก็ยังมีเอกสารหนึ่งอันในเกม(Memo: Rui Kagamiya)ที่เรียกเธอว่า She ทำให้ผู้เล่นรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง





ปล. ไม่อนุญาตให้ Copy เนื้อหาไปแปะที่อื่น

ปล.2 แต่สามารถ Copy ลิงค์ไปให้เพื่อนๆอ่านได้นะครับ


(Comment กันได้นะ )

อ่านเนื้อเรื่อง Fatal Frame ภาคอื่นๆได้ที่หน้าหลัก

กลับสู่หน้าหลัก

--------------------------------------------
Update History

- 09/24/2023 เพิ่มเนื้อเรื่องงานวิจัยเกี่ยวกับ ดร.อาโซ ของโฮโจเรน จากหนังสือ Rogetsu Reminiscences
- 01/03/2022 สลับลำดับเนื้อเรื่องของมิกุและช่วงบูรณะภูเขา, แก้ไขเนื้อเรื่องที่ผิดพลาดของ Shiragiku , เปลี่ยนศัพท์จากเรือแห่งทางผ่านเป็นเรือฮิกัง


4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ7 มกราคม 2567 เวลา 15:42

    สุดยอดมาก กลับมาที่บล็อคนี้บ่อย ๆ เพราะเป็นแฟนเกมนี้มาหลายปี ดีใจมากที่ยังอัพเดทเรื่อย ๆ เป็นกำลังใจให้นะครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณมากเลยครับ ถึงแม้จะไม่ค่อยได้อัพบ่อยเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะไม่ค่อยมีเวลา แต่ก็ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านอยู่นะครับ

      ลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ13 พฤษภาคม 2567 เวลา 11:21

    โห เราอ่านจนจบเลยครับ แบบละเอียดมาก เก่งมาก สุดยอดมาก น่าจะละเอียดสุดในไทยแล้วที่เคบหาข้อมูลมา เพราะเราชอบเกมนี้มากๆครับ จนอยากรบกวนถามว่าอันนี้มีเป็นเพจใน Facebook หรือช่อง Youtube ให้ติดตามไหมครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ เรื่องเพจกับช่องคือผมไม่ได้ทำเพจ Facebook ไว้เลย จะมีแค่ Youtube ที่เอาไว้ลงวิดีโอประกอบ Blog แค่นั้นเอง เพราะแค่หาข้อมูลลงบล็อกผมก็ใช้เวลาพอสมควรแล้วครับ แต่เพจ Facebook ที่เกี่ยวกับ Fatal Frame ก็มีของคนอื่นอยู่นะครับ

      ลบ