วันพุธที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2560

[เนื้อเรื่อง] Fatal Frame 3 เสียงเรียกจากรอยสัก - โศกนาฎกรรมการปลดปล่อย ฝันร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด

[SPOILER  ALERT!!] ระวังสปอยล์ บทความนี้เหมาะกับผู้เล่นที่เล่นจบแล้วและผู้เล่นที่สนใจแต่กลัวเกินกว่าจะเล่นได้ อ้างอิงมาจาก เอกสาร ไฟล์ในเกม บันทึกของเรย์และยู จกหมายของคานาเมะ รวมถึง Spirit List และแปลมาจากเกมอังกฤษ บางคำศัพท์อาจคลาดเคลื่อนจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นนะครับ....



Fatal Frame III








Fatal Frame III The Tormented 




               ในที่สุดก็มาถึงภาค 3 สักที ที่จริงแอบไปติดเกมปรุงยาที่ซื้อมา เล่นจนปลดถ้วยหมด เลยกลับมาเขียนภาค 3 ต่อ แต่ดันใช้เวลานานมาก เพราะเนื้อหามันเยอะมากกว่าที่คิดไว้ซะอีก T^T   ภาคนี้เป็นอีกภาค ที่เกมเพลย์สนุกมากกก บรรยากาศในเกมส์น่ากลัวตื่นเต้นดี โดยเฉพาะด่านหลังๆ ตอนที่เทียนดับ(ฮา) ถ้าภาคหนึ่งมันยากที่สุด ภาคสองฉากจบตรึงใจสุด ภาคสามคงเป็นภาคที่สนุกที่สุด เพราะลูกเล่นเยอะ (ลูกเล่นเราก็เยอะ ลูกเล่นผีก็เยอะ) ผีเลื่องชื่อที่เราเรียกกันอย่างผีใต้ถุนกับยายแก่รถเข็นก็อยู่ภาคนี้เช่นกัน (เหอๆ รถเข็นหรือรถสิบล้อ)



          -------------------------------------------------------------------------------------------------------



         มีเรื่องเล่าตำนานต่างๆเกี่ยวกับรอยสักในแถบตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น มีเรื่องเล่าหนึ่งที่มีชื่อว่า หญิงสาวรอยสัก

         ในเรื่องหญิงสาวรอยสัก มีเรื่องเล่าอยู่ว่า หญิงสาวคนหนึ่งได้สูญเสียคนรักไป และก่อนที่เธอจะลืมคนรักของเธอไปจนหมด เธอได้นำความเจ็บปวดของความรักที่ตนมีอยู่ ซึมซับลงไปในลายสักต้นฮอลลี่ แต่หลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ได้ตกหลุมรักอีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วเธอก็สูญเสียคนรักไปอีกครั้ง เธอจึงนำรอยสักสลักไว้บนร่างกายของเธออีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เธอได้สักลายงูศักสิทธิ์ลงไปบนเรือนร่างของเธอด้วย ดังนั้นวิญญาณของคนรักของเธอจึงไปสู่สถานที่ของพระเจ้าอย่างปลอดภัย เมื่อหญิงสาวมีความรักและสูญเสียขึ้นอีกครั้งเรื่อยๆ ผิวหนังของเธอก็จะเริ่มเต็มไปด้วยรอยสัก เธอจึงไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดของรอยสักอีกต่อไปได้และมันทำให้เธอเสียสติ ในขณะที่หัวใจของเธอถูกกลืนกินด้วยงูที่ถูกสลักลงบนหัวใจของเธอ

        เรื่องเล่านี้เป็นที่รู้จักกันในพื้นที่แถบนั้น แต่ก็ยังมีอีกเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่แตกต่างออกไปปรากฎขึ้นมา เรื่องนั้นมีชื่อว่า เจ้าแห่งรอยสัก เรื่องมีอยู่ว่า หญิงสาวที่สูญเสียคนรักได้ไปหาเจ้าแห่งรอยสักที่อยู่ในภูเขาเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด(เพื่อกักขังมันไว้ในตัวเธอ) เมื่อเจ้าแห่งรอยสักได้ยินเรื่องความเจ็บปวดของเธอ เจ้าแห่งรอยสัก ก็สักลายงูและต้นฮอลลี่ลงบนร่างของตน เพื่อดูดกลืนความเจ็บปวด เมื่อชาวบ้านได้ยินเรื่องดังกล่าว จึงได้มาหาเจ้าแห่งรอยสักคนแล้วคนเล่าเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของตน  ในที่สุดร่างกายของเจ้าแห่งรอยสักก็เต็มไปด้วยรอยสัก เจ้าแห่งรอยสักที่รับความเจ็บปวดอันมากมายก็ตกอยู่ในความฝันที่มาจากความเจ็บปวดของรอยสักที่สลักอยู่บนร่างกายของตนไปตลอดกาล และเธอก็ไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้อีกต่อไป สุดท้ายแล้ววิญญาณของเธอก็ถูกกลืนกินโดยลายสักงู

          แต่เรื่องราวนี้ก็ยังมีอีกรูปแบบหนึ่ง แต่เป็นฉากจบที่โศกเศร้ากว่า เป็นฉากจบที่ เจ้าแห่งรอยสักที่มีร่างกายเต็มไปด้วยรอยสัก แต่ทว่ารอยสักนั้นกลับมีเยอะเกินไปจนกระทั่งลายสักต้นฮอลลี่ได้เข้าไปในดวงตาของเธอ ทำให้ดวงตาของเธอกลายเป็นกระจกและความเจ็บปวดที่อยู่บนร่างกายของเจ้าแห่งรอยสักก็สะท้อนกลับไปสู่ผู้คนที่นำความเจ็บปวดมาให้ทุกๆคน และวิญญาณของทุกๆคนก็ถูกกลืนกินโดยงู..


  
                               “ตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่ต่อไป

                                        ส่วนหนึ่งของฉันก็จะมีชีวิตต่อไปเช่นกัน  ”
                                                                                                   อาโซ ยู  ถึง คุโรซาวะ เรย์



         ในอดีตลึกลงไปในภูเขาในพื้นที่เขตมุตสึ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น มีศาลเจ้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าศาลเจ้าคุเซะ ศาลเจ้านี้รู้จักกันในกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแถบนั้นว่า เป็นศาลเจ้าที่ชาวบ้านจะไปมอบความเจ็บปวดให้  

           ลึกลงไปในศาลเจ้าคุเซะ มีสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่าห้วงลึกแห่งขอบฟ้า(Abyss of the Horizon) เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่กว้างใหญ่ไกลลับขอบฟ้า น้ำในทะเลสาบแห่งนี้เป็นหนึ่งในรูปแบบของรอยแยก(Rift) ซึ่งเป็นสิ่งที่เชื่อกันว่าเป็นที่ที่แบ่งกั้นโลกคนเป็นและโลกคนตาย ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดวงวิญญาณของคนตายใช้ผ่านไปยังโลกหน้า



Abyss of the Horizon และ The Rift

       คำว่า รอยแยก(Rift) ในเขตมุทสึ เป็นคำไวพจน์ของความฝันซึ่งคำฝันเหล่านี้มาจาก ความรักความคิดถึงที่มีต่อคนตาย เมื่อผู้ที่สูญเสียคนรักฝันถึงคนรักที่ตายและมีความเจ็บปวดที่สูญเสียคนรักบ่อยขึ้น ความฝันนั้นก็จะเปลี่ยนกลายเป็นประตูที่จะทำให้คนตายกลับมา ดังนั้น คนที่สูญเสียและคิดถึงคนรัก จะต้องนำความทุกข์ของตนมามอบให้ศาลเจ้าคุเซะ

       ศาลเจ้าคุเซะ มีหน้าที่ปลดปล่อยความทุกข์ของผู้ที่มาสักการะ ผู้ที่สูญเสียคนรักหรือครอบครัวของตน  โดยการนำความเจ็บปวดนั้นไปสักลงในร่างกายของ มิโกะรอยสัก(Tattoo Priestess) ซึ่งมิโกะรอยสักจะถูกเลือกโดยผู้นำตระกูลคุเซะ โดยผู้ที่จะมาเป็นมิโกะ จะต้องเป็นคนที่เคยผ่านประสบการณ์การสูญเสียคนที่รักมาก่อนและยอมที่จะเป็นเครื่องสังเวย ผู้ที่ถูกเลือกส่วนมากจะเป็นคนมาจากนอกตระกูล หรือหมู่บ้านในระแวกใกล้ๆนั้น ผู้ที่ถูกเลือกจะนั่งอยู่ในเกี้ยวบนเรือมายังศาลเจ้าคุเซะและผู้นำตระกูลจะมอบนามสกุลคุเซะให้ หลังจากนั้นหญิงสาวผู้ถูกเลือกจะต้องอาศัยอยู่ที่ศาลเจ้านั่นและไม่ให้ออกไปไหนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเพื่อที่จะได้ตัดขาดรวมทั้งความสัมพันธ์จากโลกภายนอก หญิงสาวผู้เป็นมิโกะจะถูกกักขังไว้ในกรงแขวน(Hanging Prison)เพื่อรอวันที่พิธีสักวิญญาณจะมาถึง ซึ่งกรงดังกล่าวจะมีกลไกที่ทำให้กรงสามารถเลื่อนขึ้น-ลงระหว่างชั้น แต่ต้องใช้ลูกแก้วบริสุทธิ์ถึงจะใช้กลไกนี้ได้

        ศาลเจ้าคุเซะ ถูกดูแลโดยตระกูลคุเซะ ซึ่งสมาชิกในตระกูลส่วนใหญ่จะเป็นลูกบุญธรรม ถูกนำมาเลี้ยงที่ศาลเจ้าและตระกูลคุเซะจะมอบนามสกุลคุเซะให้เด็กที่ถูกรับมาเลี้ยง เด็กสาวที่มีอายุประมาน 5-9 ปี ไม่ว่าจะเป็นคนในตระกูลหรือถูกรับมาเลี้ยง ทางตระกูลคุเซะจะเลือกเด็ก 4 คนมาเป็นผู้ที่ทำให้มิโกะรอยสักหลับไหลอย่างสงบ หรือที่เรียกกันว่ามิโกะเด็ก(Handmaidens) ซึ่งมิโกะเด็กทั้ง 4 คนจะคอยช่วยเหลือสิ่งต่างๆ ภายในศาลเจ้า หน้าที่สำคัญของเหล่ามิโกะเด็กคือ การช่วยลดความเจ็บปวดและความเหงาของมิโกะรอยสักที่ถูกกักบริเวณไว้ในกรงแขวนในศาลเจ้าจนกว่าจะถึงพิธีสักลาย เด็กทั้ง 4 จะโดนฝึกสอนโดยผู้นำตระกูลคุเซะ และเรียนรู้บทเพลงกล่อมเด็กเพลงหนึ่ง เพื่อใช้กล่อมให้มิโกะรอยสักให้หลับไหล และเพลงนี้ก็ยังถูกขับร้องระหว่างดำเนินพิธีกรรมอีกด้วย เพลงนี้ถูกเรียกว่า มิโกะผู้หลับไหล(Sleeping Priestess)

บทเพลง Sleeping Priestess เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ
Sleep, priestess, lie in peace

Sleep, priestess, lie in peace

If you cry, the boat you'll ride, the last trip to the other side,

Once you get there, sacred marks you'll bear,

They shall be peeled off, should you fail to lie still.



Sleep, priestess, lie in peace

Sleep, priestess, lie in peace

If the priestess wakes from her dream

Perform the rite of stakes, her limbs pinned tight

Lest the doors open wide and suffering unleashed on all.



Go to the other side

Go to the other side

Cast the boat, take a ride, cross the rift to the other side

Further and further to the other side,

It must sail bearing your tattoos and our offering of tears.


บทเพลง Sleeping Priestess เวอร์ชั่นภาษาญี่ปุ่น (Romanji)
Neiryasayo hatate

Neiryasayo hatate

Nakuko wa kagobune tsui no michi

Ichiwara kisete onmekashi

Neiryasena sakamihagi

Neiryasayo hatate

Neiryasayo hatate

Miko-san awai ni okitsukeba

Shiseigi ugatte imii no gi

Kumon hiraite yasukarazu

Yukinasayo hatate

Yukinasayo hatate

Yukibune yurashite hatate

Kono kishi hiraite hatate

Rourou miwatari ka no kishi ni

Shisei watashite naku ga teage



         ในภายหลัง ชาวบ้านที่มามอบความเจ็บปวดให้ มาได้ยินเพลงนี้เข้า จึงนำเพลงนี้ไปดัดแปลงเป็นเพลงกล่อมเด็กและมีคำร้องที่แตกต่างออกไป  

         หลังจากที่มิโกะเด็กทั้ง 4 ทำหน้าที่เสร็จสิ้น ก็จะได้รับอนุญาตให้ออกจากศาลเจ้าไปใช้ชีวิตอยู่ภายนอกได้อย่างอิสระ 

         ศาลเจ้าคุเซะจะมีแต่ผู้หญิงอาศัยอยู่เท่านั้น ผู้ชายเป็นสิ่งที่ต้องห้ามสำหรับศาลเจ้าแห่งนี้ เพราะว่าจะทำให้จิตใจของมิโกะรอยสักว่อกแว่ก แต่พอเข้าฤดูหนาว บริเวณในแถบนั้นจะมีหิมะตก ศาลเจ้าจะอนุญาตชาวบ้านจากหมู่บ้านระแวกใกล้เคียงมาสักการะ ผู้ที่มาสักการะที่ศาลเจ้าในฤดูหนาวทุกๆปี จะนำถุงห่อศพที่มีศพของคนรักใส่ในรถเข็นและลากมันมายังที่ศาลเจ้า ผู้ที่มาสักการะจะต้องปกปิดใบหน้าของตน และในขณะเดียวกัน ผู้นำตระกูลก็จะเชิญแขกชายบางคนเข้าไปในศาลเจ้า โดยที่ผู้ชายจะถูกนำตัวไปอยู่ในห้องที่เตรียมไว้และถูกอนุญาตให้เข้าได้แค่บางห้องเท่านั้น พอตกกลางคืนชายที่ถูกเชิญเข้ามาก็จะถูกพาไปยังห้องของหญิงสาวในตระกูลคุเซะและร่วมรักกับหญิงสาวเพื่อสืบทอดเชื้อสายตระกูลคุเซะต่อไป เมื่อหิมะละลายจนหมด ชายคนดังกล่าวก็จะต้องออกจากศาลเจ้าไป แต่มีคำกล่าวว่าหลังจากที่ผู้ชายได้ออกไปจากศาลเจ้า ผู้ชายดังกล่าวจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยไม่กลับมาที่ศาลเจ้าอีก


ผู้มาสักการะ

         ในทุกๆ ปี เมื่อมีมิโกะรอยสักคนใหม่ ทางศาลเจ้าคุเซะจะหาช่างสักสาวสองคนจากหมู่บ้านระแวกใกล้เคียง มาที่ศาลเจ้าคุเซะเพื่อมาเป็น คนสัก(Engraver) ที่คอยสักความเจ็บปวดของผู้ที่มาสักการะลงบนร่างมิโกะรอยสัก พวกเธออาศัยอยู่ในศาลเจ้าดั่งนักโทษ ทั้งนี้เพื่อให้พวกเธอยอมพลีชีพเพื่อศาลเจ้าคุเซะ เมื่อถึงฤดูหนาว ซึ่งเป็นเวลาที่ผู้สักการะจะเอาความเจ็บปวดมาให้ทางศาลเจ้า ผู้สักการะจะมอบเลือดของตน รวมถึงร่างไร้วิญญาณของคนที่ตนรักมาให้ทางศาลเจ้า ทางศาลเจ้าจะแขวนศพคนรักของชาวบ้านแต่ละคนไว้ที่ห้องพระพุทธรูปไม้ และให้คนสักเก็บเลือดจากศพเหล่านั้นมา ซึ่งเลือดของผู้ที่มาสักการะและศพของคนรักของผู้ที่มาสักการะของแต่ละคนเปรียบเสมือนเลือดของคนเป็นและคนตาย เป็นตัวแทนของความเจ็บปวด  คนสักจะใช้เลือดทั้งสองมาผสมกับหมึก โดยหมึกที่ผสมกับเลือดของคนเป็นจะเรียกว่าหมึกสีแดง ส่วนหมึกที่ผสมกับเลือดคนตายจะเรียกว่าหมึกสีคราม  เมื่อเอาหมึกทั้งสองมาผสมกันจะกลายเป็น หมึกวิญญาณ เป็นสิ่งที่มีความเจ็บปวดอันมากมายมหาศาลอยู่ข้างใน และหมึกนี้จะถูกใช้สักบนร่างกายของหญิงสาวที่เป็นมิโกะรอยสักอีกด้วย


คนสัก

        เมือใกล้ถึงพิธีกรรมสักวิญญาณ ซึ่งเป็นพิธีที่จะต้องสักหมึกวิญญาณลงบนร่างกายของมิโกะรอยสัก คนสักจะต้องทำพิธีกรรมแห่งวิญญาณเสียก่อน ทั้งนี้เพื่อให้คนสักเข้าใจถึงความรู้สึกความเจ็บปวดของหมึกแดงและหมึกคราม รวมถึงไม่ให้สักพลาดและมองเห็นความฝันของมิโกะรอยสัก คนสักทั้งสองจะต้องถูกทำให้ตาบอด และถูกหนามอันมากมายแทงมือ  อีกทั้งพวกเธอทั้งสองจะต้องถูกสักด้วยเช่นกัน เพื่อให้พวกเธอถ่ายทอดความเจ็บปวดลงบนร่างกายของมิโกะได้ง่ายขึ้นในขณะที่สักลงบนร่างของมิโกะอีกด้วย

         เมื่อถึงพิธีกรรมสักวิญญาณ พิธีนี้จะจัดที่ศาลเจ้าสักลาย ที่อยู่ด้านในศาลเจ้าคุเซะ พิธีนี้ถูกจัดขึ้นต่อหน้าผู้นำตระกูลคุเซะ คนสักจะทำการสักหมึกวิญญาณลงไปบนร่างกายของมิโกะรอยสักทั้งตัว เป็นลายต้นฮอลลี่และลายงู ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ลายสักต้นฮอลลี่เปรียบเสมือนความเจ็บปวดของจิตใจที่สูญเสียคนรักไป ส่วนลายงูเป็นเครื่องหมายแห่งการโหยหาและการสงสารคนตาย ซึ่งระหว่างทำพิธีนี้เด็กมิโกะทั้ง 4 จะร้องเพลง มิโกะผู้หลับไหล ไปพร้อมกับพิธี



พิธีสักวิญญาณ

         เมื่อพิธีเสร็จสิ้น คนสักทั้ง 2 จะต้องตัดแขนของตนและกำจัดแขนของตนทิ้งไป ความเจ็บปวดของผู้ที่มาสักการะจะค่อยๆหายไปเพราะความทุกข์และความเจ็บปวดนั้นได้ย้ายไปอยู่บนร่างของมิโกะรอยสักแล้ว มิโกะรอยสักจะเริ่มมองเห็นความเจ็บปวดของรอยสักต้นฮอลลี่ในรูปแบบความฝัน ดังนั้น มิโกะรอยสักจะต้องกลับไปจำศีลในกรงแขวนเช่นเดิมเพื่อรอเวลาที่รอยสักจะขยายจนเต็มร่างของมิโกะเพื่อพิธีถัดไป  ส่วนมิโกะเด็กทั้ง 4 จะดูแลมิโกะรอยสักอย่างใกล้ชิด รวมถึงร้องเพลงกล่อมเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของรอยสักลายต้นฮอลลี่     

   เมื่อถึงเวลา มิโกะรอยสักจะต้องไปยังศาลเจ้าแห่งการสูญเสีย ซึ่งเป็นศาลเจ้าเล็กๆ ที่อยู่ในเส้นทางสุดท้าย(The Last Passage) ซึ่งเป็นเส้นทางระหว่างหุบเหวนรกและศาลเจ้าสักลาย  ที่ศาลเจ้าแห่งการสูญเสีย เป็นศาลเจ้าที่พิธีกรรมแห่งการบัญญัติเกิดขึ้น  มิโกะจะต้องถ่ายทอดความเจ็บปวดของตนลงบนกระจกแห่งการสูญเสียและพังกระจกบานดังกล่าวที่ศาลเจ้าแห่งการสุญเสีย เพื่อทำลายความสัมพันธ์ที่มีต่อโลกทั้งหมดและยอมรับรอยสัก เมื่อพิธีเสร็จสิ้น มิโกะจะถูกนำตัวใส่กรงและเลื่อนลงไปยังชั้นล่างสุดของหุบเหวนรก(Abyss) เพื่อไปสู่ตำหนักแห่งลิ่มตอก(Chamber of Thorn) เพื่อที่จะทำพิธีกรรมสุดท้าย ส่วนมิโกะเด็กและผู้นำตระกูลจะเดินลงบันไดวนในหุบเหวนรกลงไปยังชั้นล่างสุด


ศาลเจ้าแห่งการสูญเสีย


หุบเหวนรก

         เมื่อมาถึงพิธีกรรมตอกลิ่ม เด็กมิโกะทั้งสี่ที่ถูกเลือกจะเป็นผู้ตอกลิ่มลงบนร่างของมิโกะรอยสักเพื่อไม่ให้เธอเดินไปไหนในขณะที่ฝัน และร้องเพลงมิโกะผู้หลับไหล เพื่อช่วยกล่อมให้มิโกะหลับไหลและเก็บพลังแห่งรอยแยกให้อยู่ในความฝัน ไม่แผ่ออกไปสู่โลกภายนอกตลอดกาล ดังนั้นตำหนักแห่งลิ่มตอกแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยพลังของรอยแยก เนื่องจากเป็นสถานที่ที่กักเก็บความฝันและความเจ็บปวดของทุกๆคน ที่อยู่ในร่างกายของมิโกะรอยสักที่ถูกตอกอยู่ที่นี่


พิธีกรรมตอกลิ่ม

         เมื่อมิโกะได้หลับไหลลง จะถือว่าพิธีสำเร็จ เหล่าเด็กมิโกะทั้ง 4 จะทำการตอกตุ๊กตาคุชิมิที่อาบไปด้วยหมึกแห่งวิญญาณลงบนกำแพงหนึ่งตัวไว้ที่ห้องแท่นบูชาตุ๊กตาที่ห้องของตน ซึ่งมิโกะทั้ง 4 จะมีห้องของตนคนละหนึ่งห้อง เช่น ห้องทิศเหนือ ห้องทิศใต้ ห้องทิศตะวันออก ห้องทิศตะวันตก แล้วร้องเพลงกล่อมแก่ตุ๊กตานั้น เพื่อเป็นการภาวนาให้มิโกะรอยสักหลับไหลอย่างสงบ

          ถ้ามิโกะคนใดที่ไม่สามารถหลับไหลและไม่สามารถทนความเจ็บปวดที่ผู้สักการะมามอบให้ตนได้ พวกเธอเหล่านั้นจะกลายเป็นมิโกะผู้ล้มเหลว มิโกะเหล่านั้นจะเข้าสู่พิธีถลกหนัง ซึ่งจะถลกหนังที่มีแต่รอยสักของมิโกะทั้งหมด ร่างของมิโกะที่ถูกถลกหนังจะถูกวางไว้บนเรือ และแล่นไปยังอีกฟากหนึ่ง(โลกหน้า)ที่ห้วงลึกแห่งขอบฟ้า ที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของศาลเจ้า เพื่อป้องกันไม่ให้พลังแห่งมิติรอยแยกแผ่ออกมา ส่วนหนังที่ถลกมาจะถูกติดไว้ที่แท่นบูชารอยสักเอาไว้เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจแก่มิโกะรอยสักคนถัดไป หลังจากนั้น เหล่าเด็กมิโกะทั้ง 4 จะช่วยขับร้องเพลงมิโกะผู้หลับไหล เพื่อกล่อมความเจ็บปวดให้คงอยู่ในรอยสักบนผิวหนังนั้น






             พิธีกรรมในศาลเจ้าคุเซะดำเนินมาทุกๆปี ในสมัยหนึ่ง ในตอนนั้นได้มีการซ่อมแซมตัวบ้านของศาลเจ้า ทำให้ผู้นำตระกูลคุเซะต้องเรียกช่างไม้ของศาลเจ้าที่มีฝีมือจากพื้นที่ใกล้เคียงมา คนจำนวนหนึ่งในกลุ่มช่างไม้มีคนจากตระกูลนารุมิที่ในตอนนั้นคอยรับใช้ตระกูลคุเซะอยู่ในนั้นด้วย ตระกูลนารุมิมีการใช้วิชาอาคมในการสร้างหรือซ่อมแซมบูรณะศาลเจ้าที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น พวกเขามีประเพณีแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง เมื่อหลังจากเหล่าช่างไม้ทำการซ่อมแซมและทำงานเสร็จเรียบร้อย ก็จะถูกคนของตระกูลนารุมิฆ่าอย่างเงียบๆ เพื่อนำมาบูชายัญเป็นเสามนุษย์ เพื่อให้ศาลเจ้าปราศจากภัยพิบัติ ในเหตุการณ์ซ่อมแซมครั้งนั้นทำให้มีคนจากตระกูลนารุมิจำนวนหนึ่งเสียชีวิต





          ผ่านมาสองสมัยหลังจากเกิดการซ่อมแซม เรื่องราวทั้งหมดได้เริ่มต้นขึ้นในสมัยที่คุเซะ ยาชูเป็นผู้นำตระกูล หน้าที่ของผู้นำตระกูลคือการทำพิธีให้เป็นไปได้อย่างราบรื่นและยับยั้งไม่ให้เกิดเหตุการณ์ การปลดปล่อย(The Unleashing)  เธอมีลูกสาวอยู่หนึ่งคน ชื่อว่าคุเซะ  เคียวกะ เคียวกะเป็นลูกสาวที่เกิดจากยาชูกับชายคนหนึ่งที่ถูกเชิญเข้ามาในฤดูหนาว  เมื่อเคียวกะโตขึ้น ยาชูเห็นว่าเธอถึงวัยอันเหมาะสมที่เธอจะต้องมีลูกเพื่อสืบทอดตระกูลคุเซะ

            ในฤดูหนาวนั้น ยาชูได้เชิญผู้ชายคนหนึ่งเพื่อให้มามีลูกกับเคียวกะ ชื่อว่า คาชิกาวะ อากิโตะ อากิโตะเป็นนักคติชนวิทยา ที่สนใจในเรื่องเพลงกล่อมเด็กที่ถูกสืบทอดต่อกันมาในเขตมุทสึในทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นจึงมาที่เขตแห่งนี้ อากิโตะถูกเชิญมาในฐานะแขกชาย พอถึงตอนกลางคืนเขาได้ถูกเชิญไปยังห้องของเคียวกะ



ภาพถ่ายของอากิโตะ

             อากิโตะได้เริ่มพูดคุยกับเคียวกะ เพื่อทำความสนิทสนมกัน เขาได้เล่าเรื่องราวของตัวเองให้เคียวกะฟัง เคียวกะฟังเรื่องราวของอากิโตะอย่างตั้งใจ เธอได้ดีดโคโตะให้อากิโตะฟัง ซึ่งอากิโตะก็คิดว่าเสียงที่เธอดีดออกมาสวยงามเหมือนกับเส้นผมอันงดงามของเคียวกะ จึงได้เอ่ยปากชมถึงความงามของเส้นผมของเคียวกะไป เคียวกะที่ได้ยินก็รู้สึกดีใจและเขินอายในเวลาเดียวกัน ตั้งแต่นั้นมาเธอก็หวีผมของเธอโดยตลอด อีกทั้งอากิโตะได้มอบรูปถ่ายของตนให้เตียวกะรวมถึงใช้กล้อง Obscura ที่เขาพกมาถ่ายรูปเคียวกะ

           อากิโตะได้บอกเคียวกะว่า เขามาค้นคว้าเกี่ยวกับบทเพลงกล่อมเด็กที่อยู่ในแถบนี้ เคียวกะได้ร้องเพลงดังกล่าวให้อากิโตะฟัง และยังบอกว่าในคฤหาสน์หลังนี้ก็ใช้เพลงในการทำพิธีด้วยเช่นกัน แต่เคียวกะไม่ได้เล่าเรื่องพิธีกรรมให้อากิโตะฟังแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้ว่าอากิโตะจะอยากรู้เรื่องราวของพิธีกรรมแต่ก็กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทก็เลยไม่ได้ถามไป ทั้งสองเริ่มสนิทสนมกันและตกหลุมรักกันในที่สุด

         ผ่านมาครึ่งเดือน อากิโตะรู้ว่า ถ้าหิมะละลายหมดเมื่อไหร่ เขาก็ต้องออกจากคฤหาสน์และไม่ได้กลับมาหาเคียวกะอีกแน่ เขาจึงคิดที่จะพาเคียวกะออกไปจากศาลเจ้าด้วย

            แต่หลังจากหมดฤดูหนาว อากิโตะกลับถูกยาชูฆ่าตายเนื่องจากยาชูรู้ถึงแผนการณ์ของอากิโตะ เธอซ่อนศพและเสื้อผ้าของอากิโตะรวมถึงกล้อง Obscura ที่อากิโตะนำมา เอาไว้เพื่อไม่ให้เคียวกะรู้ เคียวกะที่ไม่ได้พบกับอากิโตะก็เอาแต่หวีผมของตัวเอง เพื่อรอวันที่อากิโตะจะกลับมาอีกครั้ง โดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

          สิ่งที่อากิโตะทิ้งไว้ให้เคียวกะคือรูปถ่ายของเขา, ต่างหูเสียงสะท้อน 2 คู่(Echo Stone Earrings)ที่ว่ากันว่าจะได้ยินเสียงของผู้ที่ใส่อีกข้างหนึ่ง และเด็กที่อยู่ในท้องเคียวกะ เมื่อลูกของเคียวกะคลอดออกมาเป็นเด็กชาย เธอตั้งชื่อให้ว่าคานาเมะ แต่เคียวกะรู้ว่าเมื่อคานาเมะมีอายุถึง 4 ปีเมื่อไหร่ ยาชูผู้ซึ่งเป็นแม่ของเธอจะต้องชำระล้างคานาเมะออกไป ตามกฎของตระกูลคุเซะแน่ๆ ซึ่งการชำระล้างในที่นี้หมายถึงฆ่าทิ้งโดยการเอาไปโยนทิ้งลงในบ่อน้ำของศาลเจ้านั่นเอง เคียวกะจึงลักลอบเอาคานาเมะไปฝากให้คนในหมู่บ้านใกล้ๆ เลี้ยงดู ซึ่งตระกูลที่รับเลี้ยงคานาเมะไปคือ ตระกูลโอโตสึกิ และคานาเมะก็ได้นามสกุลนี้ไปใช้  ก่อนที่จะจากกันเคียวกะได้มอบต่างหูเสียงสะท้อนที่ได้มาจากอากิโตะ  ให้คานาเมะ 3 อัน เพื่อเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความรักระหว่างเธอ และเคียวกะเชื่อว่าเวลาอากิโตะมาพบคานาเมะ เขาจะจำต่างหูนั่นได้และเอาเขาไปเลี้ยงแทนเธอ คานาเมะในวัยเด็กได้รู้จักกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านที่มีชื่อว่า ยูคิชิโระ เรย์กะ ทั้งสองเริ่มสนิทกันและตกหลุมรักกัน

           วันหนึ่งคานาเมะได้ถามพ่อแม่บุญธรรมของเขาถึงพ่อแม่ที่แท้จริงของตน  พ่อแม่บุญธรรมได้บอกคานาเมะว่า เป็นเพราะธรรมเนียมของบ้านที่แท้จริงของคานาเมะ จึงทำให้แม่ที่แท้จริงของตนต้องทิ้งคานาเมะให้พ่อแม่บุญธรรมดูแล แต่คานาเมะก็ไม่โกรธหรือกล่าวโทษพ่อแม่ที่แท้จริงของเขาและยังสงสัยว่า ตอนนี้แม่ของเขาจะมีความรู้สึกยังไงต่อเขา

          ทางด้านศาลเจ้า ยาชูได้ทำการเชิญผู้ชายมากมายมายังคฤหาสน์ แต่เคียวกะเห็นว่าผู้ชายที่เข้ามาไม่มีเหมือนกับอากิโตะเลยสักคน จนในฤดูหนาวปีหนึ่ง เธอได้มีลูกกับชายนิรนามคนหนึ่ง เมื่อคลอดออกมาก็พบว่าเด็กคนนั้นเป็นผู้หญิง เคียวกะจึงตั้งชื่อให้เด็กผู้หญิงคนนั้นว่า อามาเนะ และใช้นามสกุล คุเซะ ของศาลเจ้า เมื่ออามาเนะโตขึ้นจนถึงวัยที่เหมาะสม เธอก็ถูกยาชูเลือกให้เป็น 1 ใน 4 มิโกะเด็กผู้ที่จะช่วยให้มิโกะรอยสักหลับไหลอย่างสงบเป็นคนแรก และยาชูก็ได้รับเลี้ยงเด็กสาวทั้ง 3 คนจากหมู่บ้านใกล้เคียง มาเป็นมิโกะเด็กและมอบนามสกุลคุเซะให้เด็กทั้งสาม เด็กผู้หญิง 3 คนที่ถูกเลือก มีชื่อว่า ชิกุเระ ,มินาโมะ และคนสุดท้ายที่ถูกเลือกคือ ฮิซาเมะ  โดยห้องแท่นบูชาตุ๊กตาของอามาเนะอยู่ทางทิศใต้ ชิกุเระอยู่ทิศตะวันตก มินาโมะอยู่ทิศตะวันออก และฮิซาเมะอยู่ทิศเหนือ


อามาเนะ(คนแรก) มินาโมะ(คนสอง) ชิกุเระ(คนสาม) และฮิซาเมะ(คนสุดท้าย)

     ถึงแม้ฮิซาเมะจะถูกเลือกมาเป็นคนสุดท้าย แต่เนื่องจากการที่เธอเป็นคนที่เคร่งครัดและเคารพต่อหน้าที่มากที่สุดในมิโกะเด็กทั้ง 4 จึงทำให้ฮิซาเมะกลายเป็นมิโกะเด็กที่ยาชูไว้วางใจมากที่สุด

             ในหมู่มิโกะเด็กทั้งสี่คน จะมีชิกุเระคนเดียวเท่านั้นที่เรียกอามาเนะว่าพี่สาวถึงแม้ว่าจะไม่ใช่พี่แท้ๆก็ตาม เนื่องจากเธอมีความเห็นอกเห็นใจและเคารพอามาเนะที่เป็นมิโกะคนแรก

              เคียวกะได้บอกอามาเนะว่าอามาเนะมีพี่ชายอยู่หนึ่งคน และมักจะบอกอามาเนะว่าเรื่องนี้เป็นความลับอยู่ตลอด เคียวกะบอกอามาเนะว่าพี่ชายของเธอมีต่างหูเสียงสะท้อนเหมือนกับที่เคียวกะมี ซึ่งจะทำให้ได้ยินเสียงของกันและกันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม อามาเนะสงสัยว่าถ้าเกิดเธอใช้ต่างหู คานาเมะจะได้ยินเสียงของเธอรึเปล่า อามาเนะอยากจะพบพี่ชายของเธอมากๆ

        ทางด้านคานาเมะและเรย์กะที่โตขึ้น คานาเมะได้ออกจากหมู่บ้านไป เพื่อไปศึกษาในเมือง แต่เขาก็ยังคิดถึงเรื่องที่จะกลับมาหาเรย์กะ ก่อนที่จะออกจากหมู่บ้านไป คานาเมะได้มอบต่างหูเสียงสะท้อนที่ได้รับมาจากแม่ให้เรย์กะ 1 อันและเก็บกับตัวไว้ 2 อัน โดยที่คานาเมะจะใส่ต่างหูไว้ข้างหนึ่ง เพื่อที่ทั้งคู่จะได้ยินเสียงของกันและกัน
 

ยูคิชิโระ เรย์กะ และ โอโตสึกิ คานาเมะ ตอนโต

      ในช่วงที่คานาเมะกำลังศึกษาอยู่ในเมือง หมู่บ้านที่เขาเคยอยู่ก็เกิดภัยพิบัติขึ้น(เชื่อกันว่าเป็นหิมะถล่ม) ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนั้นเสียชีวิตและสูญหายไป เหลือแค่เรย์กะที่เป็นหนึ่งในผู้รอดชีวิต การที่เรย์กะสูญเสียครอบครัวอันเป็นที่รักไปทำให้เธอเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เธอรู้สึกสูญเสียทุกอย่าง ในตอนนั้นยาชูที่รู้เรื่องของเรย์กะ จึงได้ส่งคำชวนให้เธอมาเป็นมิโกะรอยสัก เรย์กะที่ไม่สามารถหาทางติดต่อคานาเมะได้และไม่เหลืออะไรจึงยอมรับคำชวนไปและมุ่งหน้าไปยังศาลเจ้าคุเซะ เพราะตนอยากจะช่วยเหลือผู้อื่นไม่ให้รู้สึกเจ็บปวดแบบที่ตนเองเป็นอยู่

           ยาชูได้มอบนามสกุลคุเซะให้เรย์กะ และให้เธออาศัยอยู่ในศาลเจ้าคุเซะ ยาชูได้เลือกคนสักสองคนจากหมู่บ้านใกล้เคียงมา และมอบหมายหน้าที่ให้มิโกะเด็กทั้ง 4 อามาเนะ ชิกุเระ มินาโมะ และ ฮิซาเมะ  มารับผิดชอบเรย์กะ
           
       ทางด้านคานาเมะ ที่ได้ไปศึกษาในเมือง เขาพบอะไรหลายๆอย่าง และเขาก็เขียนจดหมายหาเรย์กะ และเล่าสิ่งที่เขาพบ โดยไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านและเรื่องที่เรย์กะกลายเป็นมิโกะรอยสักเลยสักนิดเดียว

      เมื่อถึงฤดูหนาว ศาลเจ้าคุเซะเชิญให้ผู้สักการะมามอบความเจ็บปวดให้ คนสักทั้งสองได้เก็บรวบรวมเลือดของผู้สักการะและศพที่สักการะมาเอาผสมกับหมึกเพื่อทำหมึกแห่งวิญญาณ  เรย์กะถูกนำตัวไปยังศาลเจ้าสักลายเพื่อน้อมรับรอยสักที่มีแต่ความเจ็บปวดของผู้สักการะ ยาชูเองก็ได้เข้ามาดูพิธีสักลายของเรย์กะในฐานะผู้นำตระกูล มิโกะเด็กทั้ง 4 ก็ร้องเพลง มิโกะผู้หลับไหล กล่อมเรย์กะ ในขณะที่ คนสักกำลังสักลายลงไปบนตัวของเรย์กะ

        เมื่อพิธีกรรมสำเร็จ เรย์กะก็เริ่มฝันและได้ยินเสียงของเหล่าผู้สักการะรวมถึงความเจ็บปวดของพวกเขา เรย์กะถูกนำตัวกลับยังกรงแขวนเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของรอยสักและรอเวลาให้รอยสักขยายไปทั่วร่าง ในระหว่างนั้นมิโกะเด็กทั้ง 4 ก็ช่วยร้องเพลงมิโกะผู้กลับไหล เพื่อกล่อมให้เรย์กะ เพื่อช่วยปลอบประโลมรอยสัก


เรย์กะนอนอยู่ในกรงแขวน


         อามาเนะรู้สึกมีความสุขมากที่ช่วยเหลือบรรเทาความเจ็บปวดของเรย์กะ แต่ผิดกับมินาโมะที่รู้สึกกระตือรือร้นในการใช้ลิ่มตอกเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่ต้องเขียนลงในไดอารี่ว่า เธอทนรอไม่ไหวที่จะใช้ลิ่มตอกเรย์กะ เลยทีเดียว

          ในระหว่างที่เรย์กะอยู่ในกรง อามาเนะที่คอยดูแลเรย์กะก็ได้พูดคุยกับเรย์กะ เรย์กะเล่าเรื่องถึงโลกข้างนอกและเรื่องความสัมพันธ์ของคานาเมะและตัวเธอเองให้อามาเนะฟัง  อามาเนะที่ฟังก็สังเกตเห็นต่างหูที่เรย์กะใส่ มันคือต่างหูเสียงสะท้อนที่เคียวกะ แม่ของอามาเนะมอบให้พี่ชายของเธอ ทำให้อามาเนะมั่นใจว่า เพื่อนของเรย์กะ คือพี่ชายของเธอ

          ก่อนที่จะถึงวันพิธีกรรมแห่งการบัญญัติ เรย์กะรู้ว่าตนจะต้องถ่ายทอดความรู้สึกของตน รวมถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อคานาเมะลงในกระจก ทำให้เธออยากจะพบคานาเมะอีกครั้งในความฝัน ด้วยความปราถนาอันแรงกล้าของเรย์กะ ส่งผลให้คานาเมะที่อยู่ในเมืองเกิดอาการฝันประหลาดถึงศาลเจ้าคุเซะทุกๆคืน ผ่านไปไม่กี่คืน คานาเมะก็เริ่มรู้ว่าสถานที่ในฝันคือศาลเจ้าคุเซะ ถึงจะแปลก แต่ก็ชวนให้เขาคิดถึงวันเก่าๆ เขาได้ยินเสียงของใครบางอย่าง เสียงของผู้หญิงที่ดูคล้ายๆ เรย์กะ จึงทำให้เขาเกิดความสงสัยว่าทำไมเขาถึงได้ยินเสียงของเรย์กะในความฝันนั่น

           คืนต่อๆมา คานาเมะฝันถึงศาลเจ้าคุเซะอีก เขาได้เดินสำรวจห้องต่างๆ จนพบกับกรงแขวนแปลกประหลาด ข้างในนั้นมีหญิงสาวผู้งดงามที่อยู่ในชุดสีน้ำเงิน คานาเมะคิดว่านั่นจะต้องเป็นมิโกะรอยสักที่จากเรื่องที่ตนเคยได้ยินมาแน่ๆ

           คืนต่อมาคานาเมะฝันถึงศาลเจ้าคุเซะอีก  แต่ในฝันคืนนั้นเขาก็ได้พบผู้หญิงคนหนึ่งที่มีผมยาวสีดำที่กำลังหวีผมของตัวเอง เสียงโคโตะที่ผู้หญิงคนนั้นดีดทำให้คานาเมะคิดถึงเรื่องในอดีต เขาคิดว่านั่นจะต้องเป็นเคียวกะ แม่ที่แท้จริงของตนแน่ๆ  ซึ่งนั่นทำให้คานาเมะคิดถึงบ้านเกิดมากๆ

           ถึงแม้ว่าคานาเมะจะฝันถึงศาลเจ้าคุเซะอยู่บ่อยครั้ง แต่เขายังคงปักใจเชื่อว่าเรย์กะยังอยู่ที่หมู่บ้าน จนกระทั่งคืนหนึ่งคานาเมะฝันถึงคฤหาสน์คุเซะอีกครั้ง เขาฝันเห็นมิโกะรอยสักและ มิโกะเด็กทั้ง 4 แต่ในตอนนั้นกลับมีอะไรบางอย่างที่เป็นพลังแห่งความเศร้าที่ทำให้เขารู้สึกเชื่อว่า มิโกะรอยสักคนนั้นจะต้องเป็นเรย์กะ ที่จริงๆแล้ว ควรจะอยู่ที่หมู่บ้านซะมากกว่า ทำให้ความรู้สึกของคานาเมะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

          วันหนึ่งเพื่อนของคานาเมะที่เป็นนักเรียนได้พาคานาเมะไปรู้จักกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่ชื่อว่า ดร.อาโซ คุนิฮิโกะ ที่กำลังวิจัยเรื่องความฝันแปลกประหลาดอยู่ แต่คานาเมะไม่ได้พบกับ ดร.อาโซ แบบตัวเป็นๆ

            วันต่อมา คานาเมะได้มีส่วนร่วมในการวิจัยของ ดร.อาโซ ทำให้คานาเมะได้มีโอกาสพบปะกับ ดร. อาโซ  ที่ห้องของ ดร. อาโซมีสิ่งปะดิษฐ์แปลกตาหลายอย่าง รวมถึงกล้อง Obscura ที่สามารถถ่ายรูปได้ ทำให้คานาเมะรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก  ถึงคานาเมะจะกลัวในสิ่งที่ ดร.อาโซ คิดเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองจะพูด แต่คานาเมะก็ตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องความฝันที่เขายังพอจำได้ให้ ดร.อาโซฟัง

           คานาเมะได้ฝันกลางวันถึงศาลเจ้าคุเซะอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าวันนั้นกลับเป็นวันที่ตรงกับวันพิธีกรรมแห่งการบัญญัติพอดี คานาเมะฝันเห็นมิโกะรอยสักอีกครั้ง มิโกะรอยสักถูกรอบล้อมไปด้วยมิโกะเด็กทั้ง 4 รอยยิ้มที่เคยมีของมิโกะคนนั้นหายไปแล้ว ผิวอันงดงามของเธอเต็มไปด้วยรอยสัก เธอยืนอยู่ในความว่างเปล่า ราวกับยอมแพ้ในชีวิต ทำให้คานาเมะรู้สึกเจ็บปวดใจ มิโกะคนนั้นถูกส่งไปยังที่ห่างไกลออกไป ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ศาลเจ้าคุเซะในชีวิตจริง ที่เรย์กะลงไปที่ศาลเจ้าแห่งการสูญเสีย เธอถ่ายทอดความเจ็บปวดของตัวเธอเองลงไปในกระจกแห่งการสูญเสียและทำลายกระจกทิ้ง     

           หลังจากนั้นเธอถูกส่งตัวไปหุบเหวนรกเพื่อไปยังชั้นล่างสุด เรย์กะถูกขังอยู่ในกรงแขวน ใบหน้าของเรย์กะเต็มไปด้วยความทุกข์ความโศกเศร้า ซึ่งตอนนั้นในโลกแห่งความฝัน คานาเมะก็ได้มาอยู่ตรงหน้าเรย์กะพอดี ทั้งคู่ได้เจอกันในโลกแห่งความฝัน เรย์กะที่เห็นคานาเมะก็ยื่นมือออกไปหาคานาเมะทันที ยาชูที่เห็นเรย์กะยื่นมือออกมาก็หันกลับไปมองประตูข้างหลังว่าเรย์กะยื่นมือหาใคร แต่ยาชูก็ไม่พบอะไรเนื่องจาก โลกแห่งความฝันนั้นเป็นความฝันของเรย์กะ ซึ่งมีแค่เรย์กะคนเดียวเท่านั้นที่มองเห็น คานาเมะที่เห็นเรย์กะยื่นมือมา ก็ยื่นมือออกไปจับมือของเรย์กะ แต่ในขณะมือของทั้งสองกำลังจะสัมผัสกัน กรงแขวนที่ขังเรย์กะก็ถูกเลื่อนลงไปด้านล่างสุดของหุบเหวนรกเสียก่อน ในตอนที่จะจับมือกันคานาเมะได้สังเกตเห็นบางอย่างที่อยู่ตรงหูของมิโกะรอยสักคนนั้น มันคือต่างหูเสียงสะท้อนที่เขามอบให้เรย์กะก่อนออกจากหมู่บ้าน ทำให้คานาเมะรู้ทันทีว่ามิโกะรอยสักคนนั้นคือเรย์กะ เขาตื่นขึ้นมาในสภาพที่ควบคุมสติของตัวเองไม่อยู่และเอาแต่เตือนตัวเองว่า มันเป็นแค่ความฝันๆ



เรย์กะยืนมือไปหาคานาเมะที่อยู่ในความฝัน

           หลังจากที่ตื่นขึ้นมา คานาเมะตัดสินใจจะนำฝันที่ตนฝันกลางวัน ไปเล่าให้ ดร.อาโซฟัง ดร.อาโซทำการอัดเสียงของคานาเมะระหว่างที่คานาเมะเล่าเรื่องลงในเทป แต่ว่าในขณะที่คานาเมะเล่าเรื่องให้ ดร.อาโซฟัง ในหัวของเขาก็เต็มไปด้วยเรื่องที่จะต้องกลับบ้านเกิดให้เร็วที่สุด หลังจากการคุยกันเสร็จสิ้น คานาเมะก็รีบกลับบ้านเกิดโดยเร็วทันที เขาทิ้งสิ่งของมากมายไว้ที่ห้องของ ดร.อาโซ รวมทั้ง ต่างหูเสียงสะท้อนข้างหนึ่ง ซึ่งภายหลัง ดร.อาโซ ก็ใช้ต่างหูเสียงสะท้อนนี้ประดิษฐ์วิทยุวิญญาณ ที่สามารถใช้ฟังเสียงของคนตายได้

              ในขณะเดียวกันหลังจากคานาเมะที่ตื่นขึ้นมา ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ศาลเจ้าคุเซะ  เรย์กะได้ถูนำตัวไปยังตำหนักแห่งลิ่มตอกเพื่อทำพิธีกรรมตอกลิ่ม มิโกะเด็กทั้ง 4 ร้องเพลงกล่อมเรย์กะและตอกลิ่มลงบนแขนขาของเรย์กะเพื่อให้เรย์กะหลับไหล และฝันตลอดกาล  หลังจากนั้นมิโกะทั้ง 4 ก็นำตุ๊กตาคุชิมิไปตอกที่ห้องบูชาของตน

              คานาเมะได้เดินทางมาถึงศาลเจ้าคุเซะ เขาได้ใช้วิธีปลอมตัวปะปนมากับกลุ่มคนที่มาสักการะบูชาที่ศาลเจ้า และลอบเข้ามาในศาลเจ้าได้สำเร็จ แต่ว่าในขณะที่เขากำลังตามหาเรย์กะ เขาก็ถูกอามาเนะพบเห็นโดยบังเอิญ อามาเนะที่เห็นคานาเมะก็สังเกตเห็นต่างหูเสียงสะท้อนที่อยู่บนหูของคานาเมะ ทำให้เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้เนี่ยแหละคือ คานาเมะ พี่ชายของเธอ

              อามาเนะได้คิดที่จะแอบช่วยเหลือคานาเมะให้ไปพบเรย์กะ เพราะตนอยากจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพี่ชายของเธอรวมถึงเรย์กะ โดยที่ตนรู้ว่ามันผิดกฎของตระกูลคุเซะและหัวหน้าตระกูลต้องโกรธมากแน่ๆ

             ชิกุเระที่ล่วงรู้แผนของอามาเนะ ก็พยายามเตือนเธอไม่ให้แหกกฎของคุเซะ แต่ความตั้งใจของอามาเนะมีมากเกินไป จึงทำให้เธอไม่คิดจะล้มเลิกแผนการ

             อามาเนะได้เอาเทียนไขบริสุทธิ์ ที่มีไฟบริสุทธิ์สีฟ้าให้คานาเมะใช้ในขณะที่ไปหาเรย์กะที่อยู่ในตำหนักลิ่มตอกด้านในสุด เพื่อปัดเป่าไออากาศแห่งความชั่วร้ายที่กักขังอยู่ในตำหนักแห่งลิ่มตอกออกไป ซึ่งไออากาศชั่วร้ายนี้จะทำให้รอบข้างเป็นสีขาวดำ

            ยาชูที่ล่วงรู้ถึงแผนการณ์ว่าคานาเมะจะเข้าไปหาเรย์กะที่อยู่ในตำหนักแห่งลิ่มตอกก็โกรธจัด และแอบตามลงไปเพราะกลัวว่าถ้ามิโกะรอยสักตื่นขึ้นมาระหว่างกำลังหลับไหล จะทำให้เกิดโศกนาฎกรรมขึ้น ทางด้านอามาเนะที่ได้ให้คานาเมะลงไปหาเรย์กะที่อยู่ในตำหนักลิ่มตอกคนเดียว ก็ไปแอบซ่อนตัวอยู่ที่ห้องหนังสือของศาลเจ้าเพื่อรอคานาเมะกลับมาและใช้ไฟบริสุทธิ์สีฟ้าทำหน้าที่เป็นตัวให้แสงสว่าง โดยไม่รู้เลยว่ายาชูได้แอบตามคานาเมะเข้าไป

             ในที่สุดคานาเมะก็เข้ามาในตำหนักลิ่มตอก เขาหาร่างของเรย์กะที่ถูกลิ่มตอกกับพื้นจนเจอ คานาเมะวางเทียนไขบริสุทธิ์ลงแล้วเรียกชื่อของเรย์กะ เรย์กะที่ตื่นขึ้นมาเห็นคานาเมะ คนรักของตนอยู่ข้างหน้าก็ยิ้มให้ ทั้งคู่ยิ้มให้กัน


คานาเมะพบเรย์กะ

           แต่ทว่าคานาเมะไม่ทันจะได้พูดอะไร ยาชูที่ลอบมาด้านหลังก็ใช้มีดฟันไปที่หลังของคานาเมะทำให้คานาเมะตายทันที ยาชูได้ฆ่าคานาเมะสำเร็จแต่ก็สายไปเสียแล้ว เรย์กะที่นอนอยู่มองเห็นคนรักของตนตายต่อหน้าต่อตา ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดและเศร้าโศกอย่างมาก รอยสักที่แบกรับความเจ็บปวดเข้ากลืนกินดวงตาของเรย์กะ ทำให้ดวงตาของเรย์กะสะท้อนความเจ็บปวดนั้นออกมา ความเจ็บปวดเหล่านั้นถูกพลังแห่งรอยแยกที่อยู่ในห้องดูดกลืน และถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้เรย์กะสามารถเดินไปไหนก็ได้ราวกับอยู่ในความฝัน ที่ไหนที่เรย์กะเดินไป ที่นั่นจะถูกมิติรอยแยกกลืนกิน กลายเป็นโศกนาฎกรรมการปลดปล่อย


การปลดปล่อย(Unleashing)

                ยาชูที่อยู่ข้างๆ ได้รับความเจ็บปวดจากลายสักต้นฮอลลี่ที่สะท้อนออกมา เธอกรีดร้องอย่างเจ็บปวดแต่ก็สามารถหนีออกมาได้ทันเวลา โชคยังดีที่มิติรอยแยกที่รวมกับไออากาศชั่วร้าย ขยายตัวได้ช้า ทำให้ยาชูมีเวลาพอที่จะใช้แผนการของตนเพื่อหยุดยั้งไม่ให้มิติรอยแยกแผ่ขยายออกไปยังโลกภายนอก

               อามาเนะที่รอคานาเมะอยู่ ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น ไฟสีฟ้าบริสุทธิ์ทิ่ยู่บนเทียนไขก็ใกล้จะดับลงทุกที ยาชูที่ขึ้นมาได้สั่งให้ฮิซาเมะ พากลุ่มเด็กมิโกะ อีก 2 คน จับอามาเนะที่ซ่อนตัวอยู่ไปลงโทษที่พาผู้ชายเข้ามาในศาลเจ้า โดยตอกอามาเนะลงกับพื้นที่อยู่ด้านล่างสุดของหุบเหวนรกเนื่องจากเป็นสถานที่ที่ใกล้จุดที่แหล่งพลังของมิติรอยแยกมากที่สุด  ทำให้อามาเนะเสียชีวิต ซึ่งการตอกอามาเนะในครั้งนี้ทำให้ชิกุเระรู้สึกผิดอย่างมาก



อามาเนะถูกตอกกับพื้นที่ก้นหุบเหวนรก

                เมื่ออามาเนะถูกตอก ส่งผลให้การขยายตัวของมิติรอยแยกช้าลงไปอีก ทำให้ยาชูมีเวลาพอที่จะเรียกช่างไม้ฝีมือดีของศาลเจ้ามาสร้างศาลเจ้ารอยแยกและใช้ช่างเหล่านั้นเป็นเสามนุษย์ เพื่อผนึกไม่ให้มิติรอยแยกขยายตัวจนออกไปสู่โลกภายนอก ซึ่งระหว่างที่ช่างไม้กำลังเดินทางมา ยาชูก็ได้ปิดศาลเจ้าไม่ให้คนนอกเข้ามาและเอาแต่สวดภาวนาให้มิโกะรอยสักหลับไหล

               ยาชูได้เรียกช่างไม้ 10 คนมาอย่างลับๆ ซึ่งนำโดย เทนไก นารุมิ ชายหนุ่มที่สืบทอดทักษะช่างไม้จากบรรพบุรุษ ด้วยทักษะวิชาอาคมและวิธีอันน่าประหลาด ทำให้ช่างไม้คนอื่นๆเชื่อใจเขาและถูกเลือกให้เป็นหัวหน้า


ช่างไม้ทั้งสิบ

               นอกจากนารุมิ เทนไคก็ยังมี ชิเงโอมิ โมริยะ , นิเรอิ โมริยะ , ทัตสึมิ โมริยะ และ อินุอิ โมริยะ ที่เป็นช่างไม้แกะสลักจากตระกูลโมริยะ ที่เป็นตระกูลที่รับใช้ต่อตระกูลคุเซะมาตลอด ส่วนช่างไม้อีก 5 คนที่เหลือก็เป็นช่างไม้ฝีมือดีทั่วไปที่ถูกเรียกมาโดยหารู้ไม่ว่าตนเองจะกลายเป็นเหยื่อในการสังเวยเป็นเสามนุษย์

              ยาชูสั่งให้ช่างไม้ทั้งสิบ ซ่อมศาลเจ้าลายสักก่อนแล้วจึงสร้างศาลเจ้ารอยแยก เธอให้ฮิซาเมะดูแลการจัดการทั้งหมดแทนตน เนื่องจากตนโดนคำสาปของมิติรอยแยกเข้าไปเต็มๆ และต้องพักฟื้น ส่วนชิกุเระก็มีน่าที่ดูแลสอดส่องเหล่าช่างไม้ที่จะต้องถูกบูชายัญ ไม่ให้หนีเล็ดลอดออกไปได้

               ในการที่จะผนึกมิติรอยแยกและกักขังไออากาศชั่วร้ายไม่ให้ออกมาสู่ภายนอกและส่วนที่คนในศาลเจ้าใช้พักอาศัย พื้นที่ส่วนลานกว้างด้านหน้าศาลเจ้าสักลายจนไปถึงตัวศาลเจ้าจะต้องถูกผนึกอยู่ในถ้ำขนาดใหญ่ที่นำไปสู่หุบเหวนรกและต้องไม่มีแสงสว่างเล็ดลอดผ่านเข้าไป 

               พูดง่ายๆคือ การที่ไออากาศชั่วร้ายจะออกมาสู่โลกภายนอกนั้น มันจะต้องผ่านปากถ้ำหุบเหวนรกออกมา ดังนั้นช่างไม้จะต้องสร้างกำแพงและหลังคามาครอบคลุมบริเวณลานกว้างจนมิดชิด โดยไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้แสงเล็ดลอดเข้าไป(ซึ่งใหญ่มาก สังเกตุได้จาก ชั่วโมงที่ 10 ตอนที่เราปีนหลังคา) เป็นการปิดผนึก กักขังไออากาศชั่วร้ายไปพร้อมกับถ้ำหุบเหวนรกนั่นเอง

              เพราะแบบนั้น เหล่าช่างไม้จำเป็นต้องสร้างศาลเจ้ารอยแยกข้างหน้าถ้ำและสร้างอาคารต่อเติมจากศาลเจ้าดั้งเดิม ทำให้ศาลเจ้าคุเซะกลายเป็นอาคารขนาดใหญ่  ซึ่งเสาหลักของผนึกคือต้นไม้วิญญาณที่อยู่ด้านหน้าประตูที่จะเข้าสู่ลานกว้าง    เมื่อสร้างศาลเจ้ารอยแยกสำเร็จ เหล่าช่างไม้ก็นำไม้ไปปิดกั้นประตูที่นำไปสู่ลานกว้างและลงผนึกไว้

             ในพื้นที่ศาลเจ้าคุเซะใหม่ ช่างไม้ทั้งสิบในทำการสร้างห้องต่างๆ ไว้เพื่อเหล่าช่างไม้และคนในตระกูลคุเซะได้พักอาศัย รวมทั้งห้องที่ใช้ในทางศาสตร์ลับอาคม เพื่อป้องกันเหตุเกิดที่ไม่คาดฝันขึ้น โดยอาคารใหม่ทั้งหลังถูกแยกจากอาคารดั้งเดิม ด้วยลานกว้างด้านหน้าศาลเจ้าคุเซะเดิม

            ห้องนอนของยาชู เคียวกะ และมิโกะทั้ง 4 ถูกย้ายมาในอาคารใหม่ทั้งหมด ห้องทำงานของเทนไกถูกตั้งอยู่เหนือห้องนอนของเหล่าช่างไม้ทุกคน และมีช่องขนาดเล็กไว้เพื่อสอดส่องการกระทำของลูกน้องตน

            แต่ทว่าไม่นาน การใช้ผนึกชั้นเดียวอย่างศาลเจ้ารอยแยกก็ไม่สามารถจะบรรจุให้มิติรอยแยกอยู่ภายในผนึกไว้ได้ ดังนั้นยาชูจึงสั่งให้เหล่าช่างไม้ สร้างศาลเจ้าแห่งการหลับไหลขึ้นมา เพื่อผนึกบริเวณศาลเจ้าคุเซะดั้งเดิมทั้งหมดไว้ในมิติรอยแยกและกักขังให้เรย์กะเดินอยู่ในนั้นตลอดกาล อาณาเขตของศาลเจ้าแห่งการหลับไหลนี้จะถูกมาร์คไว้ในแต่ละห้องของเด็กมิโกะทั้ง 4

                 เมื่อการสร้างศาลเจ้าอาคารต่อเติม มาถึงขั้นตอนที่ต้องใช้เสามนุษย์ หัวหน้าช่างไม้อย่างเทนไกก็ต้องคิดหนักกับสิ่งที่ตนต้องทำในฐานะหัวหน้าของเหล่าช่างไม้ นั่นคือ การสังหารช่างไม้ทั้งหมดซึ่งเป็นลูกน้องของตน เพื่อให้ผนึกแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เทนไก นารุมิจึงรวมเหล่าช่างไม้ของตนให้มาอยู่ในห้องเดียวกัน และจัดการใช้มีดขนาดใหญ่ฆ่าทุกคน  เหล่าช่างไม้ที่เห็นเทนไกไล่ฆ่าพวกตน ก็เกิดอาการกลัว วิ่งหนีออกมาและหาที่หลบซ่อน แต่ทว่า สมาชิกของตระกูลโมริยะทั้ง 4 ก็ดักรอเหล่าช่างไม้ที่หนีออกมาตามทางต่างๆ ในที่สุดเหล่าช่างไม้ทั้งหมดก็ถูกสังหาร ศพพวกเขาถูกฝังในกำแพงตามทางเดินของอาคารใหม่กลายเป็นเสามนุษย์ รวมถึงใต้หินสุสานที่ลานกว้างด้านหน้าศาลเจ้าคุเซะเดิม เพื่อปัดเป่าความมืดจากมิติรอยแยก ลานกว้างด้านหน้าศาลเจ้าคุเซะดั้งเดิมจึงกลายเป็นลานกว้างหินสุสานแทน


นารุมิ เทนไคในตอนที่ไล่สังหารเหล่าช่างไม้

             หลังจากที่ช่วยเทนไกสังหารช่างไม้  สมาชิกของตระกูลโมริยะทั้ง 4 ก็ยอมให้เทนไกฆ่าตายเพื่อกลายเป็นเสามนุษย์เช่นกัน ที่จริงแล้วตามปกติหัวหน้าช่างไม้จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อสืบทอดศาสตร์ช่างไม้ที่สืบทอดกันต่อมาให้พวกรุ่นหลัง แต่สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ นารุมิ เทนไก ต้องสังเวยชีวิตตัวเองในห้องเสามนุษย์ เพื่อกลายเป็นเสาหลัก หลังจากที่เทนไกฆ่าตัวตาย เหล่ามิโกะเด็กทั้ง 3 ที่ยังเหลืออยู่ ก็ช่วยกันสร้างตุ๊กตาคุชิมิ ไปประดับไว้ที่ต้นไม้วิญญาณซึ่งตุ๊กตาเหล่านั้นเปรียบเสมือนตัวแทนของเหล่าช่างไม้ที่เสียสละตนเองให้เป็นเสามนุษย์

             ในตอนนี้ผนึกก็สามารถหยุดยั้งกระขยายตัวของมิติรอยแยกได้ มินาโมะและฮิซาเมะได้ดูแลยาชูที่นอนพักฟื้นอย่างใกล้ชิด ส่วนชิกุเระก็ได้รับหน้าที่ให้ดูแลเคียวกะ โดยใช้เส้นทางของหลังคาที่ลานกว้างสุสานเข้าไปที่ห้องเคียวกะ แต่ด้วยความรักความคิดถึงต่ออากิโตะ รวมทั้งการตายของอามาเนะ ทำให้เคียวกะโศกเศร้าอย่างหนัก จนสุดท้ายเธอก็ตรอมใจตาย

              แต่หลังจากนั้นไม่นานลำพังการใช้เสามนุษย์ของเหล่าช่างไม้อย่างเดียวก็ไม่อาจจะหยุดยั้งการขยายตัวของมิติรอยแยกได้ ทุกคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในศาลเจ้าก็ถูกรอยแยกกลืนกิน เหลือแค่ยาชูกับเหล่าเด็กมิโกะ แค่ 4 คนเท่านั้น ยาชูที่รู้ว่าตนใกล้จะตายเพราะความเจ็บปวดของรอยสักต้นฮออลี่ ก็สั่งฮิซาเมะให้ดำเนินการ การตอกลิมครั้งสุดท้าย ก่อนที่ยาชูจะตาย ยาชูก็นึกถึงตอนที่เธอลงมือฆ่าคานาเมะ เพราะตอนนั้นเธอก็เห็นต่างหูเสียงสะท้อนที่อยู่ที่หูของคานาเมะ เธอจึงมั่นใจว่าคานาเมะคือเด็กผู้ชายที่เคียวกะแอบลักลอบไปให้คนในหมู่บ้านเลี้ยงดูแทน ดังนั้นเธอจึงได้รู้ว่าสาเหตุที่อามาเนะช่วยเหลือคานาเมะ เพราะคานาเมะคือพี่ชายของอามาเนะนั่นเอง ยาชูที่คิดแบบนั้นก็ได้พูดว่า ช่างน่าเศร้ายื่งนัก”ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจ

            หลังจากที่ยาชูตาย ฮิซาเมะที่รับทราบคำสั่งก็พา ชิกุเระและมินาโมะไปทำพิธีกรรมการตอกลิ่มครั้งสุดท้าย พิธีที่ว่านี้คือ แผนการขั้นสุดท้ายในการยับยั้งการขยายตัวของรอยแยก ซึ่งจะถูกใช้ในยามสถานการณ์คับขันเท่านั้น ฮิซาเมะได้พา ชิกุเระและมินาโมะไปยังห้องปิดกั้น ที่อยู่เหนือห้องเสามนุษย์ ฮิซาเมะและชิกุเระได้ตอกลิ่มลงบนร่างของมินาโมะที่อยู่บนพื้น หลังจากนั้น ชิกุเระก็ถูกฮิซาเมะตอก



ฮิซาเมะและชิกุเระตอกร่างมินาโมะในพิธีการตอกลิ่มครั้งสุดท้าย


              ในตอนนี้ ในคฤหาสน์ไม่มีผู้ที่มีชีวิตหลงเหลืออีกแล้วนอกจากฮิซาเมะ ทั้งคฤหาสน์ว่างเปล่าและมืดราวกับความฝัน แต่ถึงกระนั้นฮิซาเมะก็ทำหน้าที่ของตนโดยการสลักอาคมไว้บนกำแพงในห้องนั้นไปเรื่อยๆ จนเธอจบชีวิตลง

            หลังจากโศกนาฎกรรมการปลดปล่อยในเวลานั้น ศาลเจ้าคุเซะก็ถูกปิดร้าง  เรย์กะที่อยู่ข้างในมิติรอยแยกไม่สามารถออกมาสู่โลกภายนอกได้เพราะถูกผนึกกักขังเอาไว้ในศาลเจ้าที่อยู่ในมิติรอยแยก แต่ถึงกระนั้นพลังของเธอก็ยังคงดึงเหล่าผู้ที่สูญเสียและอาลัยอาวรณ์ต่อคนที่ตนรัก รวมทั้งคนที่รู้สึกผิดและหมดกำลังใจในการใช้ชีวิตเนื่องจากสูญเสียคนรักให้เข้ามาติดคำสาป ทำให้คนเหล่านั้นฝันถึงศาลเจ้าคุเซะ และติดคำสาปรอยสัก

            ผู้คนที่ติดคำสาปรอยสัก มักจะถูกดึงให้ไปอยู่ในศาลเจ้าคุเซะในช่วงที่กำลังหลับ ภายในฝันนั้น บริเวณรอบๆศาลเจ้า จะเป็นช่วงฤดูหนาวอย่างเดียวและมีหิมะตกตลอด เนื่องจากช่วงฤดูหนาว จะเป็นช่วงที่ศาลเจ้าคุเซะจะเปิดให้ผู้คนจากภายนอกเข้ามาภายในศาลเจ้าได้นั่นเอง







        วันเวลาผ่านไปหลายสิบปี ผู้คนมากมายเริ่มติดคำสาป ฝันถึงศาลเจ้าคุเซะมากขึ้นและได้หายตัวไป รวมถึงสึซึริแฝดผู้พี่ตามความเชื่อจากตระกูลโอซากะ จากหมู่บ้านมินาคามิด้วย
        
         ช่วงต้นทศวรรษปี 1900 ในหมู่บ้านเมียวจินอันแสนสงบสุข ครอบครัวโคซุฮาระที่มีสมาชิกคือ พ่อ แม่ และลูกสาว 1 คน ได้ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขเรื่อยมาจนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกสาวที่มีชื่อว่าโคซุเอะได้ทำลูกบอลไปติดอยู่บนหลังคา ทำให้ผู้ที่พ่อต้องปีนขึ้นไปเก็บลูกบอลมาให้เธอ แต่ว่าพ่อของเธอกลับเสียหลักและตกลงมาเสียชีวิต ด้วยความกลัวโคซุเอะก็เลยไม่กล้าบอกแม่ในสิ่งที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับทางด้านแม่ของเธอที่มีชื่อว่า มากิเอะ ก็ได้พบศพสามีของเธอ แต่เธอเองก็ไม่กล้าบอกลูกสาวของตนว่าคุณพ่อเสียชีวิตและทำเป็นว่าสามีของเธอได้หายตัวไป ทั้งที่จริงแล้วโคซุเอะผู้เป็นลูกสาวรู้เรื่องถึงเหตุการณ์ทั้งหมด ทั้งคู่เดินเข้าไปในป่าออกตามหาพ่อทุกวัน โดยทั้งคู่เก็บความลับของตัวเองไม่กล้าบอกอีกฝ่าย เพราะทั้งคู่คิดว่าการเดินหาไปเรื่อยๆ จะทำให้ทั้งสองฝ่ายรู้สึกดี จนในที่สุดทั้งคู่ฝันถึงศาลเจ้าคุเซะและตกอยู่ใต้คำสาป  ผ่านมา 1 ปี เพื่อนบ้านในแถบนั้นได้เข้ามาเยี่ยมเยียนเธอ แต่สิ่งที่พบก็คือบ้านที่ถูกปล่อยร้างและคราบเถ้าธุลีสีดำ

             ข่าวลือแปลกประหลาดเกี่ยวกับศาลเจ้าคุเซะได้ถูกเล่ากระจายออกไปอย่างแพร่หลายมากขึ้น ว่ากันว่าที่นั่นเป็นศาลเจ้าร้างที่เฮี้ยนมากๆ บางคนก็ได้เข้าไปในศาลเจ้าคุเซะจนพบกับสิ่งแปลกประหลาดในนั้น จนมีข่าวลือที่ว่า คุณสามารถพบคนตายที่ศาลเจ้านั่นได้ และมีคำกล่าวอีกว่า คนตายจะพาคุณไปยังอีกโลกๆหนึ่ง  เนื่องจากศาลเจ้าที่ถูกต่อเติมมานั้นมีขนาดใหญ่ ทำให้ผู้คนเรียกศาลเจ้าที่อยู่ในความฝันนั้นว่า คฤหาสน์แห่งการนิทรา”   อีกทั้งข่าวลือนี้ยังดังมากจนถูกนำไปเขียนเป็นหัวข้อในนิตยสารอีกด้วย



คฤหาสน์แห่งการนิทรา

            ผู้คนหลายคนได้ตกอยู่ภายใต้คำสาป เช่นเดียวกับอาซานุมะ  คิริโกะ บ้านของเธอถูกโจรปล้น พ่อแม่รวมถึงพี่ชายของเธอถูกโจรฆ่าตาย ด้วยความกลัว คิริโกะจึงไปซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้า เธอติดอยู่ในตู้เสื้อผ้าถึง 4 วัน และเมื่อชาวบ้านรู้เรื่องราวก็นำเรื่องที่เกิดขึ้นแจ้งเจ้าหน้าที่ ในที่สุดคิริโกะก็ถูกช่วยเหลือโดยเจ้าหน้าที่และถูกนำตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาล หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นที่เธอเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว จึงทำให้คิริโกะเริ่มมีอาการติดคำสาปรอยสัก จนผ่านไปหนึ่งเดือนในวันที่ 13 ในขณะที่หมอกำลังจะเข้าไปตรวจเธอ ก็พบว่าเธอได้หายตัวไปแล้ว

.
.
.
.
.
.
       ผ่านมาหลายปี คุโรซาวะ เรย์ ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง  เธอได้คบหาดูใจกับอาโซ ยู  ที่ศึกษาอยู่ในสาขามนุษวิทยาและคติชนวิทยา  จนในที่สุดทั้งสองก็หมั้นกัน  ในสมุดบันทึกของเรย์กล่าวไว้ว่านิสัยของยูตรงข้ามกับเธอในทุกๆด้าน เพราะยูเป็นคนที่สุภาพและใจดี      


คุโรซาวะ เรย์และ อาโซ ยู

        เมื่อทั้งคู่เรียนจบ พวกเขาก็อาศัยอยู่ด้วยกัน เรย์ได้ทำงานเป็นช่างภาพ ส่วนยูได้เข้าทำงานในสำนักพิมพ์ เขาได้เป็นบรรณาธิการของหนังสือเกี่ยวกับเรื่องตำนานพื้นบ้าน ปรัชญาและมนุษวิทยา ที่นั่นเขาก็ได้พบกับเพื่อนอีกสองคน ชื่อว่าฮินาซากิ มาฟุยุและอามาคุระ เคย์ ทั้งสามคนสนิทกันและทำงานค้นคว้าเรื่องราวลึกลับตามตำนานพื้นบ้านด้วยกันบ่อยครั้ง เคย์พบว่าเรื่องตำนานพื้นบ้านนั้นน่าสนใจ แต่เขาเป็นคนที่ไม่ชอบออกฟิลด์สักเท่าไหร่


อามาคุระ เคย์

          วันหนึ่งในปี 1986 อาจารย์ ทาคามิเนะ จุนเซ นักเขียนหนังสือสยองขวัญกับคณะที่เคย์กับมาฟุยุทำงานด้วย ได้หายตัวไปหลังจากที่ไปสำรวจคฤหาสน์ฮิมุโระ มาฟุยุได้คิดที่จะออกไปตามหาอาจารย์จุนเซและคณะด้วยตัวเอง ซึ่งก่อนที่เขาจะไป เขาก็บอกกับยูว่าถ้าหากเขาเป็นอะไรไป ฝากดูแลน้องสาวของเขาด้วย หลังจากนั้นมาฟุยุก็หายตัวไปอีกคน

          2 สัปดาห์ต่อมา หลังจากที่มาฟุยุได้หายตัวไป ฮินาซากิ มิกุ น้องสาวของมาฟุยุ รู้สึกเป็นห่วงพี่ชายจึงสำรวจเอกสารทั้งหมดของพี่ชายและพบว่าพี่ชายของเธอได้ไปยังคฤหาสน์ฮิมุโระพร้อมกับกล้อง Obscura ที่สืบทอดกันมาในตระกูล มิกุจึงตัดสินใจไปยังคฤหาสน์ฮิมุโระเพื่อตามหาพี่ชายที่ตัวหายไป(เหตุการณ์ใน Fatal Frame ภาคแรก)



มิกุ ฮินาซากิในภาค 1(ซ้าย)และ ใน 2 ปีต่อมา(ภาค 3)(ทางขวา)

          ผ่านมา 4 คืน มิกุ ฮินาซากิก็กลับมา ซิกส์เซนส์ที่เธอมีหายไปจนหมดรวมถึงมาฟุยุ พี่ชายของเธอก็หายไปด้วย ยูจึงรับมิกุมาดูแลตามคำสัญญาที่มีไว้ให้กับมาฟุยุ โดยพาเธอมาอยู่ที่บ้านของตน ยูแนะนำมิกุให้รู้จักกับเรย์ที่เป็นคู่หมั้นของตน และต่อมามิกุก็กลายเป็นผู้ช่วยของเรย์ในที่สุด เธอกับเรย์มีสัตว์เลี้ยงเป็นแมวสีดำหนึ่งตัวชื่อว่ารูริ ถึงแม้ว่ารูริจะเป็นแมวของเรย์ แต่ชื่อของมันก็ได้มิกุเป็นคนตั้งให้ ซึ่งรูริก็ดูจะชอบมิกุมากเลยทีเดียวและมักจะไปอยู่ที่ห้องนอนของมิกุอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้มิกุจะเสียพี่ชายของตนไปแต่เธอก็ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เรย์ฟัง มิกุคิดจะลืมเรื่องราวที่เธอพบและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

          ผ่านมา 2 ปี ในปี 1988 เดือนกรกฎาคม  แถวมินาคามิได้มีการสร้างเขื่อนขึ้น อามาคุระ ชิสุ พี่สาวของ เคย์ ได้พาลูกสาวฝาแฝดของเธอ มิโอะ และมายุ กลับบ้านเกิดเพื่อไปเยี่ยมบ้านเกิดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ที่นั่นจะกลายเป็นเขื่อนไป แต่ทว่าในวันนั้นมิโอะและมายุก็หายตัวไปอย่างลึกลับในป่ามินาคามิตามข่าวลือในระแวกนั้น (เหตุการณ์ใน Fatal Frame 2)




อามาคุระ มิโอะและอามาคุระ มายุ ในภาค 2



       ชิสุที่พบว่าลูกสาวทั้งสองหายตัวไปก็วิตกกังวลและขอให้คนมาช่วยตามหา หลังจากวันที่มิโอะและมายุหายตัวไปได้หนึ่งสัปดาห์ มิโอะก็ถูกพบคนเดียวในป่าส่วนมายุหายสาปสูญ มิโอะไม่ยอมบอกหรือเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในระหว่างที่เธอหายตัวไป เพราะมิโอะรู้สึกช็อคและเศร้าโศกอย่างมากกับเหตุการณ์ที่เธอเจอ หลังจากนั้นไม่นานชิสุก็ป่วยและเข้ารักษาในพยาบาล ด้วยการที่เธอไม่มีเวลาดูแลลูกสาวที่เหลืออยู่คนเดียวเพราะต้องเข้าโรงพยาบาล เธอจึงมอบหน้าที่ให้เคย์ น้องชายของตนดูแลมิโอะแทน

        เคย์ได้พามิโอะมาหายู เนื่องจากยูเองก็มีความรู้เรื่องคนสูญหาย(โดนผีลักซ่อน)อยู่เหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่ามิโอะกลับจะสร้างปัญหาให้ยูซะมากกว่า

        หลังจากการหายตัวไปของมาฟุยุและอาจารย์จุนเซ ยูกับเคย์ก็เริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องลึกลับรวมถึงข่าวลือต่างๆ ที่ทำให้คนหลายคนหายตัวไป จนได้รู้เรื่องราวข่าวลือของคฤหาสน์แห่งการหลับไหลในเขตมุทสึที่มีเคยข่าวลือจนนำไปตีพิมพ์ในนิตยสาร ในช่วงปี1960 โดยทั้งคู่แยกกันค้นคว้าและนำมาแบ่งกัน

       วันหนึ่งยูกับเรย์ได้ขับรถออกไปนอกบ้านแต่ทว่า ในคืนนั้นเป็นคืนที่ฝนตก ถนนลื่นมากจนทำให้รถที่ทั้งคู่นั่งมาเสียหลักและพลิกคว่ำ ในอุบัติเหตุครั้งนั้นเรย์รอดชีวิตมาได้ แต่ยูเสียชีวิตอยู่ในรถ เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้เรย์ช็อคและเสียใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นมาเธอก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ที่บ้านและรับงานเฉพาะที่บ้านอย่างเดียว มิกุที่อยู่ที่บ้านก็เอาใจใส่ดูแลเรย์ เพราะมิกุเองก็เข้าใจในความรู้สึกของคนที่ต้องสูญเสียคนที่รักไป



อุบัติเหตุรถคว่ำ

        ในช่วงวันที่ 1-9 เดือนสิงหาคม ได้เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกทำให้ผู้โดยสารในเครื่องบินเสียชีวิตจนหมดยกเว้น ทาคิกาวะ โยชิโนะ ที่กระเด็นออกมาจากตัวเครื่องตกลงบนต้นไม้ทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บมากและไม่โดนไฟคลอก รอดชีวิตมาได้อย่างกับปาฏิหาริย์  หลังจากที่เครื่องบินตก 4 วัน เธอก็ถูกพบและได้เข้ารักษาในโรงพยาบาลคัตสึรางิ ในช่วงที่เธออยู่ในโรงพยาบาล เธอเริ่มมีอาการกลัวที่จะอยู่คนเดียว เธอเริ่มเขียนไดอารี่เพราะเธอคิดว่าถ้าเขียนไดอารี่แล้วมีคนมาอ่าน มันอาจจะทำให้เธอลืมเหตุการณ์ที่ทำให้เธอฝันร้ายนั่น เธอได้เขียนถึงครอบครัวของเธอและนาโอยะ คู่หมั้นของเธอที่ตายในเหตุการณ์เครื่องบินตก ด้วยการที่โยชิโนะรอดออกมาคนเดียวนั้นทำให้เธอโศกเศร้าเป็นอย่างมาก


ภาพถ่ายของโยชิโนะและคู่หมั้น

        วันที่ 13 โยชิโนะได้ฝันว่าตนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่มีหิมะ ตรงหน้าเธอมีคฤหาสน์แห่งการนิทราอันใหญ่โตตั้งอยู่ โยชิโนะเดินเข้าไปในนั้นแล้วก็พบกับครอบครัวและนาโอยะที่ตายไป ผ่านไปหลายวันโยชิโนะก็ฝันถึงคฤหาสน์แห่งการนิทราบ่อยขึ้น  ในระหว่างที่เธอเดินอยู่ในคฤหาสน์แห่งการนิทรา เธอก็พบกับเรย์กะ หญิงสาวรอยสักที่เปลือยท่อนบน ร่างกายเต็มไปด้วยรอยสัก โยชิโนะได้ถูกเรย์กะสัมผัส ทำให้เธอติดคำสาปรอยสัก เมื่อเธอตื่นขึ้นมาก็เริ่มมีอาการ PTSD เริ่มเจ็บปวด รวมถึงร้องเพลงกล่อมเด็กและมองเห็นเรย์กะแม้จะไม่ได้ฝันก็ตาม โยชิโนะมองเห็นรอยสักที่กระจายตามร่างของตนแต่เมื่อนำไปบอกหมอ หมอก็ไม่พบอะไร ผ่านไปนานวันโยชิโนะก็มีชีวิตโดยการหลับมากกว่าตื่น ซึ่งเหล่าแพทย์ก็ระบุว่าอาการที่เธอใช้เวลานอนหลับนานขึ้นมากกว่าตื่นเป็นเพราะการตอบสนองการป้องกันทางชีววิทยาต่อความเจ็บปวดที่ตนได้รับ เธอรู้สึกเจ็บปวดและโทษตัวเองที่เป็นคนรอดชีวิตคนเดียว ภายในความฝันโยชิโนะคอยวิ่งหนีเรย์กะอยู่ตลอดเวลา เพราะเธอไม่อยากให้เรย์กะจับเป็นอีกครั้งที่ 2 และไม่อยากมองเห็นความเจ็บปวดอีกต่อไป

        ทางด้านเคย์ที่ไม่ได้ข่าวการเสียชีวิตของยูก็ค้นคว้าเรื่องของคฤหาสน์แห่งการนิทรา เขาได้ข่าวถึงการหายตัวไปของคนไข้บางคนในโรงพยาบาลจึงไปสำรวจ ที่นั่นเขาได้เทปเทปหนึ่งที่เป็นเทปเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ผู้ที่ติดคำสาปรอยสัก ถึงแม้ว่าในเทปนั้นจะมีเสียงรบกวนเยอะมาก แต่เนื้อหาที่อยู่ในเทปนั้นมันก็น่าสนใจเขาจึงส่งเทปนี้พร้อมกับจดหมายมาให้ยู

        ถึงเคย์จะไม่ค่อยชอบออกฟิลด์สักเท่าไหร่ แต่เขาก็สนใจในเรื่องดังกล่าว เคย์ได้สืบเรื่องราวถึงที่อยู่ของคฤหาสน์แห่งการนิทราและออกเดินทางไปที่เขตมุทสึในทันที แต่ที่นั่นเขาไม่พบอะไรแม้แต่หมู่บ้าน เพราะในปัจจุบันหมู่บ้านระแวกนั้นได้หายไปจนหมดแล้ว เหลือแค่บ้านหลังใหญ่ที่ถูกทิ้งร้างไว้ซึ่งบ้านร้างนั่นก็คือศาลเจ้าคุเซะที่ถูกปล่อยทิ้งร้างนั่นเอง


ศาลเจ้าคุเซะในปัจจุบัน

      เคย์เดินเข้าไปสำรวจในบ้านที่มีแต่ซากปรักหักพังและก็พบกับของบางอย่างเข้า เขาพบกล้อง Obscura (ที่ในอดีตเป็นของอากิโตะ) แต่ก็พบว่ามันพังไปแล้ว เนื่องจากเป็นของที่เขาพบเคย์จึงนำกล้องนี้กลับบ้านมาด้วย พอมาถึงบ้านเคย์ก็เอากล้อง Obscura ให้มิโอะดู มิโอะที่เห็นกล้อง Obscura ก็เกิดอาการหวาดกลัวจนตัวแข็ง จึงทำให้เคย์สงสัยว่ากล้องนี้อาจจะทำให้มิโอะนึกถึงเหตุการณ์บางอย่างที่เธอไม่อาจจะเล่าได้ เคย์ได้เขียนจดหมายถึงยูอีกฉบับพร้อมกับส่งกล้อง Obscura ไปให้ยู และลงท้ายไว้ว่าถ้ายูพบอะไรก็อย่าลืมที่จะบอกให้เขารู้ด้วย 


กล้อง Obscura ที่เคย์พบ

      แต่หลังจากนั้นไม่นาน มิโอะก็ติดคำสาปรอยสักเนื่องจากตนรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำกับมายุ ทำให้เคย์คิดว่าโรคที่มิโอะเป็นอยู่ อาจจะเป็นโรคที่กล่าวถึงตามตำนานพื้นบ้านที่ตนศึกษา แต่เขาคิดว่านั่นมันก็อาจจะเป็นแค่ข่าวลือโคมลอย เคย์เคยได้ยินว่ามีหนังสือที่วิจัยเกี่ยวกับเรื่องจิตเวช เขาจึงเขียนจดหมายมาถึงยู เผื่อยูจะรู้อะไรบ้าง เพื่อที่เขาจะได้รู้เบาะแสถึงสิ่งที่มิโอะเป็นอยู่ ซึ่งจดหมายแต่ละฉบับที่เคย์ส่งมา เรย์ก็เป็นคนรับเองทั้งหมด
     
      วันที่ 7 กันยายน เรย์ได้รับงานให้ไปถ่ายภาพที่บ้านร้างแห่งหนึ่ง(ศาลเจ้าคุเซะ) ในเขตมุทสึ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เธอกับมิกุจึงมุ่งหน้าไปที่นั่น และระหว่างที่เธอกำลังถ่ายภาพซากปรักหักพังของศาลเจ้าอยู่นั้น เธอก็พบกับยูที่น่าจะเสียชีวิตไปแล้วอีกครั้ง....
.
.
.
.
.
.
.
.
To be Continued in Fatal Frame 3 The Tormented




-------------------------------------------------------------------------------------------------------

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
- ธีมสีของภาค 3 เป็นสีน้ำเงิน
- เรย์นางเอกหลักของเกม ก็ชอบสีน้ำเงินเหมือนกัน
- ในตอนแรกมิโอะถูกวางแผนให้เป็นหนึ่งในตัวละครหักที่เล่นได้ในภาคนี้
- ในเนื้อเรื่องเรย์สามารถใช้ มิโตริ ซึ่งเป็นอบิลิตี้ในภาค 5 ได้
- จากข้อด้านบนจึงมีความเชื่อว่าบรรพบุรุษของเรย์มาจากตระกูลคุโรซาวะในภูเขาฮิคามิ
- เรย์เคยทำงานถ่ายภาพให้นิตยสาร แฟชั่น


ปล. ถ้าจะ Copy เนื้อหาไปแปะที่อื่นก็ต้องขออนุญาตก่อน และให้เครดิตเป็นลิงค์ต้นฉบับด้วย :D

ปล.2 แต่สามารถ Copy ลิงค์ไปให้เพื่อนๆอ่านได้นะครับ


(Comment ได้นะ ผมไม่ทำให้คุณกลายเป็นขี้เถ้าหรอก :D)

รูปภาพจาก http://bcl.rpen.us/zerowiki/




อ่านเนื้อเรื่อง Fatal Frame ภาคอื่นๆได้ที่หน้าหลัก