วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

[เนื้อเรื่อง] Fatal Frame - จุดเริ่มต้นหายนะ คฤหาสน์พยาบาท

[SPOILER  ALERT!!] ระวังสปอยล์ บทความนี้เหมาะกับผู้เล่นที่เล่นจบแล้วและผู้เล่นที่สนใจแต่กลัวเกินกว่าจะเล่นได้ อ้างอิงมาจาก เอกสาร ไฟล์ในเกม รวมถึง Spirit List และแปลมาจากเกมอังกฤษ บางคำศัพท์อาจคลาดเคลื่อนจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นนะครับ....
 Fatal Frame 1

                กลับมาแล้วจ้า ไม่อยากจะพูดอะไรมากตรงนี้ เข้าเรื่องเลยดีกว่า เอาช่วงพูดคุยไว้ข้างล่างละกันนะ 😃
*ตัวหนังสือที่มีสีน้ำเงินคือถูกกล่าวถึงในภาค 3 แต่ Timeline อยู่ในภาคนี้

 ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
                            


               พวกคุณเคยได้ยินเรื่องราวลึกลับอันน่ากลัวของคฤหาสน์แห่งหนึ่งบ้างมั้ย เรื่องราวที่ว่ากันว่าตระกูลที่เป็นเจ้าของคฤหาสน์แห่งนั้นถูกฆ่าตายจนหมดจนกลายเป็นคฤหาสน์ต้องสาป ใครก็ตามที่เข้าไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์แห่งนั้น ก็จะต้องพบกับจุดจบที่น่าเวทนา ตำรวจพูดเสมอว่าแขนขาและศีรษะของศพที่พบในระแวกนั้นจะถูกหั่นออกจากกัน และที่ลึกลับกว่านั้นก็คือ ผู้คนที่่เข้าไปในคฤหาสน์แห่งนั้นจะพบเจอกับสิ่งบางสิ่งที่เหมือนกัน "ผู้หญิงในชุดกิโมโนสีขาว"




               
                                       “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ......
                                                                    ......ที่ฉันและพี่ มองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น
                                                                                                                        มิกุ ฮินาซากิ



                ในอดีตมีตำนานมากมายที่เล่าสืบต่อกันมา แต่ไม่เคยมีบันทึกไหนกล่าวถึงประวัติและที่มาของประตูนรกในคฤหาสน์ฮิมุโระ ไม่มีใครรู้ว่ามันถูกสร้างมาตอนไหนและเมื่อไหร่ แต่เชื่อกันว่าพระเจ้าได้มอบหมายหน้าที่ให้คนในตระกูลฮิมุโระ ต้องป้องกันไม่ให้ความอาฆาตพยาบาทหลั่งไหลออกมาจากประตู

                ตระกูลฮิมุโระเป็นตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจมากและปกครองดินแดนอันกว้างใหญ่ในสมัยนั้น คฤหาสน์ใหญ่ของตระกูลฮิมุโระซึ่งเป็นที่ตั้งอยู่ของประตูนรก ตั้งอยู่ในภูเขาฮิมุโระอยู่ในทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นและล้อมรอบไปด้วยศาลเจ้าเทพารักษ์ทั้งห้า ซึ่งศาลเจ้าทั้ง 5 หลังที่ว่าจะมีกระจกศักดิ์สิทธิ์หลังละหนึ่งบาน


คฤหาสน์ฮิมุโระ

                ทุกๆ 10 ปี กระจกทั้ง 5 บาน จะถูกนำมารวมกันไว้ที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง เพื่อปัดเป่าภัยร้ายอันยิ่งใหญ่ให้หายไป ผู้คนเรียกพิธีนี้ว่า เทศกาลเบญจเทพ
                แต่ว่ากันว่ามีกระจกอยู่บานหนึ่ง ซึ่งเป็นกระจกที่รู้กันในตระกูลฮิมุโระว่าเป็น กระจกศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ถูกใช้อยู่ในพิธีกรรมลับๆ ภายในชั้นใต้ดินของคฤหาสน์ตระกูล เพื่อใช้ผนึกประตูนรก


พิธีกรรมฉีกร่าง


                พิธีฉีกร่างถูกจัดพร้อมๆกับเทศกาลเบญจเทพ ทุกๆ สิบปี ในวันที่ 13 เดือนธันวาคม อย่างลับๆ คนในตระกูลฮิมุโระทุกคนจะมารวมตัวกันที่คฤหาสน์เพื่อจัดพิธีกรรม พิธีนี้จะมีกระบวนการต่างๆในการคัดเลือกมิโกะเชือก โดยทำพิธีกรรมปิดตายักษ์ก่อนเป็นอันดับแรก

พิธีกรรมปิดตายักษ์ถูกจัดในห้องปิดตายักษ์ของคฤหาสน์ ในวันที่ 26 เดือนพฤศจิกายน ทุกๆ 10 ปีเช่นกัน ในพิธีนี้คนที่เข้าร่วมจะเป็นคนในครอบครัวของมิโกะ โดยหัวหน้าตระกูลฮิมุโระและคนในครอบครัวของมิโกะที่เข้าร่วมจะต้องสวมหน้ากากที่ถูกเก็บไว้ในคฤหาสน์ แต่หน้ากากของหัวหน้าตระกูลจะพิเศษกว่าหน้ากากอื่น  เรียกว่าหน้ากากสะท้อน ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นหน้ากากที่สามารถเปลี่ยนหน้าได้เป็นทั้งเทวดาและปีศาจได้ ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนที่สวมหน้ากาก และเป็นกุญแจที่สามารถเข้าผ่านห้องเก็บหน้ากากได้ทุกห้อง หน้ากากในพิธีนั้นมีหน้าที่ตัดความสัมพันธ์ของมิโกะและครอบครัวลง

เมื่อมิโกะตาบอดถูกนำมานั่งคุกเข่าต่อหน้า หัวหน้าตระกูลฮิมุโระจะนำหน้ากากตาบอดออกมาจากตู้เก็บหน้ากาก หน้ากากตาบอดนั้นมีลักษณะเป็นหมุดแหลมขนาดใหญ่ ทิ่มทะลุผ่านตาทั้งสองข้างของหน้ากาก หัวหน้าตระกูลใช้หน้ากากนั้นกดลงไปที่ใบหน้าของมิโกะ ทำให้หมุดขนาดใหญ่เจาะเข้าดวงตาซึ่งสามารถทำมิโกะตาบอดได้ในทันที  มิโกะจะดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดก่อนที่จะถูกส่งไปทำหน้าที่ที่แท้จริงของมิโกะตาบอด  มีความเชื่อกันว่าเลือดของมิโกะจะทำให้วิญญาณในประตูนรกอ่อนแอลงในวันที่เตรียมการพิธีฉีกร่าง


พิธีกรรมปิดตายักษ์

หลังจากที่ทำให้มิโกะตาบอดแล้ว มิโกะผู้นั้นจะถูกส่งมาทำพิธีเล็กๆ ในบริเวณปากยักษ์ซึ่งเป็นห้องที่มีประตูขนาดใหญ่เชื่อมไปยังแท่นพิธีเชือก พิธีนี้เรียกว่าพิธียักษ์ไล่จับ ถึงจะเป็นพิธีเล็กๆ แต่ก็ถือว่าเป็นพิธีที่สำคัญ วิธีการคือ ใช้มิโกะที่ตาบอดเล่นเป็นยักษ์ไล่จับกับเด็กๆ ซึ่งเด็กที่ถูกเลือกมาจะต้องเป็นเด็กในตระกูลฮิมุโระที่มี อายุ 7 ปี 9 เดือน 25 วัน โดยเด็กคนแรกที่ถูกจับ จะถูกนำเป็นมิโกะตาบอดหรือยักษ์ใน 10 ปีถัดไป ส่วนเด็กคนสุดท้ายที่ถูกจับ จะถูกเลือกเป็นมิโกะเชือกในพิธีฉีกร่างของ 10 ปีข้างหน้า เนื่องจากว่ากันว่าเด็กคนสุดท้ายจะเป็นเด็กที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์อันแรงกล้า เพราะสามารถซ่อนตัวจากยักษ์ที่ตาบอดได้นานที่สุด


บริเวณปากยักษ์ในเกม

เด็กที่ถูกเลือกเป็นมิโกะเชือกจะถูกนำตัวไปขังไว้ที่กรงเป็นจำนวน 3669 วันตัดขาดจากโลกภายนอก แม้แต่เพื่อนหรือครอบครัว จะมีแค่นักบวชที่สวมหน้ากากเข้ามาหาเท่านั้น เพื่อให้เด็กคนนั้นไม่มีความต้องการที่จะมีชีวิตต่อ  มีความตั้งใจที่จะตายและบริสุทธิ์พอที่จะเป็นมิโกะเชือกที่สมบูรณ์

พอถึงวันที่ 13 ธันวาคมในปีเดียวกัน มิโกะเชือกที่ถูกทำให้ตัดขาดจากโลกภายนอกเป็นเวลา 3669 วันแล้ว จะถูกนักบวชทั้ง 4 และหัวหน้าตระกูล นำตัวไปที่บ่อน้ำจันทรา ซึ่งอยู่ใต้ศาลเจ้าจันทราและมีทางเชื่อมไปที่ห้องแท่นเชือก เพื่อไปอาบแสงจันทร์เพื่อชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์ก่อนที่จะเข้าสู่พิธี โดยมีแค่มิโกะเท่านั้นที่สามารถใช้ทางลับจากศาลเจ้าจันทราได้ ส่วนคนในตระกูลคนอื่นจะผ่านทางประตูใหญ่ที่ปากยักษ์แทน

เมื่อมาถึงห้องแท่นเชือก มิโกะจะนอนอยู่บนแท่นตรงกลาง นักบวชและหัวหน้าตระกูลจะทำการผูกแขนขาและคอของมิโกะกับแท่นหมุน โดยนักบวชทั้ง 4 จะหมุนล้อที่ผูกกับแขนและขาของมิโกะ ส่วนหัวหน้าตระกูลจะหมุนล้อส่วนศรีษะของมิโกะ มิโกะจะร้องด้วยความเจ็บปวดและทรมานที่ถูกเชือกดึง จนกระทั่งแขนขาและศรีษะของมิโกะหลุดออกจากร่าง

หลังจากที่แขนขาและศรีษะของมิโกะถูกฉีกออก เลือดจะสาดกระเซ็นสู่เชือกที่ถูกผูก และจะเข้าสู่พิธีเชือกทันที โดยผู้นำและนักบวชจะทำการตัดเชือกที่โชกไปด้วยเลือดของมิโกะออก หลังจากนั้นผู้นำและเหล่านักบวชรวมถึงคนที่มาร่วมพิธีจะเดินไปที่หน้าประตูนรก ที่นั่นจะมีกระจกศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงวางไว้ที่แท่นหินกระจกเพื่อปัดเป่าความพยาบาทที่อยู่ในประตูนรก นักบวชทั้ง 4 และผู้นำจะชูเชือกที่โชกไปด้วยเลือดขึ้นเพื่อเป็นการสรรเสริญและผูกมันไขว้ไว้กับประตูนรกเพื่อผนึกประตูนรกไปอีก 10 ปี และในอีก 10 ปีข้างหน้า เด็กที่ถูกเลือกเป็นมิโกะเชือกในปีนี้ ก็จะเป็นรายต่อไป ศพของมิโกะเชือกคนแรกถูกฝังไว้ที่บ่อน้ำจันทรา และถูกใช้เป็นกลไกเปิดประตูอีกด้วย
.
.
.
.
                วันที่ 13 ธันวาคมไม่ทราบปี ฮิมุโระ คิซุนะ  เป็นมิโกะเชือกในปีนั้น เธอมองออกไปหน้าต่างในตอนกลางคืน หิมะตกอากาศหนาวเย็น เธอคิดว่านี่คงจะเป็นหิมะรอบสุดท้ายของฤดูใน 10 ปีนี้ที่เธอมองออกมาจากทางหน้าต่าง เธอรู้สึกถึง้เวลาที่ผ่านไป เธอตัดขาดสิ่งที่ถูกอยู่ภายในใจเธอทั้งหมด และเตรียมพร้อมที่จะเป็นมิโกะเชือก
                .
                .
                .
               
                พิธีกรรมอันโหดร้ายนี้ถูกดำเนินและสืบทอดลงมารุ่นสู่รุ่นในตระกูลฮิมุโระ จนมาถึงปี 1917 ก็ได้เกิดความวุ่นวายเกิดขึ้นเมื่อโทคิทาดะ กิวคิ   ซามูไรหนุ่มผู้เข้าร่วมพิธี ได้ตกหลุมรักมิโกะเชือกในช่วงเวลานั้นเข้า เขาได้พยายามบุกรุกเข้าไปในพิธีเพื่อที่จะทำลายพิธีพิธีฉีกร่างและช่วยคนรักของเขา แต่ก็ล้มเหลว เขาถูกพาตัวออกมาข้างนอก
                หลังจากที่พิธีกรรมสำเร็จ เขารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่ไม่สามารถช่วยคนรักได้และทำพิธีเซ็ปปุกุหรือฮาราคีรีฆ่าตัวเอง ในฐานะที่เขาได้ทำตัวเสียเกียรติ แต่ถึงแม้เขาจะตายไปแล้ว แต่ด้วยความต้องการอันแรงกล้าที่ยังอยากจะช่วยคนรัก ทำให้เขายังคงเป็นวิญญาณที่ไม่ยอมไปผุดเกิด ยังคงวนเวียนอยู่ในคฤหาสน์ และยังเชื่อว่าการทำลายกระจกศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกตั้งไว้หน้าประตูนรก จะเป็นการปลดปล่อยวิญญาณคนรักของเขาออกมา
.
.
.
.
.
.
.
.
ผ่านมา 10 ปี ในปี 1827 ฮิมุโระ คิริเอะ ถูกเลือกให้เป็นมิโกะเชือก และมิโกะคนก่อนหน้าคิริเอะก็ถูกบูชายัญไป คิริเอะถูกพาไปห้องกรงเพื่อตัดขาดจากโลกความเป็นจริง 3669 วัน

ผ่านไปอีก 10 ปี สายลมก็พัดพาความโชคร้ายมาสู่คฤหาสน์ฮิมุโระ เมื่อในขณะที่เวลาของคิริเอะกำลังใกล้หมดลงเรื่อยๆ เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง และมองเห็นชายคนหนึ่งกำลังเดินชมนกชมไม้อยู่ในสวน

วันถัดมาคิริเอะก็เห็นชายคนนั้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ชายคนนั้นได้สังเกตเห็นคิริเอะและโบกมือให้เธอ คิริเอะก็หน้าแดงและหลบหน้าไป ชายคนนั้นแปลกใจที่เขาอยู่ที่นั่นมาหลายวันแล้ว แต่ไม่เคยพบคิริเอะเลย คิริเอะได้เอาเรื่องนี้ไปคุยกับนักบวช แต่เมื่อนักบวชได้ยิน เขาก็ทำหน้าประหลาดใจและสั่งให้คิริเอะไม่ควรมองออกไปนอกหน้าต่างสักระยะ

วันต่อมา คิริเอะได้ออกมาเดินเล่นอยู่ในสวนคนเดียว ในตอนนั้นชายคนดังกล่าวก็ได้เห็นคิริเอะผ่านหน้าต่างของห้องพักของแขก เขาจึงเดินออกมาคุยกับเธอ รวมทั้งถามชื่อของเธอ คิริเอะรู้สึกสนุกมากๆ ที่ได้คุยกับชายคนนั้น ชายคนนั้นจึงคิดว่าจะไปหาเธอที่ห้องบ้าง 

      
คิริเอะพบกับคนรักของเธอในสวน

วันต่อมาชายคนนั้นได้ไปที่ห้องของคิริเอะ เขาตกใจมากที่ห้องของเธอมีลักษณะคล้ายกรงขัง เขาจึงได้ชวนคิริเอะออกไปเดินชมนกชมไม้ในสวน ชายคนนั้นสอนคิริเอะถึงชื่อของดอกไม้และเรื่องต่างๆนาๆ คิริเอะรู้สึกหน้าแดงและอบอุ่น แต่คราวนี้เธอไม่อยากจะหลบหน้าอีกแล้ว เมื่อชายคนนั้นอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวคิริเอะ เขาจึงได้ไปถามคนรับใช้ แต่ทุกคนก็ปิดปากเงียบไม่มีใครตอบเลยสักคน

วันต่อมาชายคนนั้นก็มาหาคิริเอะที่ห้องอีก หัวหน้านักบวชก็กำชับบอกทั้ง 2 คนไม่ให้ออกไปที่สวน ดังนั้นทั้ง 2 คนจึงเอาแต่พูดคุยกันภายในห้อง แต่ถึงอย่างนั้นชายคนนั้นก็แอบพาเธอออกไปอีก คิริเอะบอกกับชายคนนั้นว่าเธอไม่เคยออกไปนอกคฤหาสน์ เขาจึงพูดถึงโลกภายนอก และความสวยงามของซากุระให้คิริเอะฟัง คิริเอะมีความสุขมากที่ได้อยู่กับชายที่ตนรัก และชายคนนั้นก็บอกว่าสักวันจะพาคิริเอะออกไป แต่คิริเอะก็ทำหน้าเศร้าเพราะรู้ว่าคงไม่มีวันนั้น

เหล่านักบวชเห็นว่าคิริเอะทำตัวแปลกไป หลังจากที่เจอแขกหนุ่มคนนั้น เริ่มรู้สึกกลัวว่าคิริเอะจะกลายเป็นมิโกะเชือกที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะมีความสัมพันธ์กับโลกภายนอก โดยเธอกับแขกหนุ่มผู้นั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้น พวกเขาจึงเริ่มที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวโดยทำอะไรสักอย่าง

วันต่อมา ชายผู้นั้นถูกห้ามไม่ให้ไปพบคิริเอะ นักบวชบอกเขาว่าคิริเอะกำลังป่วย ชายผู้นั้นตกใจมากและถามถึงอาการของคิริเอะ แต่นักบวชไม่ตอบ แขกหนุ่มรู้ทันทีเลยว่านักบวชไม่อยากให้เขาไปพบคิริเอะ

เขาพยายามไปที่ห้องของคิริเอะ แต่ก็ถูกยามเฝ้าหน้าประตูไล่กลับมา เขารู้ว่าเขาต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงแน่ๆ ถ้าจะไปหาคิริเอะอีกครั้ง แต่เขาก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคิริเอะ จึงวางแผนที่ลอบเข้าไปอีกครั้งในคืนนั้น

เหล่านักบวชที่ไม่รู้จะทำยังไงกับแขกหนุ่ม จึงต้องไปปรึกษากับผู้นำตระกูลฮิมุโระ ผู้นำตระกูลได้ออกคำสั่งให้ฆ่าแขกหนุ่มคนนั้นซะ เหล่านักบวชได้ใช้จังหวะที่ชายหนุ่มจะเข้าไปที่ห้องคิริเอะ พาเขาไปที่สระน้ำสนธยา(เป็นชื่อเรียกสถานที่หนึ่งในคฤหาสน์ ที่มีสะพานไม้ยื่นออกไปในสระน้ำขนาดใหญ่คล้ายๆท่าเรือ)และลงมือสังหารแขกหนุ่มแล้วซ่อนไว้ที่ที่ไกลจากคิริเอะ เพื่อไม่ให้คิริเอะรู้ตัว ถึงแม้นักบวชจะรู้สึกเสียใจแต่ก็ต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ของตนที่ต้องดูแลมิโกะเชือก

ผ่านไป 5 วันที่แขกหนุ่มไม่ได้มาเยี่ยมคิริเอะ คิริเอะถามหัวหน้านักบวชว่าหนุ่มคนนั้นหายไปไหน แต่ก็ได้คำตอบกลับมาว่าแขกหนุ่มคนนั้นกลับบ้านไปแล้ว คิริเอะสงสัยเป็นอย่างมากว่าทำไมเขาถึงต้องกลับอย่างกระทันหัน

ในคืนนั้น ชายหนุ่มที่ตายไป ได้มาเข้าฝันของคิริเอะ ชายหนุ่มคนนั้นได้ทำหน้าตาเศร้าสร้อย ที่ดูเหมือนจะพยายามบอกใบ้คิริเอะแบบทางอ้อมว่า เขาไม่ได้กลับบ้าน นักบวชได้ฆ่าเขา คิริเอะที่มองเห็นใบหน้าของเขาก็รู้ทันที ว่านักบวชได้ฆ่าเขาไปแล้ว

วันรุ่งขึ้น วันพิธีก็เริ่มใกล้เข้ามา นักบวชประหลาดใจที่คิริเอะรู้ว่าพวกตนได้ฆ่าคนรักของเธอ ทำให้เธอรู้สึกหดหู่และโศรกเศร้า เหล่านักบวชจึงภาวนาให้พิธีผ่านไปด้วยดี

                ผู้คนมากมายของตระกูลฮิมุโระได้มารวมตัวกันที่คฤหาสน์เนื่องจากพิธีกรรมพิธีฉีกร่างอีกครั้ง ทำให้คฤหาสน์ทั้งหลังดูครึกครื้นเป็นพิเศษ คิริเอะจึงทำจิตใจให้สงบและตั้งเป้าที่จะบรรลุหน้าที่ของมิโกะเชือก แต่ทว่าในใจของเธอกลับพบกับความสนุกและความต้องการที่อยากใช้ชีวิตบนโลกนี้เสียแล้ว

                ในคืนสุดท้ายก่อนพิธีฉีกร่าง  โทคิทาดะ กิวคิ วิญญาณหนุ่มซามูไรได้มาเข้าฝันคิริเอะ และบอกให้คิริเอะพังกระจกซะ และจะสามารถช่วยเหลือคนรักไว้ได้

                ในวันพิธี วันที่ 13 ธันวาคม ปี 1827 คิริเอะถูกผู้นำที่ตระกูลและนักบวชทั้ง 4 ที่สวมหน้ากาก พาไปที่ศาลเจ้าจันทรา (ว่ากันว่าหน้ากากของผู้นำในครั้งนี้ปรากฎเป็นใบหน้าของปีศาจ) ผู้นำและนักบวชได้ใช้ตราประทับและสัญลักษณ์ของตนเพื่อเปิดกลไกสู่ทางลับที่นำไปสู่บ่อน้ำจันทรา เพื่อให้คิริเอะชำระล้างร่างกายให้บริสุทธิ์

หลังจากที่พิธีปิดตายักษ์และยักษ์ไล่จับเสร็จสิ้น ก็ถึงคราวของคิริเอะแล้ว เธอนอนลงไปที่แท่นเชือกขา แขน และศรีษะของเธอถูกผูกเข้ากับแท่นหมุน เหล่านักบวชและผู้นำเริ่มหมุนแท่น คิริเอะดิ้นอย่างเจ็บปวด และกรีดร้องอย่างทรมานจน แขน ขา และศรีษะของเธอหลุดออกจากร่าง


คิริเอะในพิธีกรรมฉีกร่าง


ผู้นำและนักบวชตัดเชือกที่เปื้อนเลือดคิริเอะ และมุ่งตรงไปยังประตูนรก ผู้นำและนักบวชได้ยกเชือกขึ้นแล้วนำไปแขวนไขว้ที่ประตู
แต่ทว่า
.
.
.
.
ในระหว่างที่กำลังสวดมนต์ เชือกที่ผูกก็ขาดลง ทำให้คนที่อยู่ร่วมพิธีต้องตกใจ ประตูของนรกก็เปิดออกอย่างช้าๆ ความชั่วร้าย วิญญาณอาฆาตพยาบาท ออกมาจากประตูนรก หลั่งไหลเข้าสู่คฤหาสน์ กระจกศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ที่มีเอาไว้ช่วยปัดเป่าความชั่วร้ายก็แตกออก เป็น 5 ชิ้น หายนะบังเกิด เกิดแผ่นดินไหว ความโกลาหลนี้สร้างความตื่นตระหนกให้คนในคฤหาสน์ บ้างก็หนีจากความชั่วร้ายจนโดดลงมาจากอาคารชั้นสองคอหักตาย แม้แต่ผู้นำตระกูลฮิมุโระก็เกิดอาการบ้าคลั่งถือดาบไล่ฆ่าคนในคฤหาสน์จนหมดสิ้น หลังจากนั้นก็ฆ่าตัวตายตามที่ห้องโถงใหญ่


ประตูนรกเปิดออก


กระจกศักดิ์สิทธิ์แตก

วิญญาณของผู้ที่ตายก็ถูกความมืดเข้าครอบงำกลายเป็นวิญญาณอาฆาต วนเวียนอยู่ในคฤหาสน์ ส่วนวิญญาณของคิริเอะก็ถูกครอบงำจน ตัวเธอแบ่งออกมา เป็น 2 ส่วน คือร่างผู้ใหญ่ที่ถูกความชั่วร้ายครอบงำ และร่างเด็กที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ที่พยายามหาทางปลดปล่อยให้คฤหาสน์เป็นดั่งเดิม และบรรลุหน้าที่ของตัวเอง

หลังจากนั้นคฤหาสน์ฮิมุโระก็กลายเป็นคฤหาสน์ผีสิง ที่มีแต่ความอาฆาต พยาบาท และคำสาป รอวันที่จะมีคนมาปลดปล่อยเท่านั้น
.
.
.
.
.
.
.
******เนื้อเรื่องส่วนนี้อ้างอิงมาจาก Tamashizume จาก Official guide bookของ Fatal Frame 2*
ผ่านมาหลายปี ดร.อาโซ คุนิฮิโกะ  ผู้ที่ตามศึกษาวิธีผนึกวิญญาณ ได้มาที่คฤหาสน์ฮิมุโระเนื่องจากได้ยินข่าวลือของกระจกศักดิ์สิทธิ์ เพื่อนำมาพัฒนากล้องตัวล่าสุดของเขา แต่หลังจากนั้นเขาก็หายตัวไป
หลังจากกล้องตัวต้นแบบหลายตัวของ ดร.อาโซ ก็ถูกพบในคฤหาสน์หลังนั้น แต่ตอนนี้สิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว บ้างก็โดนขายมือสองไป
*********

.
.
.
.
ผ่านมาหลายปี วันที่ 20 พฤษภาคม มุนาคาตะ เรียวโซ ได้ย้ายมาอาศัยที่คฤหาสน์ฮิมุโระ เพื่อศึกษาค้นคว้าพิธีกรรมลับของคฤหาสน์ รวมทั้งพาภรรยาของตน มุนาคาตะ ยาเอะ  และมุนาคาตะ  มิโคโตะ  ลูกสาวมาพักด้วย อากาศที่นี่สดชื่นและเขาคิดว่าน่าจะดีต่อยาเอะซึ่งกำลังป่วยอยู่

การวิจัยของเรียวโซก้าวหน้าขึ้นมากกว่าที่เขาคิด เขาได้พบกับหนังสือของผู้นำตระกูลและ ศึกษาค้นคว้าเอกสารทั้งหมดที่เขาหาเจอในคฤหาสน์ แต่เมื่อเขาเอาไปถามผู้คนในท้องถิ่น ผู้คนเหล่านั้นกลับปิดปากเงียบ เขาเชื่อว่าพิธีกรรมเป็นกุญแจที่จะทำให้เราเขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดที่นี่ได้

เมื่อเข้าช่วงมิถุนายน มิโคโตะก็อายุ 7 ปี พอดี มิโคโตะมีเพื่อนเป็นเด็กในละแวกนั้นและเริ่มเล่นยักษ์ไล่จับกันในคฤหาสน์ฮิมุโระ ยาเอะคิดว่าที่คฤหาสน์นี้เป็นสนามเด็กเล่นชั้นดีของเด็กๆ แต่ สำหรับเธอมันออกจะใหญ่ไปหน่อย


มิโคโตะกำลังเล่นยักษ์ไล่จับกับเพื่อนๆ

แต่ความสุขก็ใกล้จะหายไป ในขณะที่มิโคโตะกำลังเล่นยักษ์ไล่จับ เธอก็พบกับคิริเอะในวัยเด็ก คิริเอะในวัยเด็กได้มอบกล้อง Obscura ของดร. อาโซ ให้แก่เธอ มิโคโตะได้เอากล้องนั่นให้เรียวโซดู เรียวโซที่เห็นกล้องแปลกๆ ก็ถามว่าเอามาจากตรงไหน มิโคโตะจึงบอกว่า มีเด็กในชุดกิโมโนสีขาวเอามาให้ แต่เรียวโซก็มองไม่เห็นความพิเศษของกล้อง


กล้อง Obscura

วันที่ 15 มิถุนายน ยาเอะรู้สึกดีขึ้น เรียวโซจึงได้พายาเอะและมิโคโตะไปเดินเล่นในภูเขา พร้อมกับพกกล้อง Obscura ไป  ยาเอะรู้สึกสนุกมาก เธอใช้กล้อง Obscura ถ่ายรูปไป ทั่วทุกที่ที่เธอเดินผ่าน เธอสนุกมาก
         

ภาพถ่ายยาเอะและมิโคโตะ


ภาพถ่ายคิริเอะในวัยเด็กและมิโคโตะ

แต่เมื่อกลับมา ยาเอะที่รู้สึกดีก็โดนผลข้างเคียงของกล้อง เนื่องจากใช้กล้องมากเกินไป เธอเริ่มบ่นพึมพำว่าเธอมองเห็นอะไรบางอย่าง เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอเห็นคืออะไรและเธอจะไม่ให้มาโคโตะมองเห็นวิญญาณพวกนี้เด็ดขาด

 ไม่กี่วันต่อมา อาการของยาเอะก็ทรุดหนักกว่าเก่า แต่เมื่อมิโคโตะมาขอกล้องคืนจากยาเอะ เธอก็ปฏิเสธเพื่อที่จะปกป้องลูกสาวของตน แต่ในที่สุดเธอก็ใจอ่อนมอบกล้องให้มิโคโตะไปจนได้

หลังจากนั้น ยาเอะป่วยหนักมากว่าเดิม ถึงกับนอนโทรมอยู่บนเตียง
.
.
วันที่ 24 มิถุนายน มิโคโตะก็ไปเล่นยักษ์ไล่จับกับเพื่อนในคฤหาสน์ และครั้งนี้เธอเอากล้องติดตัวไปด้วย แต่ทว่าตั้งแต่วันนั้น มิโคโตะกับเพื่อนๆของเธอก็หายตัวไป ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้นจึงคิดว่ามิโคโตะและเพื่อนๆ ถูกผีลักซ่อน ยาเอะที่เห็นว่าลูกสาวและเพื่อนอีก 4 คนของเธอหายตัวไป(ที่จริงมีแค่ 3 แต่ยาเอะนับคิริเอะในวัยเด็กไปด้วยอีกคน) เธอและเรียวโซจึงออกตามหากันทั่วคฤหาสน์แต่ไม่พบ

ทางด้านของมิโคโตะก่อนที่จะโดนผีลักซ่อน ในวันนั้นมิโคโตะกลายเป็นยักษ์ที่ต้องตามหาเหล่าเพื่อนๆที่ซ่อนอยู่ในบริเวณคฤหาสน์ ในระหว่างที่เพื่อนๆของเธอกำลังซ่อนตัวอยู่ เพื่อนของเธอถูกวิญญาณแขนยาวพบ วิญญาณแขนยาวจึงลักซ่อนและฆ่าเพื่อนของเธอไปจนหมด  บ้างก็โดนดึงลงไปฆ่าในบ่อน้ำ บ้างก็โดนจับยัดฆ่าในตู้นาฬิกา บ้างก็โดนลากเข้าประตูไปฆ่าในห้องเก็บตุ๊กตา มีแค่มิโคโตะคนเดียวที่รอดชีวิตมาด้วยความช่วยเหลือจากคิริเอะในวัยเด็ก

ผ่านมา 3 วันหลังจากที่มิโคโตะและเพื่อนถูกผีลักซ่อนไป ยาเอะเริ่มมองเห็นวิญญาณได้โดยไม่ต้องมีกล้องแล้ว สิ่งนี้ทำให้เธอแทบจะเป็นบ้า

หลังจากที่มิโคโตะและเพื่อนๆ หายไป ทางครอบครัวของเด็กที่ไปเล่นกับมิโคโตะ ก็พบว่าลูกของตนไม่กลับบ้านมาสักที จึงพากันไปแจ้งความกับตำรวจ

ด้วยความเครียดของยาเอะ ที่สะสมมาจากผลข้างเคียงของกล้อง Obscura และความรู้สึกที่โทษตัวเอง ที่ตัวเองผิด ให้กล้องกับมิโคโตะไป จึงทำให้มิโคโตะต้องถูกผีลักซ่อน ทำให้ยาเอะทนไม่ไหว เขียนจดหมายถึงเรียวโซ สามีของตน ก่อนที่จะตัดสินใจผูกคอตาย

เรียวโซที่มาเห็นร่างไร้วิญญาณของภรรยาตัวเองก็อึ้งและตกใจเป็นอย่างมาก  เขาโทษกล้อง Obscura ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ภรรยาและลูกสาวของเขาหายไป แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจจะลดละความพยายามที่จะค้นหาวิจัยต่อไป

หลังจากนั้น เรียวโซก็ค้นพบหน้ากากสะท้อนและหน้ากากตาบอดในห้องเก็บหน้ากาก ที่เป็นกุญแจไปเปิดประตูบานใหญ่ในห้องปากปีศาจ แต่เมื่อเขาเปิดประตูสำเร็จ เขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขาคือคิริเอะ 



ยังไม่ทันจะทำอะไร คิริเอะก็ดึงเขาเข้าไปในประตู และประตูก็ปิดลง ตั้งแต่นั้นมาเรียวโซก็ได้หายตัวไป

เรียวโซถูกคิริเอะดึง
.
.
ผ่านมาหลายวัน มิโคโตะรอดชีวิตกลับมาและถูกพบอยู่ในป่าบนภูเขาฮิมุโระพร้อมกับกล้อง โดยคนท้องถิ่น ตำรวจรอให้มิโคโตะฟื้นฟูสภาพเป็นเหมือนเดิมแล้วจึงถามถึง เด็กอีก 3 คน แต่ดูเหมือนว่ามิโคโตะจำอะไรไม่ได้เลย

ตำรวจพบว่าพ่อแม่ของมิโคโตะหายไป จึงได้ทำการหาบ้านใหม่ให้เธอ คุณฮินาซากิเพื่อนของเรียวโซ พ่อของมิโคโตะ จึงได้รับมิโคโตะมาเลี้ยงแทน
 สุดท้ายแล้ว เด็กอีก 3 คนก็หายสาบสูญไป....
.
.
.
.
เมื่อมิโคโตะโตขึ้นก็ได้แต่งงานกับตระกูลฮินาซากิที่เลี้ยงดูตนเอง และมีลูกสาวอยู่หนึ่งคนชื่อว่าฮินาซากิ มิยูกิ มิยูกิเป็นคนที่ร่างกายอ่อนแอและป่วยบ้าง มีซิกส์เซนส์มาตั้งแต่เด็กๆ จึงทำให้เธอไม่ค่อยมีเพื่อนในตอนเด็กๆ เธอเลยกังวลว่าเมื่อเธอมีลูกพลังนี้จะถูกสืบทอดไปยังลูกของเธอ

เมื่อโตขึ้นซิกส์เซนส์ของเธอก็เริ่มหายไป มิยูกิเป็นนักเรียนของฮินาซากิ มาซาโตะ นักโบราณคดี เธอช่วยเขาใช้กล้อง Obscura ที่สืบทอดมาจากมิโคโตะ แม่ของเธอ ถ่ายรูปวัตถุ มิยูกิเริ่มกลายเป็นผู้ช่วยของมาซาโตะและแต่งงานกัน ทั้งคู่มีลูก 2 คน ชื่อฮินาซากิ  มาฟุยุและฮินาซากิ มิกุ 

(ในปี 1971 พบศพที่คาดว่าเกิดจากการฆาตกรรมใกล้ๆ กับคฤาหาสน์ฮิมุโระ แขน ขาและศรีษะของเหยือหลุดออกจากร่าง)

ถึงแม้จะแต่งงานกันแล้วแต่มาซาโตะมักจะไปทำงานที่อื่นและไม่ค่อยอยู่บ้าน และเสียชีวิต เหลือแค่มิยูกิคอยเลี้ยงดูลูกทั้งสองคน หลังจากนั้นมิยูกิเริ่มป่วย ในตอนนั้นเองเธอก็เริ่มใช้กล้อง Obscura ถ่ายรูปเป็นงานอดิเรก ผลข้างเคียงของกล้องทำให้ซิกส์เซนส์ที่หายไปของเธอกลับมาอีกครั้ง และเธอก็เริ่มทนทุกข์ทรมานจากสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น และผูกคอตายตามรอยยาเอะ ยายของเธอไปในที่สุด ตอนที่เธอตาย เธอถือกล้องไว้ในมือด้วย


มิยูกิกำลังถ่ายรูปวิญญาณที่ตนเองเห็น

 หลังจากที่มิยูกิตาย มาฟุยุก็พบบันทึกของแม่ตัวเอง ซึ่งเขียนเกี่ยวกับพลังที่เขาและมิกุ น้องสาวของเขามี รวมถึงการใช้กล้อง Obscura

เมื่อไร้ซึ่งพ่อและแม่แล้วมาฟุยุจึงทำหน้าที่ดูแลมิกุแทนพ่อและแม่ จนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัยและเข้าทำงาน เขาได้เข้าทำงานที่สำนักพิมพ์ ภายใต้การดูแลของนักเขียนชื่อดังอย่างทาคามิเนะ จุนเซย์  ทาคามิเนะเห็นความพยายามของมาฟุยุ จนมาฟุยุได้เป็นที่ปรึกษา

มีช่วงนึงที่เขาได้ทำงานในทีมเรียบเรียงกับอามาคุระ เคย์  และทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนกับอาโซ  ยู ด้วย ทั้งสามกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน  มาฟุยุได้บอกยูว่าฝากดูแลมิกุถ้าหากเขาเป็นอะไรไป


มิกุ(ล่าง)และมาฟุยุ(บน)

ผ่านมาในปี 1986 ได้มีข่าวฆาตกรรมเกิดขึ้นใกล้ๆ กับคฤหาสน์ฮิมุโระ เป็นเหยื่ออายุราวๆ 30 ปี ตำรวจสันนิษฐานการตายของศพนี้ ว่าเหมือนศพเมื่อ 15 ปี ที่แล้ว นั่นคือ แขนขาทั้ง 2 ข้างขาด และหัวของศพก็หลุดออกจากร่างด้วย

คดีฆาตกรรมนี้คล้ายคลึงกับพิธีกรรมอันโหดร้ายของศาสนาชินโต ทำให้จุนเซ ทาคามิเนะนักเขียนหนังสือสยองขวัญ ที่ในตอนนั้นมีปัญหาด้านการงาน ต้องการเร่งยอดขายของตัวเอง โดยคิดที่จะเขียนเรื่องลึกลับสยองขวัญในหนังสือเล่มใหม่ โดยสถานที่ที่เขาเล็งไว้ก็คือคฤหาสน์ฮิมุโระที่อยู่ใกล้กับคดี เพราะที่นั่นเคยมีการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาชินโตอยู่

แต่ในตอนนั้น แถบภูเขาฮิมุโระเกิดแผ่นดินไหวขึ้นส่งผลให้กระจกศักดิ์สิทธิ์ทั้ง 5 บานในศาลเทพารักษ์ทั้งห้า ที่ทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาพื้นที่แห่งนั้นแตก นักบวชที่อยู่ในพื้นที่ก็คงได้แค่หวังว่ามันไม่ใช่ลางร้าย

ฮิราซากะ โทโมเอะ ผู้ช่วยของทาคามิเนะ เห็นว่าทาคามิเนะจะใช้พิธีกรรมที่คฤหาสน์ฮิมุโระเป็นเนื้อหาในหนังสือเล่มใหม่ เธอจึงพยายามหาหนังสืออื่นๆเพิ่มเติม เพื่อเอามาเป็นข้อมูลในการเขียนหนังสือ เธอเคยได้ยินถึงเรื่องของ มุนาคาตะ เรียวโซ นักวิจัยที่วิจัยประเพณีที่สืบทอดกันลงมาในตระกูลฮิมุโระ และเธอก็ตามหาหนังสือของเขาคนนั้น แต่เธอหายังไงก็หาไม่พบ เธอจึงบอกให้โองาตะ โคจิ  ผู้เรียบเรียงของทาคามิเนะ ช่วยหาด้วย

ผ่านมา 2 วัน โองาตะหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ แต่เขาก็พบว่าเรียวโซได้ย้ายไปพักในคฤหาสน์ฮิมุโระและพบว่าครอบครัวของเรียวโซได้หายตัวไป

โทโมเอะ รู้สึกแปลกๆ เมื่อเธอหาข้อมูลเกี่ยวกับคฤหาสน์ฮิมุโระมากเท่าไหร่ เธอก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมากเท่านั้น โทโมเอะเป็นคนที่มีซิกเซนส์ และมันกำลังเตือนเธอ แต่เธอไม่รู้จะทำยังไง เพราะมันเป็นงานของเธอ

เมื่อโองาตะ ได้นำเรื่องที่เรียวโซเคยไปพักที่คฤหาสน์ฮิมุโระมาบอกทาคามิเนะ ทำให้ทาคามิเนะอยากจะไปตรวจสอบสถานที่จริง  กลุ่มของทาคามิเนะจึงเตรียมตัวออกไปตั้งแคมป์ที่คฤหาสน์ฮิมุโระ

วันที่ 8 กันยายน ทาคามิเนะโทรไปยังสำนักพิมพ์ เกี่ยวกับการไปตั้งแคมป์เพื่อหาข้อมูลมาเขียนหนังสือเล่มต่อไป

วันที่ 9 กันยายน ทาคามิเนะ โทโมเอะ และโองาตะ ก็ออกเดินทางสู่คฤหาสน์ฮิมุโระ โดยถามทางจากคนท้องถิ่นแถวนั้น แต่ทว่า ผู้คนที่อยู่แถวนั้นก็เตือนไม่ให้เขา 3 คนไปที่นั่น และอีกทั้งคฤหาสน์นั้นร้างมานานแล้ว แต่ทั้ง 3 ก็ไม่เชื่อฟังและเดินทางสู่คฤหาสน์


เวลา 3 ทุ่ม 40 นาทีทั้ง 3 ได้เข้ามาในคฤหาสน์ ทั้ง 3 คนตัดสินใจนอนค้างคืนในคฤหาสน์ฮิมุโระ พวกเขาเดินสำรวจทั่วทั้งคฤหาสน์ ด้านในคฤหาสน์ดูดีผิดคาดถ้าเทียบกับภายนอก แต่มีสิ่งแปลกๆ ก็คือตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามา โองาตะก็เห็นผู้หญิงใส่ชุดกิโมโนสีขาวอยู่ที่ทางเข้า


โองาตะ โคจิ (ซ้าย)  ทาคามิเนะ จุนเซ(กลาง)  ฮิราซะกะ โทโมเอะ(ขวา) ทีเพิ่งเดินเข้ามาในคฤหาสน์

วันที่ 10 กันยายน วันรุ่งขึ้น โทโมเอะได้ถ่ายภาพโองาตะ แต่ทว่ามีสิ่งแปลกปลอมติดมาด้วย มีเชือกผูกทั้งแขน ขา และคอของเขา


รูปถ่ายของโองาตะ

พวกเขาทำการสำรวจคฤหาสน์จนพบกับรูปของมิโคโตะ และคิริเอะในตอนเด็ก หลังจากที่ทำการสำรวจมาสักพักเขาก็เริ่มคิดว่าแผ่นดินไหวและการฆาตกรรม อาจจะมีส่วนเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้ เขายังได้ศึกษาและถอดรหัสอักษรโบราณที่อยู่ภายในคฤหาสน์อีกด้วย โคจิคิดว่าถ้าทาคามิเนะเอาเรื่องที่อยู่ในคฤหาสน์นี้ไปเขียนล่ะก็ ยอดขายหนังสือของทาคามิเนะจะต้องขึ้นสูงแน่

 แต่ในตอนเย็นวันนั้นเอง โคจิก็พบว่าประตูทางเข้าที่พวกเขาเข้ามา มันพังซะแล้ว พวกเขาจึงติดอยู่ในคฤหาสน์ไม่สามารถออกไปไหนได้ พวกเขาจึงต้องหาทางออกอื่น(ที่จริงประตูไม่ได้พัง แต่ถูกอะไรบางอย่างทำให้เปิดไม่ได้)

 ในตอนกลางคืนช่วงสองทุ่ม โทโมเอะได้ไปส่องกระจกที่ทางเข้าของคฤหาสน์ เธอพบกับผู้หญิงในชุดกิโมโน แขนขาและคอของผู้หญิงคนนั้นถูกผูกกับเชือก ผู้หญิงคนนั้นเดินลากเชือกแบบนั้นไปตลอดทาง และเธอก็เห็นคิริเอะในวัยเด็กอีกด้วย ดูเหมือนว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นกำลังขอให้โทโมเอะทำอะไรบางอย่าง

คิริเอะในวัยเด็กพยายามที่จะชี้นำทางให้โทโมเอะ เพื่อช่วยให้โทโมเอะทำลายคำสาป แต่ดูเหมือนว่าโทโมเอะจะกลัวเกินกว่าที่จะทำได้

 ในวันนั้นโทโมเอะเริ่มสังเกตเห็นโคจิเริ่มพูดอะไรประหลาดๆว่า มีเชือกเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว



วันที่ 11 หกโมงครึ่งตอนเช้า โทโมเอะก็มองเห็นผู้หญิงในชุดกิโมโนคนนั้นอีก ผู้หญิงคนนั้นรู้ว่าโทโมเอะมีซิกส์เซนส์ เธอจึงบอกโทโมเอะว่าเธอชื่อคิริเอะ


วิญญาณร้ายคิริเอะที่อยู่ในกระจก

ตั้งแต่ที่โคจิเห็นภาพถ่ายที่มีเชือกของตัวเอง เขาก็เริ่มรู้สึกกังวล หลังจากนั้นเขาก็หายตัวไปในคฤหาสน์ ทำให้ทาคามิเนะและโทโมเอะออกตามหาแต่ก็ไม่พบ

วันที่ 12 โคจิที่แทบจะสติแตก หลังจากพบว่ามือและขารวมถึงคอของเขามีรอยเชือกอยู่ ทันใดนั้นเองเขาก็เห็นบางสิ่งบางอย่างตามเขามา

โคจิวิ่งหนีไปหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้า แต่ก็ถูกคิริเอะพบ และถูกฆ่าในทันที แขน ขา และหัวของโคจิ ฉีกขาดออกจากร่าง

โทโมเอะที่ตามหาโคจิ ค้นพบศพของเขาที่ถูกฉีกขาดสะบั้นเหมือนกับคดีที่เกิดขึ้น ทำให้โทโมเอะรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก การตายของโคจิทำให้ทาคามิเนะตั้งข้อสงสัยว่า อาจจะเกี่ยวกับมิโกะเชือกในที่แห่งนี้

ในวันนั้นซิกเซนส์ของโทโมเอะทำให้โทโมเอะเห็นวิญญาณเพื่อนของมิโคโตะวิ่งเล่นอยู่ในคฤหาสน์ ทำให้เธอรู้สึกแทบคลั่ง และทาคามิเนะเองก็พบกับคิริเอะครั้งแรกด้วยทำให้ทาคามิเนะติดคำสาปเชือกเป็นคนสุดท้าย

โทโมเอะพบเหล่าวิญญาณศรีษะของเหยื่อที่โดนผู้นำฮิมุโระฟันขาดสะบั้นกำลังบอกอะไรเธอบางอย่าง แต่อาการของเธอเริ่มเหมือนกับโคจิไปทุกที 

วันที่ 13 กันยายน ทาคามิเนะพบภาพถ่ายที่มีเชือกข้างศพโคจิ และเล็งเห็นถึงความผิดปกติของโทโมเอะ เธอกำลังบ่นพึมพำถึงเชือกและกระจก เพราะโทโมเอะเห็นว่าตัวเองก็มีรอยเชือกขึ้นมาที่ร่างกายเหมือนกัน ทาคามิเนะเห็นว่าโทโมเอะคงขยับไปไหนไม่ได้แล้ว เขาจึงตัดสินใจออกไปหาข้อมูลเพื่อแก้คำสาปคนเดียว แต่ในระหว่างนั้นเอง โทโมเอะที่กลัวจนแทบเสียสติก็ได้พยายามคิดถึงทางออกด้วยข้อมูลที่เหล่าวิญญาณบอกเธอ ทำให้เธอรู้ถึงวิธีการแก้คำสาปเชือกที่พวกเธอติดอยู่ โทโมเอะจึงพยายามเอาเรื่องกระจกศักดิ์สิทธิ์ไปเล่าให้ทาคามิเนะฟัง


วันที่ 14 กันยายน 10 โมงเช้า โทโมเอะและทาคามิเนะไปที่สะพานน้ำในคฤหาสน์ แต่แล้วก็มีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น โทโมเอะรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเชือกรัดอย่างแน่นหนา ในตอนนั้นเอง รอยเชือกของเธอปรากฎที่ แขน ขา และตรงคอ คำสาปเชือกของโทโมเอะสมบูรณ์ ทำให้คิริเอะโผล่มาทางด้านหลัง โทโมเอะที่สัมผัสได้ถึงคิริเอะ ก็หันไปหาแต่ก็โดนเธอฆ่าในทันทีแบบเดียวกับที่โคจิโดน

ทาคามิเนะที่เห็นโทโมเอะตาย ต่อหน้าต่อตาก็ตกใจ แต่นั่นก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้เขาพบกับคิริเอะ และรู้ว่าคิริเอะคือมิโกะเชือกและอยู่เบื้องหลังสาเหตุของคดีฆาตกรรม รวมถึงการตายของโคจิด้วย  คิริเอะมองมาทางทาคามิเนะ แต่เธอก็ปล่อยเขาไป เพราะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วคำสาปเชือกของเขาจะสมบูรณ์ และถูกเธอฆ่าอยู่ดี

เขาจึงรีบกลับไปหาเอกสารที่วิจัยไว้ แต่ก็พบว่าเวลาของเขาเหลืออีกไม่นานแล้ว หลังจากที่เขาพบว่าภาพถ่ายของเขามีเชือกผูกไว้เหมือนกับของโคจิ และรอยเชือกบนแขนและขาของเขาก็เริ่มปรากฎขึ้นแล้ว อีกไม่นานรอยที่ 5 ซึ่งอยู่บนคอก็จะปรากฎ และคำสาปจะสมบูรณ์ เขาก็จะตาย เขาเชื่อว่าเขาติดคำสาปตั้งแต่ที่เขาพบคิริเอะครั้งแรกเมื่อ 3 วันก่อน

วันที่ 15 ทาคามิเนะรู้สึกขอบคุณงานวิจัยที่โทโมเอะหามาให้ เพราะทำให้เขารู้ว่ามีทางเดียวที่จะทำลายคำสาปได้คือหาเศษกระจกศักดิ์สิทธิ์ของจริง เขารวบรวมพระพุทธรูปทั้ง 5 ที่เป็นกุญแจใช้ไขกลไกเปิดตู้เก็บเศษกระจกศักดืสิทธิ์ที่ศาลเจ้านารุคามิ ที่อยู่หลังคฤหาสน์ แต่ทว่า เวลาของเขาช้าเกินไป รอยเชือกปรากฎอยู่บนคอ คำสาปเชือกของเขาสมบูรณ์เสียก่อน


คิริเอะโผล่ออกมา ตรึงร่างของทาคามิเนะก่อนที่จะทำให้ร่างของเขาพุ่งขึ้นไปด้านบนเพดานของศาลเจ้าและฆ่าเขาอย่างโหดเหี้ยมบนนั้น


ทาคามิเนะถูกตรึงร่างอยู่บนเพดาน

วันที่ 22 กันยายน ทางสำนักพิมพ์ที่เห็นว่า จุนเซย์ ทาคามิเนะ และผู้ช่วยอีก 2 คน ขาดการติดต่อไปตั้งแต่วันที่ 8 ซึ่งนานเกินไป และติดต่อไม่ได้ จึงไปแจ้งคนหาย

2 วันถัดมา
มาฟุยุที่ปรึกษาของ ทาคามิเนะ เห็นว่าทาคามิเนะหายตัวไปนานในคฤหาสน์ ฮิมุโระ ด้วยการที่เขาศึกษาคฤหาสน์มาแล้ว เขาคิดว่าต้องเกิดอะไรขึ้นกับคนทั้ง 3 ที่นั่นแน่ มาฟุยุจึงตัดสินใจไปคฤหาสน์ฮิมุโระพร้อมกับพกกล้อง Obscura ที่สืบทอดมาจากแม่ไปด้วย เพื่อตามหาทาคามิเนะที่หายตัวไป
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

To be continued in Fatal Frame

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

พูดคุยหลังเนื้อเรื่อง
คืนชีพ!! ในที่สุดก็ถูกชุบด้วย MirrorStone หนึ่งอัน ถุย!
พอดีเมื่อ นาน มาแล้ว  Fatal Frame ใน PS Store มันลด ทั้ง 3 ภาค เลยสอยมา 3 ภาคเลย แต่ด้วยเหตุบางอย่าง จึงเพิ่งได้มาเล่น ปกติเป็นคนไม่เคยเล่นภาค 1 เล่นภาค 2 กับ 4 จบ ภาค 3 ครึ่งทาง ภาค 5 ไม่มีเครื่อง....
ความรู้สึกครั้งแรกของการเล่น Fatal Frame ภาคแรก ถ้าเทียบกับภาค 4 ล่ะก็...

 Nightmare – (ระดับนี้มันต้องเล่นระดับยากสุด)
                   - Fatal Frame
 Hard          -
                   -
Normal       - ← Fatal Frame 4 (ให้ยากขึ้นมานิดสำหรับคานาเดะเรนเจอร์)
                   -
Easy           -

                คนอื่นให้เท่าไหนไม่รู้นะแต่ผมให้เท่านี้ โคตรนรกเลยครับ ถ้าเทียบกับภาคอื่น  เวลาจะกดยกกล้อง ชอบเผลอไปกดเข้าเมนูทุกที ติดจากภาค 3 ฮ่าๆๆ ภาคอื่นเล่นไปครึ่งทางไม่เท่าไหร่ ภาคนี้เล่นจบคืน 2 ได้ก็ลำบากแล้ว ลำบากเพราะไอผีตาบอด ที่มันพุ่งเข้ามาแล้วเราสะเออะไปกดเข้าเมนูเนี่ยแหละ สรุปคือมี Herb กี่อันก็ใช้หมดเลย

                ผีตาบอดไม่พอ พอขึ้นคืนที่ 3 เท่านั้นแหละ โดนผี 3 ตัวมา เอ๊ะแต่มันก็เดินมาเป็นกลุ่มๆกัน ถ่ายช็อตเดียว เก็บได้หมด ง่ายๆ แต่นั่นมันเป็นแค่ของหลอก ของจริงคือตอนที่กลับมาแล้วต่างหาก คืนนี้ไม่รู้เป็นอะไร ผีแรนด้อมบ่อยชิบ

                ผมเปิดประตูจะไปจุดเซฟ เจอผีคอหักแรนด้อมตามทาง ตอนแรกคิดว่ามาตัวเดียวครับ แต่ที่จริงตรงทางยาวนั้นมันมีผีที่เป็นควันๆ จะต้องออกมาตามสคริปพอดี ผมไม่รู้ครับ มันอยู่ในกำแพงทางแคบ แล้วภาคบน Ps2 ต้องหันหน้าไปหามันถึงจะรู้ เพราะไม่มีเรดาห์บอก 4 ทางเหมือน Wii โดนเลยครับ ปล่อยจอยเลย มันเล่นจับแบบสลับกัน ขำหนักมากทำไรไม่ได้ ไม่มี Mirror Stone ด้วยตอนนั้น กลับจุดเซฟเลย ไม่ใช่จุดเซฟข้างหน้านะ จุดเซฟข้างหลังเนี่ยแหละ!

                พอเริ่มใหม่ ก็มีแค่ไอผีควันตัวเดียวตามสคริปเลยโชคดีไป เก็บง่ายอยู่ แต่พอมาถึงจุดเซฟ จุดเซฟเป็นสีแดงไม่ให้เซฟครับ ผมก็ว่ามันต้องมีซัมติง ยกกล้องขึ้นเท่านั้นแหละ เต็มกล้อง! เจ๊คอหักคนเดิมเพิ่มเติมคือ มาโผล่ไกลขึ้นอีกนิด แต่มาตัวเดียวก็เสร็จพี่สิ

ส่วนเรื่องการสู้กับคิริเอะ ไม่ค่อยยากอย่างที่คิด สู้กับผีบางตัวยากกว่าอีก(แหงล่ะฟิล์มทอง 90 เก็บมาใช้กับเธอโดยเฉพาะเลย ผีตัวอื่นเอาฟิล์มอื่นไป) คิริเอะจะโดนความเสียหายเฉพาะกล้องที่ชาร์จเต็ม เพราะงั้นกล้องที่ไม่อัพเกรดขั้นเกจ จึงสู้กับเธอง่ายกว่า ถึงแม้จะมีแผ่นดินไหวแต่ไม่ใช่ปัญหา ถ้ากล้องชาร์จเต็มแล้ว เกิดแผ่นดินไหว ยังไงก็ต้องมีช่วงที่จอสั่นไปเล็งโดนเธอยู่ดี แต่ถ้าชาร์จไม่เสร็จก็วิ่งตั้งหลักก่อน Easy....
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

.
.
.
.
.
.
.

.
.

…...แต่ซาคุยะ Easy กว่า 55555555(มีดีที่เพลงประกอบล่ะนะ)

                ที่สำคัญทำไมผมรู้สึกว่า MirrorStone มันมีมากกว่า Herb ล่ะ มีจนเหลือใช้มาก เลือดหมดหลอดนึง ก็กลับไปเก็บใหม่ น่าจะเป็นเพราะผมมองข้ามมากว่า เลยต้องพยายามเล่นแบบ No Damage 

มีอีกเรื่องนึง ผมเพิ่งมารู้วิธีใช้ Spirit Stone ในคืนสุดท้าย (หมายถึงใช้ฟังชั่นก์ โดยการกด L1) ถ้ารู้เร็วกว่านี้ก็คงจะง่ายกว่านี้แหละ T^T (ตอนที่เล่น Fatal Frame 4 ผมก็เพิ่งมารู้วิธีใช้เลนส์ตอนเล่นรอบ 2 เพราะฉะนั้นอย่ากดข้ามคู่มือนะจ๊ะ)

ส่วนเรื่องไฟล์ในเกมทั้งหมด เทียบกับภาค 4 แล้วน้อยกว่ามาก ภาคแรกประมาน 80 กว่าๆ ภาคสี่ประมาน 180 กว่าๆ (รวมทุกไฟล์รวมถึงคู่มือเลยนะ) ภาคนี้เลยใช้เวลาน้อยกว่ามาก

ผมไปดูไฟล์ในภาค 2 มาละประมาณ 100 ไฟล์ ถ้ารวมกับภาคแรกจะเท่ากับภาค 4 เลย นี่ผมทนแปลภาค 4 ไปได้ยังไงเยอะมาก - -
เอาล่ะตอนนี้ผมก็ต้องขอตัวก่อนล่ะนะ บาย!
.
.
.

ปล. ถ้าจะ Copy เนื้อหาไปแปะที่อื่นก็ต้องขออนุญาตก่อน และให้เครดิตเป็นลิงค์ต้นฉบับด้วย :D
ปล.2 แต่สามารถ Copy ลิงค์ไปให้เพื่อนๆอ่านได้นะครับ
(comment ได้น้า ผมไม่ลักซ่อนพวกคุณหรอก)


อ่านเนื้อเรื่อง Fatal Frame ภาคอื่นๆได้ที่หน้าหลัก(กลับสู่หน้าหลักโดยการกดลิงค์ด้านล่างหรือชื่อของบล็อก)
กลับสู่หน้าหลัก

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณที่แปลให้อ่านครับพยายาทแปลตอนเล่นแต่ก็แปลตะกุกตะกักกำลังหาเว็บที่แปลไฟล์ในเกมแต่ละภาคอยู่ครับ

    ตอบลบ